Oculus ที่พี่มาร์คนำเสนอสงสัยจะต้องพึ่งไวไฟ บลูทูธเป็นหลักเพื่อเข้าสู่อินเตอร์เน็ต
การพยายามของพี่มาร์คครั้งนี้ค่อนข้างจริงจัง เพราะทำราคาออกมาที่คนส่วนใหญ่เข้าถึงได้คือไม่ถึงหมื่น
ที่น่าสนใจคือ การที่ไม่พึ่งมือถือแทนจอแสดงผล แต่ก็ยังทำราคาได้ดี
ถ้าทำสำเร็จมันจะทำให้เวลาที่เราเอาแต่มองมือถือลดลง และมันจะนำไปสู่การเปลี่ยนพฤติกรรมผู้บริโภคไปอีกระดับ
อย่างที่เราเคยผ่านมา แต่ก่อนเราใช้เวลาดูทีวีกัน แล้วพอมีมือถือที่ฉลาดพอ มันก็เอาเวลาดูทีวีของเราไปเพิ่มให้มือถือแทน
และนี่ถ้าตรงนี้สำเร็จ มันก็จะเปลี่ยนไปอีก เปลี่ยนไปในลักษณะที่มนุษย์จะเคลื่อนที่น้อยลง
เพราะถ้ามันทำแล้วเปลี่ยนกระแสได้ นั้นหมายความว่า แอพต่างๆมากมายจะพรั่งพรูออกมา สนับสนุนให้มนุษย์ทำงานผ่านอุปกรณ์พวกนี้ได้สะดวกมากขึ้น
กลายเป็นว่า มนุษย์ยุคหน้าจะคุยงาน คุยกันกันผ่านโลกเสมือนจริง
มือถือจะลดทอนความสำคัญลง เพราะอะไรที่ทำได้ในมือถือ ไอ้เจ้านี่ก็คงทำงานได้ไม่ต่างกัน
โอกาสที่ FB จะทำสำเร็จก็เป็นไปได้สูง แต่ก็ไม่ง่าย ที่ทำได้เพราะฐานลูกค้าของ FB มีเยอะมาก มากพอที่จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเป็นวงกว้าง
กว้างขนาดที่ทำให้คนที่เลือกที่จะไม่เปลี่ยนยอมเปลี่ยน
โอกาสสำเร็จอีกอัน คือ ขีดจำกัดของมือถือ มันก้าวกระโดดไปไม่ได้มากกว่านี้แล้ว
สังเกตดีๆ เราติดอยู่กับยุคจอสัมผัสมานานแค่ไหนแล้ว ก้าวไม่พ้นจากนี้ซะที
(ส่วนตัว ผมยอมรับผมเบื่อกับเทคโนโลยีมือถือที่เราเคยว้าวในยุคแรกๆมาหลายปีแล้ว เพราะมันไม่มีอะไรให้ว้าวแล้ว)
ถ้ามีอะไรใหม่ๆมามันก็น่าสนมาก โลกจะได้ก้าวกระโดดไปอีกจุดนึงซะที
การไม่ใช้มือถือ อาจจะหมายถึง FB กำลังอยากจะสร้างอาณาจักรของตัวเองบ้าง ไม่ต้องไปเป็นแค่แอพของ OS คนอื่นเค้า
อุปสรรค คือ อุปกรณ์สวมหัว มันทำให้คนลำบากในการใช้งาน มันเป็นไปไม่ได้ที่คนจะเดินไปใช้ไปได้ การใช้งานมันก็คงต้องอยู่ในพื้นที่ปิดอย่างเดียว
และถ้าให้กระแสมันมา มันหมายความว่า มนุษย์จะเคลื่อนที่ลดลง ใช้เวลาอยู่ในโลกโซเชียลมากขึ้นไปอีก
อยากเห็นการเปลี่ยนแปลง อยากเห็นการแข่งขัน เบื่อเจ้าเดิมๆ กับการตลาด กับการขายสินค้าแพงๆทั้งที่มันไม่ได้มีอะไรใหม่
แต่คนยังต้องซื้อเพราะมันไม่มีตัวเลือกใหม่ๆให้ต้องเลิกง้อเค้าซะที ลุ้นๆจะทำได้มั้ย
หรือมันจะเป็นแค่ของเล่นชิ้นนึงที่พอซักพักคนก็เบื่อ กลับไปหามือถือเหมือนเดิม เหอๆ
Facebook จะมี impact พอจะทำให้คนเลิกมองจอมือถือ มาใส่อุปกรณ์สวมหัวมั้ยครับ
การพยายามของพี่มาร์คครั้งนี้ค่อนข้างจริงจัง เพราะทำราคาออกมาที่คนส่วนใหญ่เข้าถึงได้คือไม่ถึงหมื่น
ที่น่าสนใจคือ การที่ไม่พึ่งมือถือแทนจอแสดงผล แต่ก็ยังทำราคาได้ดี
ถ้าทำสำเร็จมันจะทำให้เวลาที่เราเอาแต่มองมือถือลดลง และมันจะนำไปสู่การเปลี่ยนพฤติกรรมผู้บริโภคไปอีกระดับ
อย่างที่เราเคยผ่านมา แต่ก่อนเราใช้เวลาดูทีวีกัน แล้วพอมีมือถือที่ฉลาดพอ มันก็เอาเวลาดูทีวีของเราไปเพิ่มให้มือถือแทน
และนี่ถ้าตรงนี้สำเร็จ มันก็จะเปลี่ยนไปอีก เปลี่ยนไปในลักษณะที่มนุษย์จะเคลื่อนที่น้อยลง
เพราะถ้ามันทำแล้วเปลี่ยนกระแสได้ นั้นหมายความว่า แอพต่างๆมากมายจะพรั่งพรูออกมา สนับสนุนให้มนุษย์ทำงานผ่านอุปกรณ์พวกนี้ได้สะดวกมากขึ้น
กลายเป็นว่า มนุษย์ยุคหน้าจะคุยงาน คุยกันกันผ่านโลกเสมือนจริง
มือถือจะลดทอนความสำคัญลง เพราะอะไรที่ทำได้ในมือถือ ไอ้เจ้านี่ก็คงทำงานได้ไม่ต่างกัน
โอกาสที่ FB จะทำสำเร็จก็เป็นไปได้สูง แต่ก็ไม่ง่าย ที่ทำได้เพราะฐานลูกค้าของ FB มีเยอะมาก มากพอที่จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเป็นวงกว้าง
กว้างขนาดที่ทำให้คนที่เลือกที่จะไม่เปลี่ยนยอมเปลี่ยน
โอกาสสำเร็จอีกอัน คือ ขีดจำกัดของมือถือ มันก้าวกระโดดไปไม่ได้มากกว่านี้แล้ว
สังเกตดีๆ เราติดอยู่กับยุคจอสัมผัสมานานแค่ไหนแล้ว ก้าวไม่พ้นจากนี้ซะที
(ส่วนตัว ผมยอมรับผมเบื่อกับเทคโนโลยีมือถือที่เราเคยว้าวในยุคแรกๆมาหลายปีแล้ว เพราะมันไม่มีอะไรให้ว้าวแล้ว)
ถ้ามีอะไรใหม่ๆมามันก็น่าสนมาก โลกจะได้ก้าวกระโดดไปอีกจุดนึงซะที
การไม่ใช้มือถือ อาจจะหมายถึง FB กำลังอยากจะสร้างอาณาจักรของตัวเองบ้าง ไม่ต้องไปเป็นแค่แอพของ OS คนอื่นเค้า
อุปสรรค คือ อุปกรณ์สวมหัว มันทำให้คนลำบากในการใช้งาน มันเป็นไปไม่ได้ที่คนจะเดินไปใช้ไปได้ การใช้งานมันก็คงต้องอยู่ในพื้นที่ปิดอย่างเดียว
และถ้าให้กระแสมันมา มันหมายความว่า มนุษย์จะเคลื่อนที่ลดลง ใช้เวลาอยู่ในโลกโซเชียลมากขึ้นไปอีก
อยากเห็นการเปลี่ยนแปลง อยากเห็นการแข่งขัน เบื่อเจ้าเดิมๆ กับการตลาด กับการขายสินค้าแพงๆทั้งที่มันไม่ได้มีอะไรใหม่
แต่คนยังต้องซื้อเพราะมันไม่มีตัวเลือกใหม่ๆให้ต้องเลิกง้อเค้าซะที ลุ้นๆจะทำได้มั้ย
หรือมันจะเป็นแค่ของเล่นชิ้นนึงที่พอซักพักคนก็เบื่อ กลับไปหามือถือเหมือนเดิม เหอๆ