ขอท้าวความนิดนึง เมื่อปีที่แล้วผมซื้อ Macbook pro มาใช้ ก็กะว่าจะเอาไว้เล่นเน็ต ส่องเฟสสาวๆ อ่านพันทิป อะไรทั่วๆไป เล่นไปเล่นมาก็ไปเห็นโปรแกรม ibook author อยู่ในเครื่อง ผมก็ลองเปิดดูว่ามันคือโปรแกรมเอาไว้ทําอะไร
อ่าว! มันเป็นโปรแกรมเอาไว้ทําหนังสือนี่นา ผมก็เลยงมกะมันอยู่พักนึง ก็สนุกดี เขียนๆลบๆ แถมมันยังใส่ภาพรูปภาพแทรกลงไปได้ด้วย สวยงามอลังการดีมากเลย ในเมื่อเครื่องพร้อม โปรแกรมพร้อม เอ......กุทําหนังสือซักเล่มดีมะ ตายไปคนจะได้จําชื่อได้ คนเก่งๆดังๆเค้ามีผลงานทิ้งไว้ข้างหลังทั้งนั้น
คิดได้อย่างนั้นก็เลยลงมือทํา แต่!!!!!! กุจะเขียนอะไรดี
ผมว่านะ นี่เป็นปัญหาที่ปวดหัวที่สุดเลย เวลามีความคิดดีๆเข้ามา แต่ไม่รู้จะทําต่อไปยังไง นึกถึงสารพัดคําแนะนําในยูทูป โค้ชในยูทูปบอกว่าให้เขียนในสิ่งที่ตัวเองถนัด เขียนในสิ่งที่เราชํานาญ จากประสปการณ์ของเรา เอ........ ผมเป็นเจ้าของร้านอาหาร มีสูตรทั้งขนมจีบ ซาลาเปา เป็ดย่าง ขนมถ้วย ที่ลูกค้าบอกว่าอร่อย หรือเราจะเอาสูตรที่ร้านไปขายดีวะ 5555
คิดไปคิดมา คงจะไม่ดีม้าง สูตรขนม สูตรอาหารหาดูได้ตามในเน็ต ในยูทูปเยอะแยะไป ใครเค้าจะมาซื้อ แล้วอีกอย่างผมไม่อยากให้คนจําชื่อผมในฐานะ คนที่เอาสูตรซาลาเปา เป็ดย่าง ของร้านตัวเองออกมาขาย ... คู่มือทําซาลาเปา โดย...... เป็ดย่างแสนอร่อย โดย....
ผมว่ามันไม่ค่อย cool ซักเท่าไหร่ คิดใหม่ ว่านอกจากเรื่องสูตรอาหารแล้วเรายังมีอะไรอีก นึกทบทวนซิว่าที่ผ่านมาเรารู้อะไรบ้าง
อ่อ จบวิศวะมา แต่ความรู้นี่แทบจะเป็นศูนย์แล้ว เหล็กหล่อกะเหล็กเหนียวตอนนี้ยังแยกไม่ออกเลย แล้วจะเอาอะไรไปเขียน
เอ่อ กุเคยไปเรียนเมืองนอกมานี่หว่า เขียนประสปการณ์ตอนอยู่เมืองนอกดีมะ แต่เป็นสิบๆปีแล้ว จําอะไรแทบไม่ได้แล้ว ตอนนู้นกล้องซักตัวก็ไม่มี โทรศัพท์ก็ถ่ายรูปไม่ได้ ไม่เหลือความทรงจําอะไรแล้ว อีกอย่างหนังสือแบบนี้เยอะมาก ทําออกมาก็คงขายไม่ออก
แต่ แต่ แต่ นึกขึ้นมาได้ว่า เรามีความรู้ทางภาษานี่หว่า ที่ผ่านๆมาก็เคยรับจ็อบ ติวสอบภาษาXXX ให้เด็กๆไปเรียนในยุโรปมาตั้งหลายคน ถึงจะมีสอบตกบ้าง แต่ส่วนมากก็สอบกันได้นี่นา ถ้าเราสอนห่วยก็คงสอบตกกันหมด คงไม่ได้ไปเรียนกันตั้งหลายคนขนาดนี้หรอก คิดได้อย่างนั้นก็เปิดคอม นั่งเขียนเลย
.....................
อึ้ง แล้วจะเขียนยังไง
จะเริ่มยังไง ต้องเริ่มจาก คํานาม สรรพนาม หรือจะ เริ่มจากอ่านออกเสียง บรรยายเป็นภาษาไทย หรือจะ เขียนเป็นภาษาXXX ดี พูดตรงๆ ตื้อตันไปหมดเลย ไม่รู้จะเริ่มยังไงดี เอ.....ศิลปินที่ยิ่งใหญ่ต้อง copy ในเมื่อเราคิดไม่ออกเราก็ต้อง copy ไปดูหนังสืออาจารย์เก่งๆซิว่าเค้าเขียนยังไง ค้นตู้หนังสือออกมาเลย ดูว่าระดับโปรเค้าเริ่มยังไง อ่าว ซวยละ! คือหนังสือที่มีมันเป็นไวยากรณ์จ๋าเลย ยากมากที่จะเข้าใจถ้าไม่ใช่คนที่มีความรู้อยู่แล้ว ซึ่งไม่ใช่แนวทางที่เราต้องการ เราต้องการปูพื้นฐานทีละขั้นๆ
เลยต้องหาวิธีการใหม่ รูปภาพ เสียงอ่าน จําศัพท์ก่อน หัดใช้ก่อน ให้พอคุ้นเคย แล้วค่อยมาหัดสร้างประโยค ค่อยมาอธิบายไวยากรณ์กันที่หลัง คล้ายๆกับแบบที่ฝรั่งชาตินี้เค้าสอนคนต่างชาติ เอาแบบนี้ดีกว่า เราต้องมีแนวทางเป็นของเราเอง WoW! รูปแบบวิธีคิด รูปแบบการอธิบายเลยลอกแบบคล้ายกับตอนผมรับติวเด็กสอบเลย เอาเป็นภาษาบ้านๆนี่แหละ ศัพท์วิชาการ เอาไว้ให้ระดับปรมาจารย์ เรามันระดับ user เอาให้มันอ่านง่าย อ่านแล้วเข้าใจทําบททดสอบ ทําข้อสอบผ่านก่อน
ทําไง มันก็ต้องทันสมัย มัลติมีเดีย มีรูปจะได้จําง่ายๆ มีเสียงหัดฟัง แล้วก็พูดตาม ทําแบบฝึกหัดก็เขียนใส่กระดาษตามไป มันก็ได้ทั้ง ฟัง พูด อ่าน เขียน
จะทําอย่างนั้นได้มันก็ต้องมีทรัพยากร
รูปภาพผมก็เลยใช้บริการของ www.freepik.com เลือกได้ว่าจะจ่ายเงินหรือ Attribute ให้เครดิตกับเจ้าของผลงาน ภาพในนี้สวยมากน่ารักๆทั้งนั้นเลย ผมเองเอามาทําหนังสือนี่สวยเลยล่ะ
ที่นี้รูปภาพที่ได้จาก freepik จะเป็นไฟล์ .ai กะ .aps มันก็ต้องมีโปรแกรมใช่มะ ผมก็เลยเช่าโปรแกรม illustrator ซะเลยเดือนละ 600 บาท ถ้าจําไม่ผิด พอดีสมัยยังวัยรุ่นเคยใช้ของเถื่อนฝึกเบสิคมานิดหน่อย ถึงวันนี้เลยต้องตอบแทนด้วยการใช้ของแท้กันไป
https://www.adobe.com/de/creativecloud.html
ส่วนเสียงจะออกเสียงเองก็กระไรอยู่ ไปเจอเว็บนี้เข้า
https://ttsreader.com/
เวลาเราพิมพ์ เราก็จะได้เสียงที่เราพิมพ์ไป หนังสือผมทั้งเล่มนี่ก็ให้เสียงโดยเว็บนี้แหละ แต่ผมจ่ายค่าไลเซ่น ใช้งานแบบตีพิมพ์ไปราวๆพันแปด
รวมค่าตัดบัตร มันพูดได้หลายภาษาเลยล่ะ จีน ไทย เกาหลี สารพัด เผื่อใครจะทําหนังสือเสียง พูดออกมาใช้ได้นะ ถึงจะสําเนียงดิจิตอล 4.0 ไปหน่อย
พอได้ทรัพยากร และรูปแบบวิธีการ ครบแล้วก็เริ่มลงมือทํา ผมนั่งทําอยู่ราวๆแปดเดือนกว่าจะเสร็จ ใช้เวลาว่างหลังเลิกงานบ้าง เสาร์อาทิตย์บ้าง เรียกได้ว่าเขียนทุกวัน บางวันเขียนยันเที่ยงคืนตีหนึ่ง หนังสือมันแค่ 300 กว่าหน้าก็จริงแต่มันเป็นหน้าคู่ หน้าแนวนอนมีสองฝั่ง เอาจริงๆผมต้องทําไฟล์ภาพทั้งหมด 600 กว่าแผ่น เพื่อจะทําหนังสือ 300 กว่าหน้า
แถมทําเสร็จต้องเอาไปให้คนที่ไม่มีความรู้ภาษาXXX อ่าน ตรงไหนไม่เข้าใจผมก็มานั่ง Edit ใหม่ให้อ่านง่ายขึ้น เข้าใจมากขึ้น เรียกได้ว่าทดแทนการไปลงคอร์สเรียนแพงๆได้เลย เพราะไฟล์เสียงประกอบหนังสือมีเกือบทุกหน้า ให้ฝึกฟังฝึกพูดตาม เฉลยแบบฝึกหัดในหนังสือผมยังเป็นเฉลยด้วยไฟล์เสียงเลย ให้หัดฟัง เป็นงานใหญ่ที่สุดในชีวิตนี้เลยก็ว่าได้
เป็นอะไรที่ยากลําบากมากกว่าจะได้หนังสือมาสนองความต้องการของตัวเองซักเล่มนึง ที่น่าเป็นห่วงมากคือเรื่องของการสะกดคําผิด การพิมพ์ผิด บางทีพิมพ์เพลินๆ ใส่คําผิดลงไปก็มี กด schift จะเขียนตัวใหญ่ กดไม่ติดก็มี เรียกได้ว่าการตรวจทานหนังสือเป็นอะไรที่น่าปวดหัวมาก ให้คนอื่นช่วยพิมพ์ ผิดกระจาย มาตรวจเจอตอนวางขายแล้วก็มี ต้องรอบคอบละเอียดอ่อนจริงๆ แต่ข้อดีของหนังสือดิจิตอลคือ เวลาเราแก้ไขไป ผู้อ่านก็จะได้รับการแก้ไขด้วย นี่ผมก็นั่งหาจุดผิดอยู่ตลอด จะรวบรวมให้ได้หลายๆจุดแล้วจะได้แก้ไขทีเดียว แก้บ่อยๆเจ้าของเว็บจะส่งเมลมาด่า 555
อ่านมาถึงตรงนี้ ผมเชื่อว่าหลายๆคนก็อยากจะรู้ว่าหนังสือดิจิตอลนั้นมันสร้างรายได้ให้เรา อย่างที่เวลาเราไปอ่านเจอคนอื่นบิ๊วในเน็ตไหม เวลาเสิร์ชหาคําว่า E Book จะเจอคอร์สสอนบ้าง บอกว่าเป็น Passiv income บ้าง จะรวยด้วย E Book บ้าง
ผมวางขายหนังสืออยู่สองที่ยอดฮิตคือที่ ookbee และก็ที่ meb เพราะผมเคยไปคุยกะโรงพิมพ์แล้ว เค้าบอกว่าหนังสือผมมันเป็นหน้าคู่ ตั้ง 300 กว่าหน้าเค้าพิมพ์ให้ผมไม่ได้ ก็เลยต้องขายเป็นไฟล์ดิจิตอลอย่างเดียว
เท่าที่ผมทราบมา ของ ookbee ผมวางขายตอนปลายเดือนกันยา ส่วนของ meb ผมวางขายวันที่ 3 ตุลา ยอดขายของทั้งสองที่เฉลี่ยใกล้ๆกันที่ราวๆ 10 เล่ม เท่ากับว่าอาทิตย์หน่อยๆที่ผ่านมาผมขายหนังสือไปได้ราวๆ 20 เล่มโดยประมาณ
มันก็ไม่แย่นัก สําหรับยอดขาย แต่อย่างที่บอกครับสิ่งที่ผมต้องการคือ ผมต้องการมีหนังสือของตัวเองซักเล่มนึง แล้วเวลามีคนอ่านหนังสือของผมแล้ว คนอ่านรู้สึกคุ้มค่ากับมัน ซึ่งตอนนี้ผมก็ได้แล้ว คนที่ซื้อไปเค้าส่งข้อความมาหาผม บางคนบอกว่าโชคดีมากที่ได้เจอหนังสือเล่มนี้ หลายๆคนก็ว่ามันเป็นหนังสือที่อ่านง่าย และทําให้เขาเข้าใจมากขึ้น คิดดูสิครับว่าต่อให้ผมขายได้แค่ 20 - 30 เล่ม แต่มีคนจําชื่อผมไว้แล้วว่า สร้างหนังสือมาแล้วเกิดประโยชน์กับผู้อ่านขนาดส่งข้อความมาขอบคุณ ผมพูดจริงๆนะบางทีผมอ่านข้อความไป นํ้าตาผมก็ไหลไป รู้สึกดีมากๆเลย จนตอนนี้ไม่สนยอดขายละ 555
เพราะผมก็เชื่อของผมเองนะ ว่าสิ่งที่ผมทําไปมันเป็นประโยชน์แล้ว ถ้าฟ้าจะประทานยอดขายเยอะๆมาให้ผมก็ไม่ขัดข้องอะไร ผมถือว่าเป็นผลพลอยได้ละทีนี้
รีวิว How to : เขียนหนังสือขายกับ MEB และ ookbee
อ่าว! มันเป็นโปรแกรมเอาไว้ทําหนังสือนี่นา ผมก็เลยงมกะมันอยู่พักนึง ก็สนุกดี เขียนๆลบๆ แถมมันยังใส่ภาพรูปภาพแทรกลงไปได้ด้วย สวยงามอลังการดีมากเลย ในเมื่อเครื่องพร้อม โปรแกรมพร้อม เอ......กุทําหนังสือซักเล่มดีมะ ตายไปคนจะได้จําชื่อได้ คนเก่งๆดังๆเค้ามีผลงานทิ้งไว้ข้างหลังทั้งนั้น
คิดได้อย่างนั้นก็เลยลงมือทํา แต่!!!!!! กุจะเขียนอะไรดี
ผมว่านะ นี่เป็นปัญหาที่ปวดหัวที่สุดเลย เวลามีความคิดดีๆเข้ามา แต่ไม่รู้จะทําต่อไปยังไง นึกถึงสารพัดคําแนะนําในยูทูป โค้ชในยูทูปบอกว่าให้เขียนในสิ่งที่ตัวเองถนัด เขียนในสิ่งที่เราชํานาญ จากประสปการณ์ของเรา เอ........ ผมเป็นเจ้าของร้านอาหาร มีสูตรทั้งขนมจีบ ซาลาเปา เป็ดย่าง ขนมถ้วย ที่ลูกค้าบอกว่าอร่อย หรือเราจะเอาสูตรที่ร้านไปขายดีวะ 5555
คิดไปคิดมา คงจะไม่ดีม้าง สูตรขนม สูตรอาหารหาดูได้ตามในเน็ต ในยูทูปเยอะแยะไป ใครเค้าจะมาซื้อ แล้วอีกอย่างผมไม่อยากให้คนจําชื่อผมในฐานะ คนที่เอาสูตรซาลาเปา เป็ดย่าง ของร้านตัวเองออกมาขาย ... คู่มือทําซาลาเปา โดย...... เป็ดย่างแสนอร่อย โดย....
ผมว่ามันไม่ค่อย cool ซักเท่าไหร่ คิดใหม่ ว่านอกจากเรื่องสูตรอาหารแล้วเรายังมีอะไรอีก นึกทบทวนซิว่าที่ผ่านมาเรารู้อะไรบ้าง
อ่อ จบวิศวะมา แต่ความรู้นี่แทบจะเป็นศูนย์แล้ว เหล็กหล่อกะเหล็กเหนียวตอนนี้ยังแยกไม่ออกเลย แล้วจะเอาอะไรไปเขียน
เอ่อ กุเคยไปเรียนเมืองนอกมานี่หว่า เขียนประสปการณ์ตอนอยู่เมืองนอกดีมะ แต่เป็นสิบๆปีแล้ว จําอะไรแทบไม่ได้แล้ว ตอนนู้นกล้องซักตัวก็ไม่มี โทรศัพท์ก็ถ่ายรูปไม่ได้ ไม่เหลือความทรงจําอะไรแล้ว อีกอย่างหนังสือแบบนี้เยอะมาก ทําออกมาก็คงขายไม่ออก
แต่ แต่ แต่ นึกขึ้นมาได้ว่า เรามีความรู้ทางภาษานี่หว่า ที่ผ่านๆมาก็เคยรับจ็อบ ติวสอบภาษาXXX ให้เด็กๆไปเรียนในยุโรปมาตั้งหลายคน ถึงจะมีสอบตกบ้าง แต่ส่วนมากก็สอบกันได้นี่นา ถ้าเราสอนห่วยก็คงสอบตกกันหมด คงไม่ได้ไปเรียนกันตั้งหลายคนขนาดนี้หรอก คิดได้อย่างนั้นก็เปิดคอม นั่งเขียนเลย
.....................
อึ้ง แล้วจะเขียนยังไง
จะเริ่มยังไง ต้องเริ่มจาก คํานาม สรรพนาม หรือจะ เริ่มจากอ่านออกเสียง บรรยายเป็นภาษาไทย หรือจะ เขียนเป็นภาษาXXX ดี พูดตรงๆ ตื้อตันไปหมดเลย ไม่รู้จะเริ่มยังไงดี เอ.....ศิลปินที่ยิ่งใหญ่ต้อง copy ในเมื่อเราคิดไม่ออกเราก็ต้อง copy ไปดูหนังสืออาจารย์เก่งๆซิว่าเค้าเขียนยังไง ค้นตู้หนังสือออกมาเลย ดูว่าระดับโปรเค้าเริ่มยังไง อ่าว ซวยละ! คือหนังสือที่มีมันเป็นไวยากรณ์จ๋าเลย ยากมากที่จะเข้าใจถ้าไม่ใช่คนที่มีความรู้อยู่แล้ว ซึ่งไม่ใช่แนวทางที่เราต้องการ เราต้องการปูพื้นฐานทีละขั้นๆ
เลยต้องหาวิธีการใหม่ รูปภาพ เสียงอ่าน จําศัพท์ก่อน หัดใช้ก่อน ให้พอคุ้นเคย แล้วค่อยมาหัดสร้างประโยค ค่อยมาอธิบายไวยากรณ์กันที่หลัง คล้ายๆกับแบบที่ฝรั่งชาตินี้เค้าสอนคนต่างชาติ เอาแบบนี้ดีกว่า เราต้องมีแนวทางเป็นของเราเอง WoW! รูปแบบวิธีคิด รูปแบบการอธิบายเลยลอกแบบคล้ายกับตอนผมรับติวเด็กสอบเลย เอาเป็นภาษาบ้านๆนี่แหละ ศัพท์วิชาการ เอาไว้ให้ระดับปรมาจารย์ เรามันระดับ user เอาให้มันอ่านง่าย อ่านแล้วเข้าใจทําบททดสอบ ทําข้อสอบผ่านก่อน
ทําไง มันก็ต้องทันสมัย มัลติมีเดีย มีรูปจะได้จําง่ายๆ มีเสียงหัดฟัง แล้วก็พูดตาม ทําแบบฝึกหัดก็เขียนใส่กระดาษตามไป มันก็ได้ทั้ง ฟัง พูด อ่าน เขียน
จะทําอย่างนั้นได้มันก็ต้องมีทรัพยากร
รูปภาพผมก็เลยใช้บริการของ www.freepik.com เลือกได้ว่าจะจ่ายเงินหรือ Attribute ให้เครดิตกับเจ้าของผลงาน ภาพในนี้สวยมากน่ารักๆทั้งนั้นเลย ผมเองเอามาทําหนังสือนี่สวยเลยล่ะ
ที่นี้รูปภาพที่ได้จาก freepik จะเป็นไฟล์ .ai กะ .aps มันก็ต้องมีโปรแกรมใช่มะ ผมก็เลยเช่าโปรแกรม illustrator ซะเลยเดือนละ 600 บาท ถ้าจําไม่ผิด พอดีสมัยยังวัยรุ่นเคยใช้ของเถื่อนฝึกเบสิคมานิดหน่อย ถึงวันนี้เลยต้องตอบแทนด้วยการใช้ของแท้กันไป https://www.adobe.com/de/creativecloud.html
ส่วนเสียงจะออกเสียงเองก็กระไรอยู่ ไปเจอเว็บนี้เข้า https://ttsreader.com/
เวลาเราพิมพ์ เราก็จะได้เสียงที่เราพิมพ์ไป หนังสือผมทั้งเล่มนี่ก็ให้เสียงโดยเว็บนี้แหละ แต่ผมจ่ายค่าไลเซ่น ใช้งานแบบตีพิมพ์ไปราวๆพันแปด
รวมค่าตัดบัตร มันพูดได้หลายภาษาเลยล่ะ จีน ไทย เกาหลี สารพัด เผื่อใครจะทําหนังสือเสียง พูดออกมาใช้ได้นะ ถึงจะสําเนียงดิจิตอล 4.0 ไปหน่อย
พอได้ทรัพยากร และรูปแบบวิธีการ ครบแล้วก็เริ่มลงมือทํา ผมนั่งทําอยู่ราวๆแปดเดือนกว่าจะเสร็จ ใช้เวลาว่างหลังเลิกงานบ้าง เสาร์อาทิตย์บ้าง เรียกได้ว่าเขียนทุกวัน บางวันเขียนยันเที่ยงคืนตีหนึ่ง หนังสือมันแค่ 300 กว่าหน้าก็จริงแต่มันเป็นหน้าคู่ หน้าแนวนอนมีสองฝั่ง เอาจริงๆผมต้องทําไฟล์ภาพทั้งหมด 600 กว่าแผ่น เพื่อจะทําหนังสือ 300 กว่าหน้า
แถมทําเสร็จต้องเอาไปให้คนที่ไม่มีความรู้ภาษาXXX อ่าน ตรงไหนไม่เข้าใจผมก็มานั่ง Edit ใหม่ให้อ่านง่ายขึ้น เข้าใจมากขึ้น เรียกได้ว่าทดแทนการไปลงคอร์สเรียนแพงๆได้เลย เพราะไฟล์เสียงประกอบหนังสือมีเกือบทุกหน้า ให้ฝึกฟังฝึกพูดตาม เฉลยแบบฝึกหัดในหนังสือผมยังเป็นเฉลยด้วยไฟล์เสียงเลย ให้หัดฟัง เป็นงานใหญ่ที่สุดในชีวิตนี้เลยก็ว่าได้
เป็นอะไรที่ยากลําบากมากกว่าจะได้หนังสือมาสนองความต้องการของตัวเองซักเล่มนึง ที่น่าเป็นห่วงมากคือเรื่องของการสะกดคําผิด การพิมพ์ผิด บางทีพิมพ์เพลินๆ ใส่คําผิดลงไปก็มี กด schift จะเขียนตัวใหญ่ กดไม่ติดก็มี เรียกได้ว่าการตรวจทานหนังสือเป็นอะไรที่น่าปวดหัวมาก ให้คนอื่นช่วยพิมพ์ ผิดกระจาย มาตรวจเจอตอนวางขายแล้วก็มี ต้องรอบคอบละเอียดอ่อนจริงๆ แต่ข้อดีของหนังสือดิจิตอลคือ เวลาเราแก้ไขไป ผู้อ่านก็จะได้รับการแก้ไขด้วย นี่ผมก็นั่งหาจุดผิดอยู่ตลอด จะรวบรวมให้ได้หลายๆจุดแล้วจะได้แก้ไขทีเดียว แก้บ่อยๆเจ้าของเว็บจะส่งเมลมาด่า 555
อ่านมาถึงตรงนี้ ผมเชื่อว่าหลายๆคนก็อยากจะรู้ว่าหนังสือดิจิตอลนั้นมันสร้างรายได้ให้เรา อย่างที่เวลาเราไปอ่านเจอคนอื่นบิ๊วในเน็ตไหม เวลาเสิร์ชหาคําว่า E Book จะเจอคอร์สสอนบ้าง บอกว่าเป็น Passiv income บ้าง จะรวยด้วย E Book บ้าง
ผมวางขายหนังสืออยู่สองที่ยอดฮิตคือที่ ookbee และก็ที่ meb เพราะผมเคยไปคุยกะโรงพิมพ์แล้ว เค้าบอกว่าหนังสือผมมันเป็นหน้าคู่ ตั้ง 300 กว่าหน้าเค้าพิมพ์ให้ผมไม่ได้ ก็เลยต้องขายเป็นไฟล์ดิจิตอลอย่างเดียว
เท่าที่ผมทราบมา ของ ookbee ผมวางขายตอนปลายเดือนกันยา ส่วนของ meb ผมวางขายวันที่ 3 ตุลา ยอดขายของทั้งสองที่เฉลี่ยใกล้ๆกันที่ราวๆ 10 เล่ม เท่ากับว่าอาทิตย์หน่อยๆที่ผ่านมาผมขายหนังสือไปได้ราวๆ 20 เล่มโดยประมาณ
มันก็ไม่แย่นัก สําหรับยอดขาย แต่อย่างที่บอกครับสิ่งที่ผมต้องการคือ ผมต้องการมีหนังสือของตัวเองซักเล่มนึง แล้วเวลามีคนอ่านหนังสือของผมแล้ว คนอ่านรู้สึกคุ้มค่ากับมัน ซึ่งตอนนี้ผมก็ได้แล้ว คนที่ซื้อไปเค้าส่งข้อความมาหาผม บางคนบอกว่าโชคดีมากที่ได้เจอหนังสือเล่มนี้ หลายๆคนก็ว่ามันเป็นหนังสือที่อ่านง่าย และทําให้เขาเข้าใจมากขึ้น คิดดูสิครับว่าต่อให้ผมขายได้แค่ 20 - 30 เล่ม แต่มีคนจําชื่อผมไว้แล้วว่า สร้างหนังสือมาแล้วเกิดประโยชน์กับผู้อ่านขนาดส่งข้อความมาขอบคุณ ผมพูดจริงๆนะบางทีผมอ่านข้อความไป นํ้าตาผมก็ไหลไป รู้สึกดีมากๆเลย จนตอนนี้ไม่สนยอดขายละ 555
เพราะผมก็เชื่อของผมเองนะ ว่าสิ่งที่ผมทําไปมันเป็นประโยชน์แล้ว ถ้าฟ้าจะประทานยอดขายเยอะๆมาให้ผมก็ไม่ขัดข้องอะไร ผมถือว่าเป็นผลพลอยได้ละทีนี้