สวัสดี..สองสามวันกลับมาที มีคนในพันทิปแนะนำว่า..ให้พิมพ์ใน word ก่อนแล้ว cop มาลง ขอบคุณสำหรับคำแนะนำ แต่ส่วนตัวผมชอบอะไรที่สดๆมันคือความจริงที่ไม่ได้ปรุงแต่ง ดูจริงใจดีนะผมว่า..
ความเดิมตอนที่แล้ว.........เป็นช่วงวัยรุ่นตอนต้น ลืมบอกไปว่า..สมัยนั้นเขาทำบัตรประชาชนกันตอนอายุ 15 ปี ผมมีวันเกิดจริงที่ไม่ตรงตามบัตรประชาชน อันเนื่องจากว่า..ตอนที่แม่แจ้งเกิด แม่บอกว่าอยู่เลี้ยงลูก 4 คน ด้วยตัวแม่คนเดียว แม่ยุ่งมากไม่มีเวลาไปแจ้งเกิดให้ทันตามกฎหมายกำหนด ด้วยความที่แม่กลัวโดนปรับเงินแม่จึงแจ้ง..ผิดทั้งวันและเดือน จริงๆผมเกิด 18 เมษา แต่บนบัตรประชนผมวันที่ 29 สิงหา เฮ้อ!ผมเป็นคนเดียวในพี่น้อง 4 คนที่ค่อนข้างสับสนเวลาจะต้องแจ้งวันเกิดตัวเองเมื่อมีใครถาม แต่ทุกวันนี้..ผมคิดบวก คือได้ฉลองวันเกิด 2 รอบ 555
หลังจาก..ที่ผมเรียนจบ ปวช.แล้ว ผมก็กลับมาใช้ชีวิตที่บ้านนอกคอกนาเหมือนเดิมหลังจากต้องใช้ชีวิตที่วุ่นวายที่กรุงเทพฯมา 3 ปี ตลอดเวลาผมถวิลหา..ชีวิต Slow life แบบบ้านเกิดเมืองนอนที่ต่างจังหวัดมากกว่า โดยครั้งนี้..ผมสอบติดและได้เรียนที่วิทยาลัยอาชีวะของรัฐบาลประจำจังหวัด เรียนต่อ..ปวส.สายอาชีพเดิมที่เรียนมาเมื่อ ปวช. ผลการเรียนที่นี่ของผมไม่ดีเท่าที่ควรเนื่องจากมันคนละหลักสูตรกับที่ผมเคยเรียนมา หรืออาจเป็นเพราะว่าผมไม่เอาไหนเอง เพราะมีปัจจัยหลายอย่างที่ไม่เหมือนตอนที่เรียนอยู่กรุงเทพฯ เช่น ที่นี่มีหลายคณะ และคณะที่ผมเรียนอยู่ก็ติดกับคณะคหกรรมการโรงแรมและคณะบัญชี สิ่งแวดล้อมเต็มไปด้วยสาวๆ และด้วยความที่ผมเคยอยู่กรุงเทพฯทำให้ผมกล้าแสดงออกและดูมีความมั่นอยู่ในตัว จากที่ปกติเป็นคนขี้อาย ผมได้มีโอกาสร้องเพลงและเล่นดนตรีให้กับแผนกที่ผมเรียน ที่นี้ล่ะ..สาวๆมารุมตรอมกันเพียบ(เหมือนแมลงวันตรอมขี้ อิอิ) เพราะผมเหมือนเด็กเมืองกรุงมาอยู่ต่างจังหวัด สาวๆเลยคิดจะมาเปิดบริสุทธิ์ผม เพราะว่า..เพื่อนใหม่ที่ผมเจอที่นั่นมันบอกว่า..ผมดูเวอร์จิ้น ผมก็สารภาพกับเพื่อนตรงๆเลยว่า..จริงๆแล้วผมก็ยังจิ้นอยู่ เพื่อนผมส่วนใหญ่มันก็จบ ปวช.แล้วก็มาเรียนต่อ ปวส.ที่เดิม มันมีเมียในวัยเรียนกันหมดแล้วตั้งแต่ ปวช. สมัยนั้นถือว่าเป็นเรื่องปกติ แต่ผมว่าเดี๋ยวนี้ ม.1 ก็เริ่มมีได้เสียกันแล้วล่ะ ด้วยปัจจัยหลายๆอย่างเปลี่ยนไป
แต่สุดท้าย..ผมก็เอาตัวรอด ทั้งการเรียนและความบริสุทธิ์ของผม เพราะผมไม่อยากทำให้แม่ต้องผิดหวังในตัวผมอีก ผมเป็นคนเดียวในบรรดาพี่น้องที่เป็นผู้ชายโดยไม่นับพี่สาวนะ ที่ค่อนข้างออกนอกลู่นอกทาง พี่ชายเป็นคนขยันเรียนเคยเป็นประธานนักเรียน ได้เกรดนิยมตอนจบมหาลัย ในขณะที่ผมเน้นกิจกรรม เล่นดนตรีและกีฬา เป็นแค่หัวหน้าห้องที่โดดเรียนกับเพื่อนๆ ส่วนน้องชายก็ขยันเรียนเหมือนพี่ชายแต่มันดวงเฮงด้วย สอบที่ไหนก็ติด เมื่อตอนนั้น..ผมเคยคิดว่า..ตัวผมเป็นเด็กมีปัญหา แม่ไม่รักลูกชายคนกลาง พ่อก็ทิ้งผมไปตั้งแต่ผมจำความได้
ถึงแม้ว่า..ผมจะมีพ่อแต่เหมือนไม่มีก็ตาม แต่ในบ้านแม่จะมีรูปในหลวง รัชกาลที่ 9 ติดไว้ข้างฝาบ้าน แม่สอนให้ไว้รูปในหลวงทุกครั้งที่ผมกลับมาบ้าน ผมก็ทำตามที่แม่บอกตั้งแต่เด็กๆ ผมคิดว่า..นี่แหละ พ่อที่เป็นแบบอย่างที่ดีของผม และเป็นสิ่งยึดเหนี่ยวจิตใจให้ผมเป็นคนดี นอกเหนือจากแม่อีกคน
ผมอาจไม่ได้เป็นคนดีที่สุดของแม่แต่ผมก็พยายามเป็นคนดีในสังคม หลังจาก..ผมเรียนจบ ปวส.ผมไม่ได้ไปเรียนต่อปริญญาตรีเหมือนพี่ชายกับน้องชาย ผมอยู่บ้านไม่ได้หางานทำเหมือนเพื่อนๆคนอื่น จนกระทั่งวันหนึ่งเพื่อนผมมาชวนไปสมัครงาน แม่บอกให้ผมไปไม่ต้องอยู่เป็นเพื่อนแม่ แม่ยังไหวอยู่ ผมได้งาน 2 ที่พร้อมกัน คือ งานโรงงานแถวบ้าน เงินเดือนเริ่มต้น 1 หมื่นบาท กับอีกที่..เป็นงานบริษัทที่สัมปทานโครงการพระราชดำริของในหลวง ร.9 ขององค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทย เงินเดือนไม่ถึงหมื่น ผมงานเลือกอย่างเพราะว่า..ผมไม่ชอบงานโรงงาน เงินเดือนดีก็จริงแต่ผมว่าชีวิตจำเจเหมือนอยู่โรงเรียน และอีกอย่างผมอยากทำงานที่เปรียบเสมือนได้ตอบแทนแผ่นดิน คือโครงการโทรศัพท์ทางไกลชนบทผ่านดาวเทียม ตอนนั้นผมมีอายุ 20 ปีพอดี แต่พออายุ 21 ปีผมต้องไปคัดเลือกทหารเกณฑ์ เพราะตอนเรียน ปวช.ผมไม่ได้เรียน รด. มีญาติผมเขาให้พระรอดยืมในวันวันคัดเลือกฯเขาบอกว่า..ญาติเขารอดทุกคน ผมก็ทำตามที่ญาติบอกทุกอย่าง คือให้อมพระไว้ที่ใต้ลิ้น ไม่พูดจาหยาบคาย แล้วผมก็จับได้...............................................ใบแดง ทร.2 คือ ทหารเรือ ผลัดสอง หลังจากจับใบดำใบแดง ผมก็เอาพระไปคืนญาติพร้อมบอกญาติว่า..ไหนว่ารอดไง..ทำไมผมไม่รอดล่ะ ญาติบอกกลับมาว่า..พระรอดแต่คนไม่รอดไง พร้อมปลอบใจให้สู้ๆ เป็นคำปลอบใจที่ผมไม่อยากได้ฟังสักเท่าไร
หลังจากเหตุการณ์นั้น..ผมกลับมาทำงานที่เดิมประมาณ 4 ปี บุกป่าฝ่าดง ก็ต้องอดทน ข้ามน้ำข้ามทะเล ว่ายน้ำก็ไม่เป็นแถมเคยจมน้ำเกือบตายมาแล้ว 2 ครั้งในตอนเด็ก แต่ก็ใจดีสู้เสือมาโดยตลอดการทำงานที่นี่ ผมรู้สึกภูมิใจที่ได้เป็นส่วนหนึ่งในการพัฒนาประเทศ จากคนไม่เอาไหน จากคนไม่เอาถ่าน อย่างผม ทำให้แม่ได้ภูมิใจไปด้วย เสียดายอย่างเดียว คือ ผมไม่ได้อยู่ทำงานจนหมดเวลาสัมปทาน ต้องลาออกจากงานมาทำกิจการส่วนตัวที่บ้าน ตอนนั้นผมมีแฟนแล้ว แม่ก็อยู่บ้านคนเดียวท่านก็เริ่มแก่แต่ก็ยังขายของยุ่งๆเหมือนเดิม ผมจึงตัดสินใจพาแฟนมาอยู่บ้านเป็นเพื่อนแม่ โดยแรกๆแลดูแม่จะมีความสุขดีนะที่มีเพื่อนกินข้าวทุกมื้อ แฟนผมก็ชอบกินน้ำพริกเหมือนแม่ ผมกับแฟนช่วยกันทำกิจการของตัวเองที่บ้านแม่เป็นเวลาประมาณ 1 ปี จนกระทั่งเก็บเงินแต่งงานกัน หลังจากนั้นพอตั้งตัวได้จึงพร้อมที่จะมีลูก ผมมีลูกด้วยกัน 2 คน หัวปีท้ายปีเลยทีเดียว ชีวิตก็ดำเนินไปได้ด้วยดี จนกระทั่ง..
พี่ชายแท้ๆที่คลานตามกันมา มีอาชีพรับราชการ การงานมั่นคง กลับมาทำธุรกิจเดียวกับผม โดยเขามาขอบ้านแม่อีกห้องเพื่อเปิดร้านติดกันกับผม โดยวันธรรมดาเขาอาศัยเปิดร้านเช้าก่อนไปทำงาน เย็นกลับจากทำงานมาเปิดร้าน วันหยุดเขาก็เปิดร้านทั้งวัน ชีวิตผมเริ่มไม่มีความสุขแล้วในขณะนั้น ผมไปถามแม่ว่า..ทำไมปล่อยให้พี่ชายมาขายของเหมือนกัน แม่ก็ตอบคำถามที่ชาวบ้านแถวนั้นถามเหมือนกันว่า..ไม่รู้เหมือนกัน..ทีแรกเห็นมันว่าจะพาเมียมันกลับมาอยู่บ้านแม่เฉยๆเพราะอยู่บ้านพักราชการมันไม่สะดวก เกือบสิบปีที่ผมต้องอยู่อย่างทรมานเพราะต้องมาแข่งขันกันเองกับพี่ตัวเอง โดยที่แม่ก็ทรมานไม่แตกต่างจากผม มีอยู่ครั้งหนึ่งผมเห็นแม่ร้องไห้เพราะว่าแม่เอาผลไม้ไปให้พี่ชายแต่พอแม่เดินหลังกลับออกมา..เมียมันดันโยนผลไม้ทิ้ง แม่ผมต้องกลับไปก้มเก็บผลไม้ทั้งน้ำตา บ้านที่เคยอยู่อย่างสงบสุขมันก็ไม่สงบสุขอีกต่อไป
แถมยังลุกเป็นไฟ ในเวลาต่อมาอีกเมื่อ น้องชายแท้ๆคลานตามกันออกมาอีกคน จบปริญญาตรี ยังไม่มีงานทำ เห็นผมทำกิจการนี้แล้วดี จึงอยากทำเหมือนผมอีกคน บ้านแม่จะมี 3 ห้อง ผมอยู่ห้องกลาง แม่อยู่ห้องซ้าย พี่ชายอยู่ห้องขวา คราวนี้ล่ะ..งามไส้แน่ถ้าแม่ไม่ห้ามน้องชายไว้ให้มาขายของเหมือยกัน ผมลูกชายคนกลางอยู่ห้องกลางก็ต้องโดนน้องชายกับพี่ชาย บีบออกเป็นแน่แท้ ที่บ้านแม่อยู่ในตลาด ทำเลดี แต่ผมเป็นคนแรกที่ทำธุรกิจนี้ จากนั้นพี่ชายก็มาทำตาม และคนอื่นๆก็พาเหรดกันมาทำตามผมกันหมด ในเวลาต่อมา..ผมก็เก็บเงินได้ก้อนหนึ่งจึงไปซื้ออาคารพาณิชย์ด้วยเงินสด ห่างจากบ้านแม่ที่ผมเปิดร้านประมาณ 5 กิโลเมตร โดยตอนแรกกะว่าจะเปิดสาขาสอง แต่พอมันไม่เวิร์คก็เอาไว้อยู่อาศัยอย่างเดียว เพราะลูกค้าไม่ตามมาสาขา 2 แต่จนแล้วจนรอดด้วยความที่แม่คงจะเบื่อที่เห็นลูกๆต้องทะเลาะแข่งขันกันเอง แม่จึงตัดสินใจขายบ้านทั้งหมด จะได้หมดปัญหา โดยมีข้อแม้ว่า..ถ้าลูกคนไหนซื้อบ้านจะต้องให้แม่อยู่ด้วย แน่นอนผมยื่นความจำนงที่จะซื้อก่อน แต่ดูเหมือนว่า..อะไรๆก็ไม่เป็นใจ ผมจึงตัดใจเป็นฝ่ายเดินถอยออกมาจากแหล่งอู่ข้าวอู่น้ำของผม แต่พอพี่ชายเป็นผู้ซื้อ อะไรๆก็ดูเป็นใจและง่ายไปหมด
ผมก็ย้ายร้านมาอยู่อาคารพาณิชย์ที่ผมซื้อ แรกๆลูกค้าก็ตามมาอยู่ แต่หลังๆลูกค้าก็เริ่มหายไปทีละคนสองคน ตอนนั้นผมเครียดและฟุ้งซ่านมาก เมียผมจึงไล่ให้ผมไปเรียนต่อปริญญาตรี นิติศาสตร์ โดยเรียน เสาร์-อาทิตย์ ส่วนมากจะเป็น ตำรวจ ทหาร มาเรียน ผมต้องมาเรียนด้วยความจำใจเพราะเมียบังคับให้มา ทั้งๆที่ผมไม่ชอบอ่านหนังสือ แต่ผมก็ใชัเวลา 3 ปี เรียนจนจบปริญญาตรีเหมือนพี่ชายและน้องชาย แต่ต่างกันตรงที่ผมส่งตัวเองเรียน จากนั้นชีวิตผมก็พลิกผันอีกรอบ คือ เพื่อนตำรวจชวนไปทำธุรกิจที่ต้องใช้เงินเยอะ ตอนนั้น..ผมคิดว่าธุรกิจที่ทำมากว่า 10 ปีเริ่มไม่ดีแล้วจึงยอมลงทุนธุรกิจใหม่ โดยลงทุนไปเรื่อยๆจนกระทั่ง...........................................................................................หมด
ผมทำธุรกิจใหม่พร้อมที่มาอยู่บ้านหลังใหม่ที่เป็นอาคารพาณิชย์ที่ว่านี้..เกือบจะ 10 ปี แล้ว ผมต้องเริ่มต้นชีวิตใหม่ ล้มลุกคลุกคลาน ตลอดเวลา ไปหางานทำก็เริ่มอายุเยอะแล้ว ลูกก็เริ่มโตแล้วจะต้องใช้เงินเยอะ ผมรู้สึกว่า..อะไรๆมันเริ่มสวนทาง แต่เกือบลืมเล่าไปว่า..แม่ผมอยู่กับพี่ชายได้ไม่นาน ก็มาอยู่บ้านผมได้สักระยะ น้องชายแต่งงานมีเมียมีลูก จีงมารับแม่ไปอยู่ดูลูกน้องชายที่กรุงเทพฯ แต่แม่ผมอยู่ไม่ได้เนื่องจากไปทะเลาะกับเมียน้องชาย น้องชายผมจึงพาแม่มาส่งไว้ที่บ้านผมอีกรอบ บ้านผมจึงเปรียบเสมือน..ศาลาพักใจ
ผมเคยได้โอกาสไปทำงานเป็นผู้จัดการโรงแรม ทั้งๆที่ผมไม่ได้จบการโรงแรม แต่งานอะไรผมก็ต้องทำเพราะถ้าไม่ทำก็อดตาย เนื่องจากไม่มีรายได้อะไรแล้ว ผมทำได้สักระยะก็มีเหตุให้ผมต้องลาออกไปทำงานธนาคารแห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นงานที่น่าจะเหมาะกับผมมากกว่า มีเวลาได้อยู่กับครอบครัวมากกว่าตอนทำงานโรงแรม แต่ก็มีเหตุไม่คาดคิดว่า..ผมจะต้องมาเจอเรื่องไม่เป็นเรื่องมากดดันให้ผมต้องลาออกจากธนาคาร ดูเหมือนว่า..เจ้ากรรมนายเวรจะเล่นงานผมๆป่วยไม่สบายไอเรื้อรังอยู่เกือบ 2 เดือน หลังจากหายผมไปหาน้องชายเพื่อจะของานมันทำ..เพราะธุรกิจที่มันทำกำลังไปได้ดี แต่มันปฎิเสธผม ผมไม่ถือโทษโกรธใคร ถือว่าเป็นเวรกรรม
หลังจากนั้น..ผมก็ยังหวังน้ำบ่อหน้า ไปหาทั้งพระทั้งหมอดูๆก็ดูดวงให้ผมมีความหวัง แต่พอเวลาผ่านไปเรื่อยๆความหวังผมก็เหมือนเทียนที่โดนลมพัดแล้ว..เริ่มดับไปทีละดวงๆ ผมก็คิดอีกว่า..มันเป็นเวรกรรม(อีกแล้ว)หรือผมทำบุญไม่พอ ผมจึงหมั่นไปทำบุญเติมน้ำมันตะเกียงทุกครั้งที่มีโอกาส เผื่อเทียนที่มันเคยดับไปจะกลับมาติดไฟและสุกสว่างอีกครั้ง
เมื่อก่อน..ผมเคยได้ยินเรื่องเวรกรรมแต่ไม่เคยเจอด้วยตนเอง พอมาเจอด้วยตัวเองแล้วรู้รสชาติเลย พยายามสอนลูกๆ บอกกับคนอื่นๆว่า..เวรกรรมมันมีจริง ไม่ต้องไปชดใช้ชาติหน้า เพราะกรรมติดจรวดเร็วยิ่งกว่าสัญญาณ 3 จี ชดใช้กันชาตินี้ 4 จี ไม่ต้องรอถึงชาติหน้า สัปดาห์หน้า..ผมกำลังไปบวชเป็นครั้งแรกของชีวิต จนกว่าจะพบกันใหม่
ชีวิตจริง ยิ่งกว่า ละคร ตอน ชีวิตที่พลิกผัน
ความเดิมตอนที่แล้ว.........เป็นช่วงวัยรุ่นตอนต้น ลืมบอกไปว่า..สมัยนั้นเขาทำบัตรประชาชนกันตอนอายุ 15 ปี ผมมีวันเกิดจริงที่ไม่ตรงตามบัตรประชาชน อันเนื่องจากว่า..ตอนที่แม่แจ้งเกิด แม่บอกว่าอยู่เลี้ยงลูก 4 คน ด้วยตัวแม่คนเดียว แม่ยุ่งมากไม่มีเวลาไปแจ้งเกิดให้ทันตามกฎหมายกำหนด ด้วยความที่แม่กลัวโดนปรับเงินแม่จึงแจ้ง..ผิดทั้งวันและเดือน จริงๆผมเกิด 18 เมษา แต่บนบัตรประชนผมวันที่ 29 สิงหา เฮ้อ!ผมเป็นคนเดียวในพี่น้อง 4 คนที่ค่อนข้างสับสนเวลาจะต้องแจ้งวันเกิดตัวเองเมื่อมีใครถาม แต่ทุกวันนี้..ผมคิดบวก คือได้ฉลองวันเกิด 2 รอบ 555
หลังจาก..ที่ผมเรียนจบ ปวช.แล้ว ผมก็กลับมาใช้ชีวิตที่บ้านนอกคอกนาเหมือนเดิมหลังจากต้องใช้ชีวิตที่วุ่นวายที่กรุงเทพฯมา 3 ปี ตลอดเวลาผมถวิลหา..ชีวิต Slow life แบบบ้านเกิดเมืองนอนที่ต่างจังหวัดมากกว่า โดยครั้งนี้..ผมสอบติดและได้เรียนที่วิทยาลัยอาชีวะของรัฐบาลประจำจังหวัด เรียนต่อ..ปวส.สายอาชีพเดิมที่เรียนมาเมื่อ ปวช. ผลการเรียนที่นี่ของผมไม่ดีเท่าที่ควรเนื่องจากมันคนละหลักสูตรกับที่ผมเคยเรียนมา หรืออาจเป็นเพราะว่าผมไม่เอาไหนเอง เพราะมีปัจจัยหลายอย่างที่ไม่เหมือนตอนที่เรียนอยู่กรุงเทพฯ เช่น ที่นี่มีหลายคณะ และคณะที่ผมเรียนอยู่ก็ติดกับคณะคหกรรมการโรงแรมและคณะบัญชี สิ่งแวดล้อมเต็มไปด้วยสาวๆ และด้วยความที่ผมเคยอยู่กรุงเทพฯทำให้ผมกล้าแสดงออกและดูมีความมั่นอยู่ในตัว จากที่ปกติเป็นคนขี้อาย ผมได้มีโอกาสร้องเพลงและเล่นดนตรีให้กับแผนกที่ผมเรียน ที่นี้ล่ะ..สาวๆมารุมตรอมกันเพียบ(เหมือนแมลงวันตรอมขี้ อิอิ) เพราะผมเหมือนเด็กเมืองกรุงมาอยู่ต่างจังหวัด สาวๆเลยคิดจะมาเปิดบริสุทธิ์ผม เพราะว่า..เพื่อนใหม่ที่ผมเจอที่นั่นมันบอกว่า..ผมดูเวอร์จิ้น ผมก็สารภาพกับเพื่อนตรงๆเลยว่า..จริงๆแล้วผมก็ยังจิ้นอยู่ เพื่อนผมส่วนใหญ่มันก็จบ ปวช.แล้วก็มาเรียนต่อ ปวส.ที่เดิม มันมีเมียในวัยเรียนกันหมดแล้วตั้งแต่ ปวช. สมัยนั้นถือว่าเป็นเรื่องปกติ แต่ผมว่าเดี๋ยวนี้ ม.1 ก็เริ่มมีได้เสียกันแล้วล่ะ ด้วยปัจจัยหลายๆอย่างเปลี่ยนไป
แต่สุดท้าย..ผมก็เอาตัวรอด ทั้งการเรียนและความบริสุทธิ์ของผม เพราะผมไม่อยากทำให้แม่ต้องผิดหวังในตัวผมอีก ผมเป็นคนเดียวในบรรดาพี่น้องที่เป็นผู้ชายโดยไม่นับพี่สาวนะ ที่ค่อนข้างออกนอกลู่นอกทาง พี่ชายเป็นคนขยันเรียนเคยเป็นประธานนักเรียน ได้เกรดนิยมตอนจบมหาลัย ในขณะที่ผมเน้นกิจกรรม เล่นดนตรีและกีฬา เป็นแค่หัวหน้าห้องที่โดดเรียนกับเพื่อนๆ ส่วนน้องชายก็ขยันเรียนเหมือนพี่ชายแต่มันดวงเฮงด้วย สอบที่ไหนก็ติด เมื่อตอนนั้น..ผมเคยคิดว่า..ตัวผมเป็นเด็กมีปัญหา แม่ไม่รักลูกชายคนกลาง พ่อก็ทิ้งผมไปตั้งแต่ผมจำความได้
ถึงแม้ว่า..ผมจะมีพ่อแต่เหมือนไม่มีก็ตาม แต่ในบ้านแม่จะมีรูปในหลวง รัชกาลที่ 9 ติดไว้ข้างฝาบ้าน แม่สอนให้ไว้รูปในหลวงทุกครั้งที่ผมกลับมาบ้าน ผมก็ทำตามที่แม่บอกตั้งแต่เด็กๆ ผมคิดว่า..นี่แหละ พ่อที่เป็นแบบอย่างที่ดีของผม และเป็นสิ่งยึดเหนี่ยวจิตใจให้ผมเป็นคนดี นอกเหนือจากแม่อีกคน
ผมอาจไม่ได้เป็นคนดีที่สุดของแม่แต่ผมก็พยายามเป็นคนดีในสังคม หลังจาก..ผมเรียนจบ ปวส.ผมไม่ได้ไปเรียนต่อปริญญาตรีเหมือนพี่ชายกับน้องชาย ผมอยู่บ้านไม่ได้หางานทำเหมือนเพื่อนๆคนอื่น จนกระทั่งวันหนึ่งเพื่อนผมมาชวนไปสมัครงาน แม่บอกให้ผมไปไม่ต้องอยู่เป็นเพื่อนแม่ แม่ยังไหวอยู่ ผมได้งาน 2 ที่พร้อมกัน คือ งานโรงงานแถวบ้าน เงินเดือนเริ่มต้น 1 หมื่นบาท กับอีกที่..เป็นงานบริษัทที่สัมปทานโครงการพระราชดำริของในหลวง ร.9 ขององค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทย เงินเดือนไม่ถึงหมื่น ผมงานเลือกอย่างเพราะว่า..ผมไม่ชอบงานโรงงาน เงินเดือนดีก็จริงแต่ผมว่าชีวิตจำเจเหมือนอยู่โรงเรียน และอีกอย่างผมอยากทำงานที่เปรียบเสมือนได้ตอบแทนแผ่นดิน คือโครงการโทรศัพท์ทางไกลชนบทผ่านดาวเทียม ตอนนั้นผมมีอายุ 20 ปีพอดี แต่พออายุ 21 ปีผมต้องไปคัดเลือกทหารเกณฑ์ เพราะตอนเรียน ปวช.ผมไม่ได้เรียน รด. มีญาติผมเขาให้พระรอดยืมในวันวันคัดเลือกฯเขาบอกว่า..ญาติเขารอดทุกคน ผมก็ทำตามที่ญาติบอกทุกอย่าง คือให้อมพระไว้ที่ใต้ลิ้น ไม่พูดจาหยาบคาย แล้วผมก็จับได้...............................................ใบแดง ทร.2 คือ ทหารเรือ ผลัดสอง หลังจากจับใบดำใบแดง ผมก็เอาพระไปคืนญาติพร้อมบอกญาติว่า..ไหนว่ารอดไง..ทำไมผมไม่รอดล่ะ ญาติบอกกลับมาว่า..พระรอดแต่คนไม่รอดไง พร้อมปลอบใจให้สู้ๆ เป็นคำปลอบใจที่ผมไม่อยากได้ฟังสักเท่าไร
หลังจากเหตุการณ์นั้น..ผมกลับมาทำงานที่เดิมประมาณ 4 ปี บุกป่าฝ่าดง ก็ต้องอดทน ข้ามน้ำข้ามทะเล ว่ายน้ำก็ไม่เป็นแถมเคยจมน้ำเกือบตายมาแล้ว 2 ครั้งในตอนเด็ก แต่ก็ใจดีสู้เสือมาโดยตลอดการทำงานที่นี่ ผมรู้สึกภูมิใจที่ได้เป็นส่วนหนึ่งในการพัฒนาประเทศ จากคนไม่เอาไหน จากคนไม่เอาถ่าน อย่างผม ทำให้แม่ได้ภูมิใจไปด้วย เสียดายอย่างเดียว คือ ผมไม่ได้อยู่ทำงานจนหมดเวลาสัมปทาน ต้องลาออกจากงานมาทำกิจการส่วนตัวที่บ้าน ตอนนั้นผมมีแฟนแล้ว แม่ก็อยู่บ้านคนเดียวท่านก็เริ่มแก่แต่ก็ยังขายของยุ่งๆเหมือนเดิม ผมจึงตัดสินใจพาแฟนมาอยู่บ้านเป็นเพื่อนแม่ โดยแรกๆแลดูแม่จะมีความสุขดีนะที่มีเพื่อนกินข้าวทุกมื้อ แฟนผมก็ชอบกินน้ำพริกเหมือนแม่ ผมกับแฟนช่วยกันทำกิจการของตัวเองที่บ้านแม่เป็นเวลาประมาณ 1 ปี จนกระทั่งเก็บเงินแต่งงานกัน หลังจากนั้นพอตั้งตัวได้จึงพร้อมที่จะมีลูก ผมมีลูกด้วยกัน 2 คน หัวปีท้ายปีเลยทีเดียว ชีวิตก็ดำเนินไปได้ด้วยดี จนกระทั่ง..
พี่ชายแท้ๆที่คลานตามกันมา มีอาชีพรับราชการ การงานมั่นคง กลับมาทำธุรกิจเดียวกับผม โดยเขามาขอบ้านแม่อีกห้องเพื่อเปิดร้านติดกันกับผม โดยวันธรรมดาเขาอาศัยเปิดร้านเช้าก่อนไปทำงาน เย็นกลับจากทำงานมาเปิดร้าน วันหยุดเขาก็เปิดร้านทั้งวัน ชีวิตผมเริ่มไม่มีความสุขแล้วในขณะนั้น ผมไปถามแม่ว่า..ทำไมปล่อยให้พี่ชายมาขายของเหมือนกัน แม่ก็ตอบคำถามที่ชาวบ้านแถวนั้นถามเหมือนกันว่า..ไม่รู้เหมือนกัน..ทีแรกเห็นมันว่าจะพาเมียมันกลับมาอยู่บ้านแม่เฉยๆเพราะอยู่บ้านพักราชการมันไม่สะดวก เกือบสิบปีที่ผมต้องอยู่อย่างทรมานเพราะต้องมาแข่งขันกันเองกับพี่ตัวเอง โดยที่แม่ก็ทรมานไม่แตกต่างจากผม มีอยู่ครั้งหนึ่งผมเห็นแม่ร้องไห้เพราะว่าแม่เอาผลไม้ไปให้พี่ชายแต่พอแม่เดินหลังกลับออกมา..เมียมันดันโยนผลไม้ทิ้ง แม่ผมต้องกลับไปก้มเก็บผลไม้ทั้งน้ำตา บ้านที่เคยอยู่อย่างสงบสุขมันก็ไม่สงบสุขอีกต่อไป
แถมยังลุกเป็นไฟ ในเวลาต่อมาอีกเมื่อ น้องชายแท้ๆคลานตามกันออกมาอีกคน จบปริญญาตรี ยังไม่มีงานทำ เห็นผมทำกิจการนี้แล้วดี จึงอยากทำเหมือนผมอีกคน บ้านแม่จะมี 3 ห้อง ผมอยู่ห้องกลาง แม่อยู่ห้องซ้าย พี่ชายอยู่ห้องขวา คราวนี้ล่ะ..งามไส้แน่ถ้าแม่ไม่ห้ามน้องชายไว้ให้มาขายของเหมือยกัน ผมลูกชายคนกลางอยู่ห้องกลางก็ต้องโดนน้องชายกับพี่ชาย บีบออกเป็นแน่แท้ ที่บ้านแม่อยู่ในตลาด ทำเลดี แต่ผมเป็นคนแรกที่ทำธุรกิจนี้ จากนั้นพี่ชายก็มาทำตาม และคนอื่นๆก็พาเหรดกันมาทำตามผมกันหมด ในเวลาต่อมา..ผมก็เก็บเงินได้ก้อนหนึ่งจึงไปซื้ออาคารพาณิชย์ด้วยเงินสด ห่างจากบ้านแม่ที่ผมเปิดร้านประมาณ 5 กิโลเมตร โดยตอนแรกกะว่าจะเปิดสาขาสอง แต่พอมันไม่เวิร์คก็เอาไว้อยู่อาศัยอย่างเดียว เพราะลูกค้าไม่ตามมาสาขา 2 แต่จนแล้วจนรอดด้วยความที่แม่คงจะเบื่อที่เห็นลูกๆต้องทะเลาะแข่งขันกันเอง แม่จึงตัดสินใจขายบ้านทั้งหมด จะได้หมดปัญหา โดยมีข้อแม้ว่า..ถ้าลูกคนไหนซื้อบ้านจะต้องให้แม่อยู่ด้วย แน่นอนผมยื่นความจำนงที่จะซื้อก่อน แต่ดูเหมือนว่า..อะไรๆก็ไม่เป็นใจ ผมจึงตัดใจเป็นฝ่ายเดินถอยออกมาจากแหล่งอู่ข้าวอู่น้ำของผม แต่พอพี่ชายเป็นผู้ซื้อ อะไรๆก็ดูเป็นใจและง่ายไปหมด
ผมก็ย้ายร้านมาอยู่อาคารพาณิชย์ที่ผมซื้อ แรกๆลูกค้าก็ตามมาอยู่ แต่หลังๆลูกค้าก็เริ่มหายไปทีละคนสองคน ตอนนั้นผมเครียดและฟุ้งซ่านมาก เมียผมจึงไล่ให้ผมไปเรียนต่อปริญญาตรี นิติศาสตร์ โดยเรียน เสาร์-อาทิตย์ ส่วนมากจะเป็น ตำรวจ ทหาร มาเรียน ผมต้องมาเรียนด้วยความจำใจเพราะเมียบังคับให้มา ทั้งๆที่ผมไม่ชอบอ่านหนังสือ แต่ผมก็ใชัเวลา 3 ปี เรียนจนจบปริญญาตรีเหมือนพี่ชายและน้องชาย แต่ต่างกันตรงที่ผมส่งตัวเองเรียน จากนั้นชีวิตผมก็พลิกผันอีกรอบ คือ เพื่อนตำรวจชวนไปทำธุรกิจที่ต้องใช้เงินเยอะ ตอนนั้น..ผมคิดว่าธุรกิจที่ทำมากว่า 10 ปีเริ่มไม่ดีแล้วจึงยอมลงทุนธุรกิจใหม่ โดยลงทุนไปเรื่อยๆจนกระทั่ง...........................................................................................หมด
ผมทำธุรกิจใหม่พร้อมที่มาอยู่บ้านหลังใหม่ที่เป็นอาคารพาณิชย์ที่ว่านี้..เกือบจะ 10 ปี แล้ว ผมต้องเริ่มต้นชีวิตใหม่ ล้มลุกคลุกคลาน ตลอดเวลา ไปหางานทำก็เริ่มอายุเยอะแล้ว ลูกก็เริ่มโตแล้วจะต้องใช้เงินเยอะ ผมรู้สึกว่า..อะไรๆมันเริ่มสวนทาง แต่เกือบลืมเล่าไปว่า..แม่ผมอยู่กับพี่ชายได้ไม่นาน ก็มาอยู่บ้านผมได้สักระยะ น้องชายแต่งงานมีเมียมีลูก จีงมารับแม่ไปอยู่ดูลูกน้องชายที่กรุงเทพฯ แต่แม่ผมอยู่ไม่ได้เนื่องจากไปทะเลาะกับเมียน้องชาย น้องชายผมจึงพาแม่มาส่งไว้ที่บ้านผมอีกรอบ บ้านผมจึงเปรียบเสมือน..ศาลาพักใจ
ผมเคยได้โอกาสไปทำงานเป็นผู้จัดการโรงแรม ทั้งๆที่ผมไม่ได้จบการโรงแรม แต่งานอะไรผมก็ต้องทำเพราะถ้าไม่ทำก็อดตาย เนื่องจากไม่มีรายได้อะไรแล้ว ผมทำได้สักระยะก็มีเหตุให้ผมต้องลาออกไปทำงานธนาคารแห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นงานที่น่าจะเหมาะกับผมมากกว่า มีเวลาได้อยู่กับครอบครัวมากกว่าตอนทำงานโรงแรม แต่ก็มีเหตุไม่คาดคิดว่า..ผมจะต้องมาเจอเรื่องไม่เป็นเรื่องมากดดันให้ผมต้องลาออกจากธนาคาร ดูเหมือนว่า..เจ้ากรรมนายเวรจะเล่นงานผมๆป่วยไม่สบายไอเรื้อรังอยู่เกือบ 2 เดือน หลังจากหายผมไปหาน้องชายเพื่อจะของานมันทำ..เพราะธุรกิจที่มันทำกำลังไปได้ดี แต่มันปฎิเสธผม ผมไม่ถือโทษโกรธใคร ถือว่าเป็นเวรกรรม
หลังจากนั้น..ผมก็ยังหวังน้ำบ่อหน้า ไปหาทั้งพระทั้งหมอดูๆก็ดูดวงให้ผมมีความหวัง แต่พอเวลาผ่านไปเรื่อยๆความหวังผมก็เหมือนเทียนที่โดนลมพัดแล้ว..เริ่มดับไปทีละดวงๆ ผมก็คิดอีกว่า..มันเป็นเวรกรรม(อีกแล้ว)หรือผมทำบุญไม่พอ ผมจึงหมั่นไปทำบุญเติมน้ำมันตะเกียงทุกครั้งที่มีโอกาส เผื่อเทียนที่มันเคยดับไปจะกลับมาติดไฟและสุกสว่างอีกครั้ง
เมื่อก่อน..ผมเคยได้ยินเรื่องเวรกรรมแต่ไม่เคยเจอด้วยตนเอง พอมาเจอด้วยตัวเองแล้วรู้รสชาติเลย พยายามสอนลูกๆ บอกกับคนอื่นๆว่า..เวรกรรมมันมีจริง ไม่ต้องไปชดใช้ชาติหน้า เพราะกรรมติดจรวดเร็วยิ่งกว่าสัญญาณ 3 จี ชดใช้กันชาตินี้ 4 จี ไม่ต้องรอถึงชาติหน้า สัปดาห์หน้า..ผมกำลังไปบวชเป็นครั้งแรกของชีวิต จนกว่าจะพบกันใหม่