

ตามหัวข้อเลยครับ อยากทราบว่ามีใครเจอแย่กว่าผมอีกไหม
ส่วนตัวผมเองนั้น เป็นเด็กจบใหม่ แต่ก็มีประสบการณ์ทำงานอยู่บ้างครับ เพราะทำงานไปเรียนไปด้วย ก็ได้มาทำงานที่บริษัทนี้ได้ 4 เดือนแล้วล่ะครับ บริษัทอยู่ ย่าน อ.บางใหญ่ จ.นนทบุรี (ไม่ขอเอ่ยตำบลนะครับ ดูเป็นการเจาะจงจนเกินไป) เป็นบริษัทผลิตเกี่ยวกับอาหาร ซึ่งตอนที่มาสมัครมีคนงานรวมป้าแม่บ้านและเจ้านายแล้วเพียง 4 คน (น้อยจนน่าแปลกใจ) แต่ผมก็ไม่คิดอะไร โดยสวัสดิการที่บริษัทมอบให้คือ ประกันสังคม บ้านพัก(ตั้งอยู่ในบริษัท) ฟรีค่าน้ำ-ไฟ ซึ่งตำแหน่งที่สมัครเข้ามาคือ ช่างซ่อมบำรุง แต่ในตอนสัมภาษณ์ เจ้านายก็ถามผมว่า “สามารถทำงานหลายอย่างได้ไหมนอกจากช่าง อย่างเช่นช่วยงานในไลน์ผลิต ประมาณนี้” ผมก็บอกว่าได้ครับ ขอแค่มีคนสอนงาน. และแล้วก็ตกลงกันเข้างานเรียบร้อย (ขอเกริ่นก่อนนะครับว่าเข้านายคนนี้เป็นผู้หญิง ไม่มีครอบครัว มีก็แต่หลานของแกที่มาช่วยแกทำงานแต่ก็อยู่ในตำแหน่งพนักงานเหมือนกัน โดยเจ้านายคนนี้แกเป็นคนธรรมะ ทานมังสวิรัติ-เจ แกบอกว่าแกช่วยเหลือแผ่นดิน เดินตามรอยเท้าพ่อหลวง

) ในช่วงแรกๆที่ผมนั้นเข้าทำงาน ทุกอย่างเป็นไปได้สวยครับ เจ้านายใจดีมากๆ มีพาพระอาจารย์มาสอนธรรมะเอย แล้วก็ใจดีให้ผมยืมรถยนต์บริษัทขนของจากห้องเก่ามา(แต่ผมเติมน้ำมันเองนะครับ) มีอาหารเที่ยงให้ (แต่บอกก่อนว่าอาหารเที่ยงที่มีให้จะเป็นมังสวิรัติเท่านั้นนะครับ ส่วนใหญ่เป็นผักและโปรตีนเกษตรทั้งสิ้น เพราะเจ้านายท่านบอกว่าอยากให้ลดการฆ่าสัตว์) แล้วก็มีคนงานมาสมัครเพิ่มขึ้นอีก 3 คน เป็นพนักงานบัญชี 1 คนและ คนงานช่วยผลิต 2 คน(เป็นพม่ 1คน) ตอนนี้ก็เริ่มคิดว่าบริษัทกำลังจะเดิน ไปข้างหน้าเพราะส่วนตัวผมเทใจให้บริษัทนี้ครับ แหม่มีเจ้านายดีขนาดนี้...
....ผ่านไปเรื่อยจนมีอยู่วันหนึ่งครับ เจ้านายให้ผมไปซื้อน้ำถังที่ร้านขายของชำ (เป็นน้ำถังแบบเปลี่ยนถัง ถังละ 15 บาท) แกก็กำชับให้ผมขอใบเสร็จรับเงินแบบปั้มตรายางมาด้วย ผมก็งุนงง นิดหน่อย ก็เลยถามเขาไปว่าทำไม ก็ได้รับคำตอบว่าจะนำไปใช้ลดหย่อนภาษีครับ ผมก็ไปซื้อให้ เจ้าของร้านแกก็ดูหงุดหงิดหน่อยที่ผมซื้อน้ำไม่กี่ถังแล้วขอบิล แล้วเจ้าของร้านก็ถามผมว่า มาจากไหน ผมก็บอกชื่อบริษัทไป เขาก็สวนมาว่า “อ๋อจากที่นี่เองหรอ จะอยู่ได้นานไหมล่ะเราอะ” ผมก็ขำแล้วก็กลับบริษัท ไม่ได้คิดอะไร
...แล้วก็ผ่านไปเจออีกเหตุการณ์หนึ่งคือ เครื่องตัดหญ้าที่บริษัทเสีย เจ้านายก็เลยใช้ให้ผมนำไปซ่อมที่อู่ใกล้ ที่ราคา 450 บาท แต่ที่พีคคือ อู่นี้เป็นอู่ซ่อมรถธรรมดา ไม่ได้มีบิลที่ปั้มตรายาง เจ้านายผมคนนี้ใช้ให้ผมไปขอสำเนาบัตรประชาชนของช่างคนนี้มาเซ็นแนบกับบิล ผมนี่ลำบากใจเลยที่นี่ จะไปพูดกับเขายังไงวะเนี่ย ก็เลยลองไปพูดกับช่างคนนี้ เขาก็บอกว่า "ถ้าเรื่องมากขนาดนี้ทีหลังไม่ต้องมาซ่อมกับผมแล้วนะ เมื่อก่อนก็เคยมาซ่อมแค่ 70 บาทยังชอบิลกับสำเนา ผมต้องมานั่งหาร้านถ่ายเอกสารเสียเวลาทำมาหากิน ผมไม่ไหวหรอก" เอ่อ แล้วผมก็ต้องมานั่งรับคำด่าจากชาวบ้านเนี่ยนะ
....จนได้มาเจอกับตัวเอง เริ่มจากเบาๆเลยก็คือ จากที่เจ้านายได้ถามว่า "ทำงานหลายอย่างได้ไหม" แล้วตอบว่า"ได้"เท่านั้นแหละครับ ช่างซ่อมบำรุงอย่างผม เป็นได้มากกว่านั้นมากกกก ทั้ง คนพาพม่าไปทำเรื่องแรงงานต่างด้าว สืบหานายจ้างคนเก่าเพื่อขอทำเรื่องเปลี่ยนนายจ้าง
(้ต้องออกไปต่าง จว.เพื่อถามหาชื่อตามภูมิลำเนาแล้วตามหาผู้ใหญ่บ้านที่ที่ว่าการอำเภอเพื่อให้เขานำไปบ้านของนายจ้างเก่า ) เป็นคนขับรถซื้อน้ำ คนยกของหนักๆคนตัดหญ้า คนส่งของ (จับฉ่ายมาก) ออกแบบและสร้างเว็บไซต์ให้บริษัท สร้างสติ๊กเกอร์ให้ผลิตภัณฑ์ใหม่ แก้ไขสติ๊กเก้อร์เก่าๆ เป็นเซลขับรถออกไปขายของ เป็นคนหาข้อมูลในเว็บ เพื่อส่งให้การตลาดเขาทำงานต่อ เป็นฝ่ายจัดซื้อ เป็นพนักงานออกบูทตามงานอีเว้นต่างๆ ซึ่งน้อยครั้งมากที่จะได้เลิกงานตรงเวลา (เวลาทำงานของผมคือ จ-ส 08.00-17.00น.) ซึ่งที่ล่วงเวลาไปนั้น
"ไม่เคยได้ค่าล่วงเวลา ย้ำ!! ไม่เคยได้ค่าล่วงเวลาจนถึงวันนี้“
ในช่วงแรกผมก็ไม่ได้คิดอะไรมากหรอกนะครับกับการไม่ได้ค่า OT เพราะคิดแค่ว่าก็ช่วยเขาไปหน่อย เลิกช้า 1 ชม.คงไม่เป็นไร

จนพักหลังๆ ออเดอร์เข้าเยอะ หรืองานด่วน ผมก็ช่วยทำงานจน ถึง ตี 1.30 เลยก็มี โดยที่ว่า 8.00น.ก็ต้องเข้าไปทำงานต่อ โดยไม่ได้อะไรเลย ร่างกายพังมากช่วงนั้น แล้วทุกครั้งที่ไปออกบูทก็ต้องเข้างาน 8.00น.เพื่อเตรียมของออกบูท กว่าจะเลิกบูทก็2-3 ทุ่ม ขับรถกลับบริษัทมาก็ 5 ทุ่มถึงเที่ยงคืน แล้วก็วนลูปอยู่เกือบสัปดาห์ ในช่วงสองสามเดือนแรกผมแทบไม่เคยได้ออก 17.00 ตรงเลย งานส่งของซึ่งเมื่อก่อนหลานเขาเป็นคนส่งก็กลายมาเป็นผม แล้วชอบให้ผมออกไปส่งในเวลาที่ใกล้เลิกงาน เพราะว่าในเวลางานให้ผมทำงานอื่นอยู่เป็นแบบนี้บ่อยมาก พักหลังๆ เจ้านายเขาก็เริ่มออกลวดลาย เรื่องก็คือ เขาต้องการให้ผมโปรโมทเพจในเฟสให้ ซึ่งในเพจเขามีเป้าหมายมาให้เลือกว่า ต้องการเจาะกลุ่มเป้าหมายหรือ ต้องการให้เป็นที่รู้จัก โดยผมก็เสนอแกไปในมุมมองของผมว่า ในช่วงเริ่มแรกของเพจเราน่าจะให้ผู้คนได้รู้จักแบรนด์ของเราก่อนดีไหมครับ เจ้านายแกตอกผมกลับมาว่า “เราไม่ได้ต้องการแบรนด์อะค่ะ เราต้องการแต่เงิน เลือกกลุ่มเป้าหมายไปสิคะ” ผมได้ยินอย่างนั้นนี่จุกเลยครับ เถียงต่อไม่เป็น ทั้งๆที่ผมคิดอยากจะบอกว่า ถึงเจาะถึงกลุ่มเป้าหมายได้ ก็ใช่ว่าทุกคนจดซื้อนะ เหตุการณ์หนักอีกอย่างนึงที่เจอก็คือ การออกบูทขายของมันขาดทุนก็เลย ต้องการหาคนผิดมารับผิดชอบ ซึ่งของที่เหลือเขาก็ถามว่าจะเอาไปไหน ซึ่งก่อนหน้านั้นผมกับหลานของเขาได้คุยกันในไลน์โดยหลานเขาเสนอมาว่าจะนำไปขายที่นี้ๆ แล้วผมก็บอกกับเจ้านายไป แล้วเจ้านายก็ไม่เชื่อโทรถามหลานเขาต่อหน้าผมแล้วเปิดลำโพง หลานเขาก็ตอบกลับมาแบบโวยวายใส่ ว่าไม่ได้พูด เท่านั้นแหละครับ เจ้านายด่าผมยับตรงนั้นเลย ว่าโยนความผิดให้หลานของแก เจ็บสุดคือถามผมว่ามีความเป็นลูกผู้ชายหรือป่าว ตอนนั้นรู้สึกแบบผมผิดอะไรมาใส่ผมขนาดนี้ พอผ่านไปหลานตัวดีของเขาก็มาบอกว่าขอโทษทีนะ ตอนนั้นลืมไปว่าเป็นคนพูดเอง (เอ้าแล้วที่ผมโดนด่าไปล่ะมันเรียกความรู้สึกกลับมาได้ไหม ) แล้วหลานก็ไปบอกกับเขาทีหลังว่าเป็นคนพูดเอง เจ้านายก็เลยมาขอโทษขอโพยผมแล้วมาเผาหลานตัวเองให้ผมฟังอีก (เพื่อ!!)

ใจผมจาก 100% เริ่มลดน้อยลง
...ไม่กี่สัปดาห์ สิ่งที่ผมได้เห็นต่อหน้า คือ ผมและเพื่อนร่วมงานกำลังจะเลิกงานในเวลา 17.00น. ซึ่งมีน้องบัญชี(เรียกน้อง
A ก็แล้วกันนะครับ) ที่ถูกเจ้านายบอกให้ทำงานให้เสร็จก่อนค่อยกลับซึ่งเป็นคำด่านะครับว่าทำไมไม่มีความรับผิดชอบ(เอ้า ก็นั่นมันเวลาเลิกงานแล้วนี่หว่า) โดยน้องคนนั้นบอกว่าจะไปซื้อของเข้าห้อง เจ้านายก็บอก "วันอาทิตย์ก็มีเวลาทำไมไม่รู้จักไปซื้อล่ะ นี่วันอาทิตย์ชะ้นก็ให้เวลาพวกเธอไม่ไปรบกวนพวกเธอแล้วนะ " น้องคนนั้นก็ถึงกับน้ำตาซึม แล้วก็นั่งทำงานต่อไป มารู้ว่าวันนั้นเขาต้องเลิกงาน 21.00น....
.....ผ่านอีกสัปดาห์ เจ้านายก็ได้สั่งงานให้ผมประกาศรับสมัคร เซล ในเว็บไซต์ ซึ่งใช่ครับ ผมลงประกาศไป เพียงสองวันมีคนมาขอสมัคร เซล และให้เริ่มงานในวันถัดไป ซึ่งในเช้าของอีกวัน เซล ได้เข้ามาเริ่มงานเป็นวันแรกและออกหาลูกค้า ในเช้าวันนั้นเองน้อง A ได้ถูกเจ้านายคนนี้บอกว่า พี่ของเลิกจ้างนะพี่ให้ไม่ผ่านการทดลองงานอีกอย่าง ทั้งค่าใช้จ่ายที่พี่ให้เซลมาทำงานรวมแล้วค่าใช้จ่ายมันสูง น้องเขาก็ถามว่า"จะให้หนูไปวันไหนคะ" เจ้านายบอกว่า "เย็นนี้เลย" น้องเขาก็อึ้งไปเลย โดยน้องก็ขอใบลาออกแต่เจ้านายคนนี้บอกไม่ต้องเซ็นหรอก แค่เซ็นรับว่าไม่ผ่านงานก็พอ แล้วยังมีทิ้งท้ายอีกว่า พี่ีอาจจะเรียกน้อง A มาทำสต็อก แบบรายวันก็ได้นะ ....
....ในช่วงนั้นก็มีป้าแม่บ้านได้มาบอกกับผมแนวๆว่า เรื่องของน้องที่โดนเลิกจ้างกระทันหันแบบนี้ นี่ไม่ใช่ครั้งแรก เคยมีชนิดที่ว่า พนักงานขิ้นรถกำลังจะขับออกกลับบ้าน เจ้านายคนนี้ก็เอาใบลาออกไปให้เซ็น ตรงนั้นแล้วให้ออกเลยวันนั้น!! ผมนี่ โอ้โหเลย คิกในใจ ...เอาแล้ว จะรอดไหมตู... ป้าแม่บ้านยังบอกอีกว่าก่อนที่ผมจะเข้ามาทำงานที่นี่นั้น เคยมีคนร้องเรียนไปที่กรมสวัสดิการแรงงาน ว่าถูกเลิกจ้างไม่บอกล่วงหน้า เจ้านายคนนี้ถึงกับปิดประตูบริษัทไม่ให้คนเข้าออกกันเลยทีเดียว เพราะกลัวว่าเจ้าหน้าที่เขาจะมาเอาเรื่องเอาราว (อู้ว ประวัติไม่ธรรมดา ) ป้าแม่บ้านยังบบอกอีกว่า แถวนี้เขารู้วีรกรรมของเจ้านายคนนี้กันหมดแหละ
...เป็นไงกับในช่วง สามเดือนแรกของผม ส่วนตัวผมคิดว่าเยอะพอสมควรเลย มาปัจจุบัน ณ ตอนนี้บ้างดีกว่า ...
..## เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ผมได้ทำงานครบกำหนดการฝึกทดลองงาน และเจ้านายได้เรียกผมเข้าไป ผลคือ ... ผมผ่านการทดลองงานครับ แต่!!ไม่ผ่านการปรับเลื่อนเงินเดือนตามที่ตกลงไว้ตอนสัมภาษณ์ โดยเจ้านายให้เหตุผลไว้ว่า จะขอทดลองงานผมเพิ่มอีก 2 เดือน เหตุเพราะ ผมยังไม่เป็นงานในส่วนของ Production ... (เอ้า!!! ยังงี้ก็ได้หรอ) แล้วที่ประเมินผมแต่ละข้อเหมือนจงใจให้ไม่ผ่านเกณฑ์ ผมก็ก้มหน้าอ่านอย่างถอดสีหน้า ว่าบางข้อนั้นไม่ได้ตรงกับผมเลย อีกทั้งข้อบกพร่องที่ควรปรับปรุง เขาเขียนมาว่า "ควรทุ่มเท และเสียสละให้มากกว่านี้ แล้วก็ยินยอมเซ็นใบที่มีเนื้อความว่า ยังไม่ปรับเงินเดือนให้กับผม และผมก็ออกมานั่งครุ่นคิดพักนึง ว่าจะเอาไงดี จนตัดสินใจเดินกลับไปที่ห้องเจ้านายอีกรอบและ เอ่ยปากขอใบลาออก เจ้านายจึงถามผมว่า ทำไมล่ะ ผมเลยตอบไปว่า "เห็นเจ้านายเขียนมาว่าสิ่งที่ควรปรับปรุงคือ การเสียสละ และทุ่มเทให้มากกว่านี้ ผมคิดว่าตัวผมเองคงทุ่มเทและเสียสละให้มากกว่านี้ไม่ได้แล้วล่ะครับ ผมสุดความสามารถแล้ว ผมเลิกงานไม่เคยเอ่ยปากถามหา OT ทำงานให้ก็เต็มที่ " เขาจึงอ้างมาว่า ที่พี่บอกว่าไม่ทุ่มเทคือ งานที่สั่งไปบางทีพี่ก็ต้องตาม เหมือนผมไม่ทุ่มเทให้กับมัน ---ผมขอบอกก่อนเลยนะครับว่า งานผมมันจับฉ่ายมาก ซึ่งเวลาเจ้านายสั่งงานมา งานเก่ายังไม่หมด งานใหม่มารออีก เดี๋ยวออกไปส่งของบ้าง เข้าไปช่วยในไลน์ผลิตบ้าง นู้นเสียบ้าง นี่เสียบ้าง จนที่ผมจดไว้ว่าต้องทำ จึงไม่มีเวลาทำ แล้วมาบอกว่า ผมทำงานได้ช้า ซึ่งตอนนั้นผมก็อธิบายนะครับ ว่างานมันเยอะ ผมไม่สามารถแยกร่างไปได้ เขาก็บลาๆแถไปเรื่องอื่น...แล้วบอกว่า พี่แค่ขอเลื่อนการทดลองงานไปอีกสองเดือน เพราะเห็นว่างานที่ผมทำในส่วน Production ผมยังทำได้ไม่ดีพอ (แล้วเขาเอาอะไรมาประเมิน เพราะหัวหน้างาน Product ที่ทำงานกับผมต้องเป็นคนประเมินแล้วยื่นไม่ใช่หรอ แล้วตอนผมอยู่ในไลน์ เจ้านายไม่เคยเข้ามาดูผมทำงานด้วยซ้ำ เอาอะไรมาประเมินกันแน่ แล้วที่บอกให้ผมมาช่วยงานในไลน์ล่ะ นี่ผม สมัครมาในตำแหน่ง ช่างซ่อมบำรุงนะ ) ผมจึงถามกลับไปอีกทีว่า "สรุปแล้ว เจ้านายต้องการประเมินผมในตำแหน่ง Production ใช่มั้ยครับ?" เขาตอบว่าใช่ ผมจึงทำเหมือนเข้าใจและเดินออกมา โดยที่ไม่ได้ใบลาออก ซึ่งผมคิดไว้ในใจว่า ลาออก รอบหน้า ซึ่งคงอีกไม่นานให้หางานได้ก่อน คงได้ใช้เหตุผลที่ว่า "ต้องการทำงานในสายงานที่ตัวเองจบมา ไม่ใช่ Production ....."
เรื่องราวคงยังไม่จบครับ แต่คืนนี้ระบายต่อไปไม่ไหวแล้ว ไว้จะมาระบายต่อในวันพรุ่งนี้นะครับ 17/10/2017 ..ขอบคุณที่ร่วมรับฟังและแชร์ประสบการณ์เจ้านายห่วยแห่งปี ครับ ไว้จะมาเล่าต่อครับ
ใครเจอเจ้านายห่วยๆ มาระบายให้ฟังกันหน่อยครับ (2017)
ส่วนตัวผมเองนั้น เป็นเด็กจบใหม่ แต่ก็มีประสบการณ์ทำงานอยู่บ้างครับ เพราะทำงานไปเรียนไปด้วย ก็ได้มาทำงานที่บริษัทนี้ได้ 4 เดือนแล้วล่ะครับ บริษัทอยู่ ย่าน อ.บางใหญ่ จ.นนทบุรี (ไม่ขอเอ่ยตำบลนะครับ ดูเป็นการเจาะจงจนเกินไป) เป็นบริษัทผลิตเกี่ยวกับอาหาร ซึ่งตอนที่มาสมัครมีคนงานรวมป้าแม่บ้านและเจ้านายแล้วเพียง 4 คน (น้อยจนน่าแปลกใจ) แต่ผมก็ไม่คิดอะไร โดยสวัสดิการที่บริษัทมอบให้คือ ประกันสังคม บ้านพัก(ตั้งอยู่ในบริษัท) ฟรีค่าน้ำ-ไฟ ซึ่งตำแหน่งที่สมัครเข้ามาคือ ช่างซ่อมบำรุง แต่ในตอนสัมภาษณ์ เจ้านายก็ถามผมว่า “สามารถทำงานหลายอย่างได้ไหมนอกจากช่าง อย่างเช่นช่วยงานในไลน์ผลิต ประมาณนี้” ผมก็บอกว่าได้ครับ ขอแค่มีคนสอนงาน. และแล้วก็ตกลงกันเข้างานเรียบร้อย (ขอเกริ่นก่อนนะครับว่าเข้านายคนนี้เป็นผู้หญิง ไม่มีครอบครัว มีก็แต่หลานของแกที่มาช่วยแกทำงานแต่ก็อยู่ในตำแหน่งพนักงานเหมือนกัน โดยเจ้านายคนนี้แกเป็นคนธรรมะ ทานมังสวิรัติ-เจ แกบอกว่าแกช่วยเหลือแผ่นดิน เดินตามรอยเท้าพ่อหลวง
....ผ่านไปเรื่อยจนมีอยู่วันหนึ่งครับ เจ้านายให้ผมไปซื้อน้ำถังที่ร้านขายของชำ (เป็นน้ำถังแบบเปลี่ยนถัง ถังละ 15 บาท) แกก็กำชับให้ผมขอใบเสร็จรับเงินแบบปั้มตรายางมาด้วย ผมก็งุนงง นิดหน่อย ก็เลยถามเขาไปว่าทำไม ก็ได้รับคำตอบว่าจะนำไปใช้ลดหย่อนภาษีครับ ผมก็ไปซื้อให้ เจ้าของร้านแกก็ดูหงุดหงิดหน่อยที่ผมซื้อน้ำไม่กี่ถังแล้วขอบิล แล้วเจ้าของร้านก็ถามผมว่า มาจากไหน ผมก็บอกชื่อบริษัทไป เขาก็สวนมาว่า “อ๋อจากที่นี่เองหรอ จะอยู่ได้นานไหมล่ะเราอะ” ผมก็ขำแล้วก็กลับบริษัท ไม่ได้คิดอะไร
...แล้วก็ผ่านไปเจออีกเหตุการณ์หนึ่งคือ เครื่องตัดหญ้าที่บริษัทเสีย เจ้านายก็เลยใช้ให้ผมนำไปซ่อมที่อู่ใกล้ ที่ราคา 450 บาท แต่ที่พีคคือ อู่นี้เป็นอู่ซ่อมรถธรรมดา ไม่ได้มีบิลที่ปั้มตรายาง เจ้านายผมคนนี้ใช้ให้ผมไปขอสำเนาบัตรประชาชนของช่างคนนี้มาเซ็นแนบกับบิล ผมนี่ลำบากใจเลยที่นี่ จะไปพูดกับเขายังไงวะเนี่ย ก็เลยลองไปพูดกับช่างคนนี้ เขาก็บอกว่า "ถ้าเรื่องมากขนาดนี้ทีหลังไม่ต้องมาซ่อมกับผมแล้วนะ เมื่อก่อนก็เคยมาซ่อมแค่ 70 บาทยังชอบิลกับสำเนา ผมต้องมานั่งหาร้านถ่ายเอกสารเสียเวลาทำมาหากิน ผมไม่ไหวหรอก" เอ่อ แล้วผมก็ต้องมานั่งรับคำด่าจากชาวบ้านเนี่ยนะ
....จนได้มาเจอกับตัวเอง เริ่มจากเบาๆเลยก็คือ จากที่เจ้านายได้ถามว่า "ทำงานหลายอย่างได้ไหม" แล้วตอบว่า"ได้"เท่านั้นแหละครับ ช่างซ่อมบำรุงอย่างผม เป็นได้มากกว่านั้นมากกกก ทั้ง คนพาพม่าไปทำเรื่องแรงงานต่างด้าว สืบหานายจ้างคนเก่าเพื่อขอทำเรื่องเปลี่ยนนายจ้าง
(้ต้องออกไปต่าง จว.เพื่อถามหาชื่อตามภูมิลำเนาแล้วตามหาผู้ใหญ่บ้านที่ที่ว่าการอำเภอเพื่อให้เขานำไปบ้านของนายจ้างเก่า ) เป็นคนขับรถซื้อน้ำ คนยกของหนักๆคนตัดหญ้า คนส่งของ (จับฉ่ายมาก) ออกแบบและสร้างเว็บไซต์ให้บริษัท สร้างสติ๊กเกอร์ให้ผลิตภัณฑ์ใหม่ แก้ไขสติ๊กเก้อร์เก่าๆ เป็นเซลขับรถออกไปขายของ เป็นคนหาข้อมูลในเว็บ เพื่อส่งให้การตลาดเขาทำงานต่อ เป็นฝ่ายจัดซื้อ เป็นพนักงานออกบูทตามงานอีเว้นต่างๆ ซึ่งน้อยครั้งมากที่จะได้เลิกงานตรงเวลา (เวลาทำงานของผมคือ จ-ส 08.00-17.00น.) ซึ่งที่ล่วงเวลาไปนั้น "ไม่เคยได้ค่าล่วงเวลา ย้ำ!! ไม่เคยได้ค่าล่วงเวลาจนถึงวันนี้“
...ไม่กี่สัปดาห์ สิ่งที่ผมได้เห็นต่อหน้า คือ ผมและเพื่อนร่วมงานกำลังจะเลิกงานในเวลา 17.00น. ซึ่งมีน้องบัญชี(เรียกน้อง
A ก็แล้วกันนะครับ) ที่ถูกเจ้านายบอกให้ทำงานให้เสร็จก่อนค่อยกลับซึ่งเป็นคำด่านะครับว่าทำไมไม่มีความรับผิดชอบ(เอ้า ก็นั่นมันเวลาเลิกงานแล้วนี่หว่า) โดยน้องคนนั้นบอกว่าจะไปซื้อของเข้าห้อง เจ้านายก็บอก "วันอาทิตย์ก็มีเวลาทำไมไม่รู้จักไปซื้อล่ะ นี่วันอาทิตย์ชะ้นก็ให้เวลาพวกเธอไม่ไปรบกวนพวกเธอแล้วนะ " น้องคนนั้นก็ถึงกับน้ำตาซึม แล้วก็นั่งทำงานต่อไป มารู้ว่าวันนั้นเขาต้องเลิกงาน 21.00น....
.....ผ่านอีกสัปดาห์ เจ้านายก็ได้สั่งงานให้ผมประกาศรับสมัคร เซล ในเว็บไซต์ ซึ่งใช่ครับ ผมลงประกาศไป เพียงสองวันมีคนมาขอสมัคร เซล และให้เริ่มงานในวันถัดไป ซึ่งในเช้าของอีกวัน เซล ได้เข้ามาเริ่มงานเป็นวันแรกและออกหาลูกค้า ในเช้าวันนั้นเองน้อง A ได้ถูกเจ้านายคนนี้บอกว่า พี่ของเลิกจ้างนะพี่ให้ไม่ผ่านการทดลองงานอีกอย่าง ทั้งค่าใช้จ่ายที่พี่ให้เซลมาทำงานรวมแล้วค่าใช้จ่ายมันสูง น้องเขาก็ถามว่า"จะให้หนูไปวันไหนคะ" เจ้านายบอกว่า "เย็นนี้เลย" น้องเขาก็อึ้งไปเลย โดยน้องก็ขอใบลาออกแต่เจ้านายคนนี้บอกไม่ต้องเซ็นหรอก แค่เซ็นรับว่าไม่ผ่านงานก็พอ แล้วยังมีทิ้งท้ายอีกว่า พี่ีอาจจะเรียกน้อง A มาทำสต็อก แบบรายวันก็ได้นะ ....
....ในช่วงนั้นก็มีป้าแม่บ้านได้มาบอกกับผมแนวๆว่า เรื่องของน้องที่โดนเลิกจ้างกระทันหันแบบนี้ นี่ไม่ใช่ครั้งแรก เคยมีชนิดที่ว่า พนักงานขิ้นรถกำลังจะขับออกกลับบ้าน เจ้านายคนนี้ก็เอาใบลาออกไปให้เซ็น ตรงนั้นแล้วให้ออกเลยวันนั้น!! ผมนี่ โอ้โหเลย คิกในใจ ...เอาแล้ว จะรอดไหมตู... ป้าแม่บ้านยังบอกอีกว่าก่อนที่ผมจะเข้ามาทำงานที่นี่นั้น เคยมีคนร้องเรียนไปที่กรมสวัสดิการแรงงาน ว่าถูกเลิกจ้างไม่บอกล่วงหน้า เจ้านายคนนี้ถึงกับปิดประตูบริษัทไม่ให้คนเข้าออกกันเลยทีเดียว เพราะกลัวว่าเจ้าหน้าที่เขาจะมาเอาเรื่องเอาราว (อู้ว ประวัติไม่ธรรมดา ) ป้าแม่บ้านยังบบอกอีกว่า แถวนี้เขารู้วีรกรรมของเจ้านายคนนี้กันหมดแหละ
...เป็นไงกับในช่วง สามเดือนแรกของผม ส่วนตัวผมคิดว่าเยอะพอสมควรเลย มาปัจจุบัน ณ ตอนนี้บ้างดีกว่า ...
..## เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ผมได้ทำงานครบกำหนดการฝึกทดลองงาน และเจ้านายได้เรียกผมเข้าไป ผลคือ ... ผมผ่านการทดลองงานครับ แต่!!ไม่ผ่านการปรับเลื่อนเงินเดือนตามที่ตกลงไว้ตอนสัมภาษณ์ โดยเจ้านายให้เหตุผลไว้ว่า จะขอทดลองงานผมเพิ่มอีก 2 เดือน เหตุเพราะ ผมยังไม่เป็นงานในส่วนของ Production ... (เอ้า!!! ยังงี้ก็ได้หรอ) แล้วที่ประเมินผมแต่ละข้อเหมือนจงใจให้ไม่ผ่านเกณฑ์ ผมก็ก้มหน้าอ่านอย่างถอดสีหน้า ว่าบางข้อนั้นไม่ได้ตรงกับผมเลย อีกทั้งข้อบกพร่องที่ควรปรับปรุง เขาเขียนมาว่า "ควรทุ่มเท และเสียสละให้มากกว่านี้ แล้วก็ยินยอมเซ็นใบที่มีเนื้อความว่า ยังไม่ปรับเงินเดือนให้กับผม และผมก็ออกมานั่งครุ่นคิดพักนึง ว่าจะเอาไงดี จนตัดสินใจเดินกลับไปที่ห้องเจ้านายอีกรอบและ เอ่ยปากขอใบลาออก เจ้านายจึงถามผมว่า ทำไมล่ะ ผมเลยตอบไปว่า "เห็นเจ้านายเขียนมาว่าสิ่งที่ควรปรับปรุงคือ การเสียสละ และทุ่มเทให้มากกว่านี้ ผมคิดว่าตัวผมเองคงทุ่มเทและเสียสละให้มากกว่านี้ไม่ได้แล้วล่ะครับ ผมสุดความสามารถแล้ว ผมเลิกงานไม่เคยเอ่ยปากถามหา OT ทำงานให้ก็เต็มที่ " เขาจึงอ้างมาว่า ที่พี่บอกว่าไม่ทุ่มเทคือ งานที่สั่งไปบางทีพี่ก็ต้องตาม เหมือนผมไม่ทุ่มเทให้กับมัน ---ผมขอบอกก่อนเลยนะครับว่า งานผมมันจับฉ่ายมาก ซึ่งเวลาเจ้านายสั่งงานมา งานเก่ายังไม่หมด งานใหม่มารออีก เดี๋ยวออกไปส่งของบ้าง เข้าไปช่วยในไลน์ผลิตบ้าง นู้นเสียบ้าง นี่เสียบ้าง จนที่ผมจดไว้ว่าต้องทำ จึงไม่มีเวลาทำ แล้วมาบอกว่า ผมทำงานได้ช้า ซึ่งตอนนั้นผมก็อธิบายนะครับ ว่างานมันเยอะ ผมไม่สามารถแยกร่างไปได้ เขาก็บลาๆแถไปเรื่องอื่น...แล้วบอกว่า พี่แค่ขอเลื่อนการทดลองงานไปอีกสองเดือน เพราะเห็นว่างานที่ผมทำในส่วน Production ผมยังทำได้ไม่ดีพอ (แล้วเขาเอาอะไรมาประเมิน เพราะหัวหน้างาน Product ที่ทำงานกับผมต้องเป็นคนประเมินแล้วยื่นไม่ใช่หรอ แล้วตอนผมอยู่ในไลน์ เจ้านายไม่เคยเข้ามาดูผมทำงานด้วยซ้ำ เอาอะไรมาประเมินกันแน่ แล้วที่บอกให้ผมมาช่วยงานในไลน์ล่ะ นี่ผม สมัครมาในตำแหน่ง ช่างซ่อมบำรุงนะ ) ผมจึงถามกลับไปอีกทีว่า "สรุปแล้ว เจ้านายต้องการประเมินผมในตำแหน่ง Production ใช่มั้ยครับ?" เขาตอบว่าใช่ ผมจึงทำเหมือนเข้าใจและเดินออกมา โดยที่ไม่ได้ใบลาออก ซึ่งผมคิดไว้ในใจว่า ลาออก รอบหน้า ซึ่งคงอีกไม่นานให้หางานได้ก่อน คงได้ใช้เหตุผลที่ว่า "ต้องการทำงานในสายงานที่ตัวเองจบมา ไม่ใช่ Production ....."
เรื่องราวคงยังไม่จบครับ แต่คืนนี้ระบายต่อไปไม่ไหวแล้ว ไว้จะมาระบายต่อในวันพรุ่งนี้นะครับ 17/10/2017 ..ขอบคุณที่ร่วมรับฟังและแชร์ประสบการณ์เจ้านายห่วยแห่งปี ครับ ไว้จะมาเล่าต่อครับ