'ยาม' วิกาล

สวัสดีครับ เรื่องที่จะมาเล่าให้ฟังในวันนี้เป็นเรื่องที่ต้องย้อนไปตั้งแต่ตอนช่วงผมเด็กๆ เริ่มรู้เรื่องรู้ราว และเริ่มที่จะพบเจอกับสิ่งที่มองไม่เห็น หรือที่เรามักเรียกกันติดปากว่า ผี

โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่านเพราะเป็นความเชื่อส่วนบุคคล


          ตั้งแต่เด็กๆผมเริ่มที่จะเห็นอะไรแปลกๆอยู่บ้าง น้อยบ้าง มากบ้าง แต่ก็ยังไม่ได้ชัดเจนอะไร เรื่องนี้ก็เป็นเรื่องหนึ่งที่มาคิดๆดูแล้ว มันก็แปลกเหมือนกันในวัยนั้น
          เมื่อก่อนผมอาศัยอยู่ในหมู่บ้านหนึ่งในตัวเมืองซึ่งเป็นหมู่บ้านที่ดีมาก มีเพื่อนๆพี่ๆต่างวัย เพื่อนบ้านก็ใจดีฝากฝังไหว้วานกันได้เสมอ มีร้านค้า ร้านขนม ร้านอาหารตามสั่ง ทุกอย่างเรียกได้ว่า ครบครัน
          ตัวหมู่บ้านมีทั้งหมด 7 ซอย โดยมีถนนใหญ่ตัดกลางตัวหมู่บ้าน และมีสนามหญ้าไว้ให้เด็กๆกับคนในหมู่บ้านมาพักผ่อนกันทั้งด้านหน้าและท้ายหมู่บ้าน
          บ้านของผมอยู่ซอยต้นๆของหมู่บ้านทำให้เข้าออกง่ายแต่ก็ไปมาหาสู่กับเพื่อนบ้านครบทุกซอยตั้งแต่เด็กๆ จริงๆแล้วเรื่องนี้มานึกย้อนดูมันก็คงเริ่มตั้งแต่ตัวผมเองในช่วงประถม
          บ้านผมจะเลี้ยงสุนัขไว้หลายตัว บางวันก็นอนในบ้านบ้าง บางวันก็นอนนอกบ้านแล้วแต่อารมณ์ของมัน
          วันนั้นผมยังไม่หลับเพราะแม่ยังไม่กลับบ้าน แม่ของผมทำงานในห้องผ่าตัดของโรงพยาบาลทำให้ต้องมีเวรและไปทำเคสเวลากลางคืนอยู่บ่อยๆ ผมก็มักจะรอให้แม่กลับมาก่อนจึงจะเข้านอน อีกเหตุผลคือผมไม่สามารถลากหมาทั้งหมดเข้ามาในบ้านได้ด้วยตัวเอง เพราะมันตัวใหญ่มาก
          คืนนั้นน่าจะเป็นเวลาราวๆ 5 ทุ่ม ซึ่งคนส่วนใหญ่ก็เริ่มจะเข้านอนกันแล้วตามประสาคนทำงาน ยามคืนในหมู่บ้านจะเงียบมากทำให้ได้ยินอะไรๆในหมู่บ้านได้ง่ายกว่าช่วงกลางวัน
          เป็นเรื่องปกติที่หมาในบ้านจะวิ่งเล่นกันตรงโรงจอดรถภายในรั้วบ้านและไปนอนรออยู่ตรงหน้ารั้วเวลาแม่กลับมา วันนั้นก็เหมือนทุกวัน มันเล่นกันส่งเสียงดัง เสียงเห่าอย่างสนุกสนาน
          แต่แล้วเสียงหมาเล่นกันมันก็เงียบไปกลายเป็นเสียงขู่แทน ผมที่ยังนั่งดูโทรทัศน์อยู่ตรงห้องนั่งเล่นก็เดินออกมามองผ่านประตูมุ้งลวด สายตาผมเห็นหมาทั้ง 3 ตัวจดจ้องไปยังนอกรั้วส่งเสียงขู่ในลำคอราวกับจะห้ามไม่ให้ใครเข้ามาใกล้ หรือไล่ไปให้ไกล
          ผมมองตามไปเพราะแม่มักจะบอกให้ผมระแวดระวังโจรหรือคนแปลกหน้า มันมีคนมาเบือหมาบ่อยๆในหมู่บ้าน แต่ตรงนั้นก็ว่างเปล่ามีเพียงความมืด และไฟสลัวจากเสาไฟในซอยเท่านั้น
          ผมละสายตาออกจากตรงนั้นเพราะมองไม่เห็นอะไรคิดว่ามันคงเห่าหมานอกบ้านตามประสาของมัน แต่ยังไม่ทันจะได้ใส่ใจอะไรมากมายนัก รถของแม่ก็เลี้ยวมาจอดที่หน้าบ้านพอดี
          หมาทุกตัวไปรุมล้อมมาเหมือนปกติโดยเลิกส่งเสียงขู่แล้วเหมือนลืมไปว่าเคยมีใครอยู่ตรงนั้น แม่พาหมาทั้งหมดเข้ามาในบ้านเตรียมนอน ส่วนผมก็นอนอีกห้องหนึ่งแยกออกมา คืนนั้นก่อนจะหลับไปถ้าผมจำไม่ผิดผมได้ยินเสียงกระดิ่ง ดังแว่วมาตามลม
กริ๊ง... กริ๊ง...
          หลายวันผ่านไปก็มีเหตุการณ์เดิมๆเกิดข้นบ้านในช่วงดึกๆ เหมือนมีใครมาหยอกล้อหรือมายืนให้หมาที่บ้านเห็นจนส่งเสียงขู่ หลายครั้งที่เสียงกระดิ่งดังแว่วมาไกลๆ
          นั่นคือครั้งแรกที่จำความได้ว่า มันมีเรื่องนี้เกิดขึ้น
          ผ่านไปหลายปี ผมเริ่มโตขึ้น เริ่มมีเพื่อน เริ่มไปมาบ้านเพื่อนได้มากกว่าที่เคย ผมเกือบลืมไปแล้วว่าเคยเจอเรื่องนี้จนกระทั่งวันหนึ่งผมได้ยินมันอีกครั้ง
          ผมนั่งอยู่ที่ห้องนั่งเล่นที่บ้านเหมือนเคย คราวนี้เสียงกระดิ่งดังชัดมากกว่าครั้งในความทรงจำ เสียงนั้นกังวานเหมือนกับดังอยู่ใกล้ๆ เสียงกระดิ่งจักรยานเก่าๆ เสียงคร่อกแคร่กของคราบสนิมปนมากับเสียงเหล็กบางๆกระทบกัน
          ผมสะดุ้งเพราะไม่ทันได้ตั้งตัว แต่ตอนนั้นยังไม่ทันได้กลัวแต่สงสัยเสียมากกว่า เวลานี้ใครมาปั่นจักรยานเล่น
          เสียงนั้นดังอยู่นาน ระยะห่างของเสียงเปลี่ยนไปเรื่อยๆจากหน้าบ้านลึกเข้าไปท้ายซอย และแว่วดังไปไกลเหมือนวิ่งไปตามถนนใหญ่ของหมู่บ้าน
          ไม่ใช่ทุกคืนที่ผมจะได้ยินเสียงนั้นแต่ก็เรียกได้ว่า บ่อย บ่อยจนผมเองหลุดปากไปถามกับเจ้าของร้านค้าในหมู่บ้านด้วยความสนิทสนม
‘ใครชอบมาขี่จักรยานดึกๆครับ เป็นผมแม่คงว่าตาย’ ในตอนนั้นเราก็พูดไปตามประสาเด็ก
          คุยกันไปคุยกันมาน้าเจ้าของร้านขายของบอกว่าได้ยินเหมือนกัน แต่ก็ไม่บ่อยนักไม่รู้เหมือนกันว่าใครทำอะไร ลองไปถามคุณยายดู แกชอบนั่งเล่นดึกๆดื่นๆเผื่อจะเห็น
          ผมเดินไปถามคุณยายที่เป็นแม่ของเจ้าของร้าน คำถามของผมทำให้ยายแกทำหน้าแปลกๆเหมือนตกใจ แกถามผมว่าได้ยินดึกๆ เสียงประมาณนั้นประมาณนี้ใช่ไหม ผมตอบว่าใช่ แล้วแกก็หันซ้ายหันขวาเหมือนกลัวว่าเจ้าของเสียงจะอยู่แถวนี้
‘นั่นมันเสียงผี’
          ผมไม่เข้าใจว่าทำไมยายตอบอย่างนั้น และแกก็ไม่ยอมอธิบายอะไรต่อได้แต่ไล่ให้ผมกลับบ้านไปไวๆ
          เวลาผ่านไปผมก็ยังได้ยินเสียงนั้นอยู่บ้างในบางคืน แต่มีคืนหนึ่งที่ผมได้ เห็น เจ้าของเสียงคืนนั้นผมนั่งเล่นเกมส์อยู่ที่ห้องนั่งเล่นในบ้านเพราะแม่ออกไปทำเคส
กริ๊ง... กริ๊ง...
          เสียงเดิมดังแว่วมาตามลม เสียงค่อยๆชัดข้นเหมือนกำลังใกล้เข้ามาทุกขณะ อาจเพราะความเคยชินเลยไม่ได้ใส่ใจมากนัก แต่สิ่งที่ดึงความสนใจของผมไปก็คือ เสียงหมาที่เลี้ยงไว้ในบ้าน
          พวกมันไปยืนรวมกันที่หน้ารั้วเหมือนปกติ มันส่งเสียงขู่ เหมือนมีใครอยู่ตรงนั้น มันไม่ได้แค่ขู่ในลำคอแต่มีการเห่าสลับกันเหมือนเป็นการเตือนครั้งสุดท้ายก่อนที่จะ กัด
          เสียงเห่าของพวกมันดังมาก ดังจนเราคิดว่า แปลก ผมเดินไปชะเง้อคอมองตรงประตูบ้านแต่ไม่ได้เปิดออกไป
          ผมแอบมองอยู่ไม่นานนักก็เกิดความเปลี่ยนแปลก พวกมันไม่เห่าแล้ว แต่เป็นเสียงครางหงิงในคอแทน
          มันอ้อนใครบางคนที่เป็นเงาตะคุ่มๆอยู่ตรงนอกรั้วนั้น มันลงไปนอนกลิ้งบนพื้นเหมือนกับจะชวนเล่น อีกตั้งเขย่งเท้าโดดไปมาเหมือนถูกใจ แต่เงาใครบางคนตรงนั้นก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะขยับเขยื้อน
          ผมรู้สึกแปลกใจแต่ก็นึกขึ้นได้ว่าแม่เตือนเอาไว้ ช่วงนี้มีคนมาเบือหมาบ่อย ให้ระวัง
          ด้วยความเป็นห่วงก็เลยรีบเปิดประตูออกไปกะว่าจะไล่ใครตรงนั้นออกไป เผื่อเขาจะเอาอะไรมาให้หมาเรากิน
          เมื่อไม่มีมุ้งลวดกันผมก็เห็นร่างนั้นได้ชัดขึ้น ชายสูงอายุตัวผอมบางในชุดเสื้อผ้ามอมๆ ถ้าจำไม่ผิดก็คงจะเป็นเสื้อเชิ้ต แต่กางเกงนั้นสีเข้มจนมองไม่ชัด
          ผมเดินเข้าไปใกล้ ร่างนั้นก็ลุกแล้วเดินหายไปจากหน้ารั้ว และเมื่อผมเดินไปถึงผมก็มองหาวี่แววของเจ้าของร่างนั้นไม่เจอแล้ว
          พร้อมกันกับที่แม่ผมกลับมาจากทำงาน แม่ลงจากรถมาเปิดประตูรั้วถามว่าทำไมผมยังไม่นอน แต่ผมก็ไม่ได้ตอบได้แต่ถามกลับไปว่า
‘เห็นคนแก่ๆเดินผ่านไปไหม เขามาทำอะไรหมาเราไม่รู้’
          แม่มีท่าทีไม่เข้าใจคำถาม เพราะแม่บอกว่าแม่ขับรถเข้ามาก็ไม่ได้เจอใคร ถ้ามีใครเดินอยู่ก็คงต้องเห็นผ่านแสงไฟรถบ้างแล้ว แต่ก็ไม่มี
          ผมยืนยันว่ามีจริงๆ แต่แม่อาจไม่ทันได้มอง แต่สิ่งที่แม่สนใจมากกว่าคือ ถ้ามีคนมาจริงๆ หมาอาจจะโดนเอาอะไรให้กินก็เป็นได้
          แม่ไปสำรวจดูตามพื้นก็ไม่เจอเศษอาหารอะไร ไม่มีวี่แววของสิ่งที่กินได้เลย
          เวลาผ่านไปหลายวันหมาก็ไม่ได้เป็นอะไร ไม่ป่วย ไม่มีอาการ แม่บอกว่าผมคงตาฝาดไป แต่ผมก็ยังมั่นใจว่า มันไม่ใช่อย่างที่แม่คิดแน่ๆ
          อีกหนึ่งความแปลกของเรื่องนี้คือ เสียงกระดิ่งจักรยานนั้น อาจไม่ได้ดังบ่อย หรือสม่ำเสมอ คาดเดาไม่ได้ว่าจะดังขึ้นเมื่อไหร่ แต่มันจะมีอยู่ช่วงหนึ่งที่เสียงกระดิ่งจะดังก้องเกือบทุกคืน และกินเวลานาน
          ช่วงที่จะมีคนตาย ในหมู่บ้านของผมนั้นมีผู้คนหลากหลายทั้งอายุและอาชีพ ครั้งหนึ่งลุงข้างบ้านของผมเขาเสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุโดยไม่มีใครทันได้ตั้งตัว
          ผมค่อนข้างคุ้นเคยกับลุงคนนี้เพราะว่าแกชอบมานอนเล่นอยู่ข้างรั้วบ้านผม โดยแกจะมีเก้าอี้ผ้าใบแบบพับได้ตัวหนึ่งมาตั้งวางนอนเอกเขนกชมนกชมไม้ เพราะบ้านผมต้นไม้เยอะกว่าบ้านอื่นมาก ส่วนมากเป็นไม้ยืนต้น เลยชอบมีพวกนกมาทำรังมาพักอาศัยเป็นปกติ
          ถึงผมจะคุ้นเคยกับแก แต่ผมก็กลัวแกเหมือนกันเพราะแกดุ แกเคยเป็นตำรวจ แต่เกษียณมานานแล้ว แกจะมีไม้เท้าเล็กของแกเวลาเดินไปไหนก็จะมีเสียงเหล็กเคาะไปตามถนนคอนกรีตของหมู่บ้าน
          เรื่องราวการเสียชีวิตของแกเป็นครั้งแรกที่ทำให้ผมได้รู้จักกับสิ่งที่เรียกว่า นกแสก
          บ้านผมกับลุงมีแค่ถนนกั้นเท่านั้น ช่วงนั้นเท่าที่จำได้เวลากลางคืนจะมีเสียงนกแปลกๆมาร้องอยู่แถวบ้านผม เสียงมันแหบพร่าไม่น่าฟัง ไม่เหมือนนกกระจอกที่ผมให้เข้าอยู่ทุกวัน
          ผมสังเกตว่าแม่ตั้งใจฟังมันอยู่หลายวัน น่าจะช่วงเข้าวันที่สามที่เสียงนกมันยังร้องอยู่ มันร้องติดกันสามคืน ในช่วงเวลาใกล้เคียงกัน
‘คิดว่ามันร้องมาจากไหน มันเกาะอยู่บนต้นไม้บ้านเรารึเปล่า’
          อาจเป็นเพราะความเชื่อของคนในสมัยนั้นหรือเปล่าว่าถ้าหากได้ยินเสียงนกชนิดนี้มักจะมีเรื่องร้ายๆตามมา และมันจะเกิดกับบ้านของคนที่มันไปเกาะ
           แต่เมื่อลองฟังดูดีๆแล้วเดินไปสำรวจรอบๆบ้านก็ไม่เจอว่ามันเกาะอยู่ที่บ้านของผม นั่นทำให้โล่งใจไปได้หน่อยก็จริง แต่เสียงแหบๆของมันก็ดังอยู่ทุกค่ำคืนจนใจคอไม่ค่อยดี
           และในทุกๆคืนที่นกแสกส่งเสียงร้องก้องไปทั่วหมู่บ้านเสียงกระดิ่งเก่าๆนั้นก็จะดังแว่วตามมาในทุกๆคืน เสียงกระดิ่งนั้นดังมากกว่าปกติ และถี่มากกว่าปกติ เหมือนจะไล่ให้นกน่ารำคาญตัวนี้บินจากไป
         ผ่านเข้าไปกี่คืนไม่แน่ใจ แต่เสียงนกแสกนั้นยังคงดังอยู่ และดังขึ้น เสียงของมันเริ่มน่ารำคาญมากกว่าที่เคยเป็น เสียงแหบพร่าเหมือนคอจะแตก มันตะเบงเสียงอย่าไร้ความไพเราะต่างจากนกอื่นๆ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่