มาเขียนอวดสกิลความเมพและ...กากง่อยในการท่องเที่ยวของแต่ละคนบ้าง
สกิลเทพของเรา
มีความ
อดทนหาโปรดีลตั๋ว+โรงแรมถูก ใครเข้าเว็บเอเจนซี่ครั้งเดียวจบ แต่ไม่ใช่เราที่จับจด เอ๊ย ละเอียดในการไปตระเวนหาเว็บนอกสายตาอื่นๆอีก
เท่านั้นไม่พอ ยังละเอียดในการลงลึกดูรายละเอียดโรงแรมอีก คือไม่ใช่เห็นราคาถูกกดจองเรา เราต้องเข้าไปดูว่าสถานที่อยู่ตรง รายละเอียดห้องพักเป็นไง มีแถมอะไรบ้าง...หรือแม้แต่มีโปรโรงแรมส่งมาชนกัน ก็วัดใจว่าจะเอาอันไหนดี อันไหนคุ้มกว่า เอาอันนี้สะสมแต้มได้
เคยนั่งหาตั๋วบินกับโรงแรม เลือกมันตั้งแต่หกโมงเย็น ยันหกโมงเช้าวันรุ่งขึ้นไม่หลับไม่นอนก็ทำมาแล้ว
แม้แต่นั่งอ่านเทียบประกันการเดินทางก็ทำ ไม่ใช่เห็นราคาถูก หน้ามืดกดเข้าไปก่อน ต้องไปเช็คข่าวว่าประกันเจ้านี้เคยมีดราม่าไหม
อานิงค์เพราะเราทำวิทยานิพนธ์มาหลายเล่ม ทำให้เป็นคนชอบอ่านหนังสือและรายละเอียดด้วย

ความอดทนนี่ รวมถึงความอดทนต่อความรุงรังของเพื่อนร่วมทริปในบางครั้งด้วยคะ แต่ไม่ใช่ศรีทนได้ ถ้างอแงรุงรังมากๆ ระวังจะเจอเราเฉ่งสวน เพราะถือว่าตรูอดทนกับเอ็งพอแล้ว ถ้ายังไม่เลิกอาละวาดอีก จะเจอหนักกว่าเฉ่ง...แล้วเราเป็นคนหน้าดุมาก

ถ้าเราไม่พอใจมากๆ สกิลหน้าดุจะอัพเลเวลขึ้นมา ทำให้เพื่อนไม่กล้าวีนอีก (แต่ไปนินทาลับหลังหรือไม่ก็อีกเรื่อง เราไม่แคร์)
...สกิลอีกอันของเราคือ
การอ่านแผนที่ อันนี้ได้อานิสงค์มาจากวิชาเรียนการวางแผนจัดภูมิทัศน์ เขาจะสอนเรื่องการวางตำแหน่งอาคาร วางตำแหน่งห้องตรงไหนถึงจะไปยังห้องไหน ประมาณว่าห้องน้ำมันควรจะไปอยู่ในตำแหน่งนี้...เคยพาเพื่อนไปติดต่องานราชการ ทั้งที่ไปครั้งแรก แต่กลับพาไปถูก จนเพื่อนอึ้งว่าเคยมาแล้วหรือ ส่ายหัวดิ๊กๆไม่เคยมา
นี่กลับจากเกาหลีมา ไปเกาหลีครั้งแรก แต่เราเป็นหัวหน้าทัวร์นำเพื่อนที่เคยมาเกาหลีก่อนแล้วเที่ยว เพราะเพื่อนอ่านแผนที่ไม่เข้าใจ
เพราะเราเป็นคนหงุดหงิดเวลาใครพาหลงทาง มันเสียเวลา รวมถึงหงุดหงิดตัวเองด้วยที่ตัวเองหลงซะเอง ดังนั้นจึงทำการบ้านมาเยอะมากก่อนไป
การอ่านแผนที่ได้ ทำให้เราจดจำสถานที่แลนด์มาร์ทเวลาเดินกลับได้ เช่น รถไฟฟ้า ถ้าเราจำไม่ได้ว่าออกประตูไหน เราจะถ่ายรูปป้ายขาออกไว้ก่อน
แล้วเราจะไปเช็คสตรีทวิวสถานที่ โดยเฉพาะร้านกับโรงแรม เช็คให้ชัวร์ว่าหน้าตามันเป็นยังไง จะได้ไปถูก แล้วเราจะจดจำพวกอาคารที่เด่นๆ เวลาเดินกลับโรงแรมได้เช่น ต้องเลี้ยวหัวมุมเจอตึกนี้ จะไปร้านนี้ต้องผ่านร้านแฟรนไชส์เด่นๆอะไร
เราถึงขั้นต้องถ่ายรูปหน้าร้านเอาไว้ มีครั้งนึงเราหลงทางในเกียวโต แบตมือถือก็จะหมด พาวเวอร์แบงค์เจ๊ง แล้วดันโชคร้ายไม่ได้ถ่ายรูปหน้าเรียวกังที่พักไปด้วย...แต่โชคดีที่แบตกล้อง DSLR ยังเหลือมาก เรารีบถ่ายแผนที่จากจอมือถือก่อนแบตหมด จากนั้นโบกแท็กซี่ เปิดหน้าจอกล้องให้เขาดู โชคดีอีกด้วยที่ถ่ายติดชื่อเรียวกังเอาไว้ ทำให้โซเฟอร์โทรหาเจ้าของเรียวกังจนเจอพาเราไปส่งได้
ตั้งแต่นั้นเราเป็นคนต้องเซฟภาพสตรีทวิวทั้งแผนที่ทั้งหน้าร้านเอาไว้ในกล้องมือถือ และกล้อง DSLR ไว้กันเหนียวทั้งสองกล้อง
สกิลเทพอีกแบบของเราคือ บางทีเดินมั่วแล้วเจอร้านที่ต้องการพอดี...บางคนเดินทั้งวันแล้วหาร้านที่ตัวเองอยากได้ของไม่เจอ จนต้อแต้เดินกลับไปอย่างยอมแพ้ แต่เราใช้ความเสี่ยงดวง เช่น อย่างร้านหมูกะทะในคังนัม ไม่ค่อยมีร้านไหนมีภาษาอังกฤษ(ไม่อยากวัดดวงเข้าไปชี้ กลัวได้เมนูที่ไม่ชอบมา) เดินทั้งซอยไม่เจอ จนจะกลับ แต่เราไปเอะใจซอยนึงเข้า เลยเดินเข้าไปเจอร้านมีเมนูภาษาอังกฤษพอดี
อีกเรื่องอันนี้อาจจะไม่ใช่สกิลเทพ
แต่เราจะมีความใส่ใจในเพื่อนร่วมทริป เช่น ใครทานอะไรไม่ได้บ้าง ใครพักโรงแรมแบบไหนได้ นอนแคปซูลได้ไหม จำเป็นไหมต้องเอาแบบมีห้องน้ำในตัว อยากกินไคเซกิหรือนอนเรียวกังสักคืนไหม(ก็จะไปหาที่ถูกๆมา) โรงแรมต้องไกลจากสถานีไหม (เราเดินไกลได้มากสุดคือ 1 กิโลเมตร ไกลกว่านั้นต่อให้ถูกแค่ไหนก็ไม่พักโรงแรมนั้น) หรือเพื่อนอยากกินแมลงนึ่งเกาหลี ก็จะช่วยเดินหาให้ (เจอร้านเดียวที่นัมแดมุน)ยิ่งถ้าเพื่อนต้องมารอเราไปทำอะไรตามใจตัวเอง (เช่นกระทู้รีวิวแต่งฮันบกถ่ายรูปตั้ง 5 ชุดครึ่งวัน) เราจะเลี้ยงข้าวเขาเลยหนึ่งมื้อตอบแทน แล้วก็จะช่วยหาของหรือไปที่ที่เขาอยากจะไปบ้าง หรือว่าตอบแทนน้ำใจกัน (ในทางตรงข้าม ใครรุงรังกับเรามากๆ เราจะยิ่งไม่พูดด้วยเลย เรื่องหานู้นหานี้ให้ไม่ต้องมาถาม น้ำใจแห้งไปแล้ว...เราเป็นคนอดทนได้ แต่ไม่ใช่ศรีทนได้)
ความใส่ใจนี่รวมไปถึงความระวังด้วย เพราะเราเป็นคนกลัวเรื่องการลักเล็กขโมยน้อยหรืออุบัติเหตุขึ้นสมอง ยิ่งไปเที่ยวต่างแดน เราจะระวังทางเสมอ
เคยต้องไปกระชากหลังคอเสื้อเพื่อนที่ข้ามถนนที่ฮ่องกงช้าเกิน จนเกือบโดนแท็กซี่ชน (เจอโซเฟอร์บีบแตรด่าอีก)
อวยตัวเองโครตเยอะ

มาฟังสกิล...กากง่อยของเราบ้าง
ฟังภาษาอังกฤษม่ายรู้เรื่องเบย...เรามีปัญหาเรื่องหู คือไม่รู้เป็นอาการเริ่มต้นของการตึงหรือยัง เพราะเราเป็นคนฟังเพลงเสียงดังแต่เด็ก แถมขึ้นเครื่องบินต้องใส่หูฟังอุดกันอากาศไว้ตลอดบิน ทำให้เราฟังคนที่พูดรัวเร็วและพูดเบาไม่ทัน ยิ่งมาเจอคนญี่ปุ่นพูดภาษาอังกฤษ เร็วแล้วยังงึมงำในคออีก ถึงกับนิ่งเอ๋อไปไม่เป็น คือเราอ่าน เขียน ได้ในระดับนึง เพราะมันมีเวลาอ่านและทบทวนได้ แต่ฟังคนพูดใส่แล้วฟังไม่ทัน เลยทำให้สมองประมวลผลไม่ได้ว่าควรจะพูดอะไรกลับในเวลานั้น ยิ่งเขาทำหน้าไม่เข้าใจอีก ภาษาอังกฤษที่ตรูจะตอบกระเด็นหายหมดเลย ไม่รู้แล้วว่าจะพูดอะไรต่อ
ไปเกาหลีถึงขั้นต้องพกหนังสือที่มีเขียนบทสนทนา ไปชี้บอกเอาว่าจะเอาอะไร ช่วยไปได้เยอะ
สกิลกากอีกอันคือ
เราเป็นคนอายในการเข้าไปขอความช่วยเหลือจากใครเวลาหลงทาง คือเคยเข้าไปขอแล้วเขาไม่พูดตอบเพราะฟังเราไม่รู้เรื่อง เดินหนี มันเลยอายจนไม่อยากถามใครต่อ (เป็นผลให้ต้องมาอ่านแผนที่เซฟสตรีทวิวด้วยตนเอง) คือถ้าไปกับเพื่อน เราจะให้เพื่อนเข้าไปถามทางแทน
เคยนัดเจอน้องสาวที่สถานีโอซาก้า(แล้วมันมีสามสถานีในตัว)ไอ่เราก็ไม่รู้ว่าน้องนัดเจอตรงทิศไหน คุยทางมือถือก็ไม่เข้าใจ สุดท้ายต้องยอมฝืนอายไปถามกับเจ้าหน้าที่รถบัส จะต้องพูดว่า ฉันหลงกับน้องสาว ช่วยคุยกับน้องฉันทางมือถือได้ไหม(คือน้องเราพูดญี่ปุ่นได้) แต่ไอ่คำพูดที่ต้องบอกอย่างงั้น มันต้องพูดยังไงว่ะ! รนไปหมด
...โชคดีเหมือนเจ้าหน้าที่แกพอจะดูภาษากายเราออก (ดูเหมือนเขาพูดภาษาอังกฤษไม่ได้) สุดท้ายเขารับมือถือเราไปคุย แล้วก็เดินนำเราไปเจอน้องได้
(ในทางกลับกัน ถ้ามีฝรั่งมาถามทาง เรากลับช่วยเขาได้นะ คือมันมีเวลาได้เตรียมใจ แล้วเขาไว้ใจจะค่อยๆฟังเราพูด)
ตั้งแต่นั้น ไอ่พวกแอพแปลภาษา ประเภทพูดออกไปเดี๋ยวก็แปลให้เอง ใช้กับเราไม่ได้ผลแล้ว เคยใช้แล้วสื่อกับอีกฝ่ายไม่ได้เลย
เราเลยพกหนังสือแปลเอา หรือเซฟข้อความที่อาจจะต้องได้ใช้ใส่มือถือ แปลเป็นภาษาประเทศที่จะไป แล้วให้เขาอ่านเลย เคลียร์กว่า
(เราเซฟข้อความภาษาญี่ปุ่นว่า ฉันแพ้กุ้ง ปู ถั่วงอก กรุณาอย่าใส่ในอาหารของฉัน ให้พนักงานอ่านก่อนสั่ง ไม่งั้นเดี๋ยวได้เจอราเมงหน้าถั่วงอกมา)
สกิลง่อยอีกอันคือ
เราไม่ชอบการต่อราคา แค่พูดยังไม่ค่อยได้ จะไปเอาสกิลคำพูดอะไรต่อราคาเขา รู้สึกไม่อยากต่อด้วย สงสารพ่อค้าแม่ค้า ใจคอจะไม่ให้เขาได้กำไรเลยเรอะ จนโดนเพื่อนจิกไว้ พวกนั้นขายเกินกำไรต่างหาก แล้วเวลาซื้อของแพงมา จะโดนเพื่อนเกทับว่าฉันไปซื้อที่นี่ถูกกว่า ฉันต่อได้ถูกกว่า เลยไม่ค่อยชอบต่อ ซื้ออะไรแปะราคาเท่าไหร่ซื้อเลย ถ้าเพื่อนมาเกทับอีก เราจะกลับไปทำหน้าดุสกิลเดิมคือ...Shut up บ้างเหอะ
อีกอันไม่ใช่สกิลกาก แต่จะเป็นเรื่องความโมโหส่วนตัวในเพื่อนร่วมทริป...นั้นคือเราไม่ชอบคนที่มาเปลี่ยนตารางทริปกระทันหัน แล้วทำให้ตารางที่วางไว้แต่แรกเป๋หมด เพราะก่อนไป เราจะคุยให้เคลียร์กันแล้วว่าจะไปไหน...โอเคว่าถ้ามันมีอุบัติเหตุเช่น ฝนตก หรือเพื่อนเหนื่อยเกินไปจนตื่นสายไปทริปเช้าไม่ได้ อันนี้เราพออนุโลมได้ เราจะตัดเป็นแพลนสำรองไว้ เช่น ถ้าเช้าไปนี้ไม่ทัน ก็ตัดรายการนี้ออกไป ไม่ซีเรียส....แต่ประเภทมาดึงให้ไปอีกที่ที่มันอยู่กันคนละโยชน์เมือง เดินทางกลับไกลโครต อันนี้ซีเรียสมาก
ที่ซีเรียสอีกคือ พวก
'อยู่ต่อหน่อยได้ไหม' คืออยู่กับสถานที่นึงนานเกินไป นานจนทำให้เวลาที่จะไปอีกที่นึงไปไม่ทันแล้ว ตกรถไฟไปแล้ว
นั้นทำให้เราไม่ชอบเจอเหตุการณ์ไม่คาดคิดไม่คาดฝัน เหตุการณ์เฉพาะหน้าที่นอกแผน ถ้าเที่ยวในประเทศมันยังพอคุยได้ แต่ถ้าอยู่นอกประเทศ ภาษาก็ไม่ค่อยได้ มันจะคุยยากและทำให้เราหงุดหงิดมาก จนทำให้หลายคนมองว่าเราไม่อะลุ่มอะล่วยอะไรเลย เจ้าระเบียบไป
อีกอันคือ เราไม่ชอบพวก
'ลูกอิช่างติ' เจอแบบอะไรก็ตินู้นนี้ไปสักหมด พักห้าดาวก็ว่าแพงเกิน พักดาวเดียวก็หาว่ากระจอก เข้าร้านสะดวกซื้อก็บอกไม่อร่อย เข้าร้านดูดีก็บ่นว่าแพง แมวที่โรงแรมไม่ยอมเล่นกับนาง สารพัดจะหาเรื่องติ! ไม่ได้ติเดี๋ยวนางจะเป็นใบ้!...คนแบบนี้ได้เดินทางกับเราครั้งสุดท้ายแน่
อีกพวกคือ พวกไม่รู้จักสำนึกผิด...เช่น เวลาเราพาหลง ต่อว่าเราต่างๆนานาๆ ว่าแกพาฉันหลง เสียเวลาชะมัด แต่พอเราให้นางนำ นางพาเราหลงหนักกว่าเดิม แล้วก็มาทำหัวเราะกลบเกลื่อน พอเราต่อว่าใส่ ก็มาบีบน้ำหูน้ำตาไหล งอแงว่า
เรื่องแค่นี้เอง ทำไมต้องมาว่าฉันด้วย
อีกประเภทที่เกลียดสุด คือไอ่พวกเดินหาของที่ไปรับของฝากจากคนอื่นมา เดินหาของยังพออดทนได้ แต่ไอ่เดินเทียบราคาของเนี่ย ไม่ชอบ...แล้วจะยิ่งโครตไม่ชอบกว่าเดิมก็คือ เดินหาเจอของที่ต้องการแล้ว แต่ไม่พอใจราคา ไปเดินหาเข้าอีกหลายร้าน เดินวนกลับไปร้านเดิมอีก...แล้วไม่พอใจร้านเดิม แบบเขาไม่มีของแถมให้ เจือกไปอีกร้านเก่าซ้ำๆแบบนั้นหลายชม.อีก! วนอยู่นั้นแหละ ไปเดินไหนไม่เดิน ไปเดินหาแถวชินจูกุ! มันมีตั้งกี่ร้อยร้าน แล้วร้านนึงมันมีตั้งกี่ชั้น!
เราโมโหเคยถึงขั้นว่าทิ้งเพื่อนแล้วนั่งรถไฟฟ้ากลับโรงแรมเองเลย เพราะเราปวดขามากแล้ว เสียเวลาหลายชม.(จริงๆคือแค่สามชม.) แล้วไม่ได้อะไรเลยสักอย่าง จะโดนว่าใจดำว่าทิ้งเพื่อนก็ยอมแล้ว เพราะไม่งั้นเราอาจได้พลั้งมือฆ่าคนแหง
ถึงขั้นว่าเรากลับมานอนโรงแรมตอนบ่าย พักจนขาเมื่อยถึงเย็น กินข้าวเดินชิลล์ย่านแถวโรงแรม...คุณเพื่อนยังเลือกหาของที่ต้องการไม่ได้สักชิ้น!
แต่ที่โมโหสุดๆคือ พวกไม่วางแผนการใช้เงินให้ดี คือใช้หมดเกลี้ยงในวันที่ไม่ใช่วันสุดท้าย แล้วมายืมเงินเราไป!...เราเคยแยกกันเที่ยวกับเพื่อนที๋โอซาก้า เพื่อนรูดบัตรกับแท็กซี่ไม่ได้ ต้องจ่ายสดหมดกระเป๋า (ยังงงว่าทำไมนางไม่ไปกด ATM) นางโทรมาบอก เราบอกว่าให้กลับมาได้แล้วถ้าเงินหมด เพราะอีกชม.ครึ่ง มันใกล้เวลาจะต้องนั่งชิงคันเซนกลับ (นางมี Jr Pass ซึ่งนั่งรถฟรีกลับมาได้) แต่นางบอกให้เราเอาเงินมาส่งให้นางที่สถานีที่นางอยู่! นางจะไปเที่ยวต่อเพราะเวลายังเหลือ! เราโมโหมาก เพราะสถานีรถไฟในญี่ปุ่นมันไม่ใช่หัวลำโพง มันต้องใช้เวลาเดินหาล่วงหน้าเป็นครึ่งชม.นะ...สุดท้ายเราเลย บอกว่าแกเป็นคนขอ แกต้องมาเอง ไม่ใช่ให้ฉันเอาไปประเคนให้ ฉันให้เวลาครึ่งชม. ถ้าแกมาไม่ทัน ก็รอไปเจอที่สนามบินก็แล้วกัน ฉันไม่อยากตกชินกันเชน สุดท้ายนางก็ยอมล่าถอย ไม่ไปต่อแล้วเพราะเราไม่ตามใจนาง...อย่าทำให้เราโกรธ เพราะถ้าเราทิ้ง เราทิ้งจริงๆ ไม่แคร์ด้วยกับคนไม่ลำดับความสำคัญของชีวิตขนาดนี้ แล้วมาทำให้คนอื่นเดือดร้อนอีก
สรุปเพื่อนที่จะไปทริปกับเราได้ ถ้าตามใจเรา ให้เกียรติเรา แล้วเราจะตามใจเขา เราจะถือว่าช่วยต่างตอบแทนน้ำใจกัน ยิ่งเราเป็นคนนำ เราจะทำการบ้านมาสูง เพื่อไม่อยากให้เพื่อนผิดหวัง ขอแค่อย่าเดินบ่นนู้นนี้ก็พอ เพราะตัวเราเองเวลาเราตามใจเพื่อนเรายังอดทนไม่บ่น ดังนั้นเขาไม่ควรจะบ่นจุกจิกกับเรา เราจะเข้าวัยทองแล้ว ขี้เกียจมาอดทนกับคนงอแง
จบกระทู้แล้วคะ ฟังดูเหมือนมาระบายเนอะ สงสัยเก็บกดมานาน
เพื่อนมาเขียนอวดสกิลความเมพและ...กากง่อยในการท่องเที่ยวของแต่ละคน ความชอบไม่ชอบเพื่อนร่วมทริปเป็นยังไงบ้าง
เวลาท่องเที่ยว คุณมีสกิลขั้นเทพกับสกิล...ขั้นง่อยในเรื่องใดบ้าง และความชอบไม่ชอบอะไรในการมีเพื่อนร่วมทริปเที่ยว
สกิลเทพของเรา
มีความอดทนหาโปรดีลตั๋ว+โรงแรมถูก ใครเข้าเว็บเอเจนซี่ครั้งเดียวจบ แต่ไม่ใช่เราที่จับจด เอ๊ย ละเอียดในการไปตระเวนหาเว็บนอกสายตาอื่นๆอีก
เท่านั้นไม่พอ ยังละเอียดในการลงลึกดูรายละเอียดโรงแรมอีก คือไม่ใช่เห็นราคาถูกกดจองเรา เราต้องเข้าไปดูว่าสถานที่อยู่ตรง รายละเอียดห้องพักเป็นไง มีแถมอะไรบ้าง...หรือแม้แต่มีโปรโรงแรมส่งมาชนกัน ก็วัดใจว่าจะเอาอันไหนดี อันไหนคุ้มกว่า เอาอันนี้สะสมแต้มได้
เคยนั่งหาตั๋วบินกับโรงแรม เลือกมันตั้งแต่หกโมงเย็น ยันหกโมงเช้าวันรุ่งขึ้นไม่หลับไม่นอนก็ทำมาแล้ว
แม้แต่นั่งอ่านเทียบประกันการเดินทางก็ทำ ไม่ใช่เห็นราคาถูก หน้ามืดกดเข้าไปก่อน ต้องไปเช็คข่าวว่าประกันเจ้านี้เคยมีดราม่าไหม
อานิงค์เพราะเราทำวิทยานิพนธ์มาหลายเล่ม ทำให้เป็นคนชอบอ่านหนังสือและรายละเอียดด้วย
ความอดทนนี่ รวมถึงความอดทนต่อความรุงรังของเพื่อนร่วมทริปในบางครั้งด้วยคะ แต่ไม่ใช่ศรีทนได้ ถ้างอแงรุงรังมากๆ ระวังจะเจอเราเฉ่งสวน เพราะถือว่าตรูอดทนกับเอ็งพอแล้ว ถ้ายังไม่เลิกอาละวาดอีก จะเจอหนักกว่าเฉ่ง...แล้วเราเป็นคนหน้าดุมาก
...สกิลอีกอันของเราคือ การอ่านแผนที่ อันนี้ได้อานิสงค์มาจากวิชาเรียนการวางแผนจัดภูมิทัศน์ เขาจะสอนเรื่องการวางตำแหน่งอาคาร วางตำแหน่งห้องตรงไหนถึงจะไปยังห้องไหน ประมาณว่าห้องน้ำมันควรจะไปอยู่ในตำแหน่งนี้...เคยพาเพื่อนไปติดต่องานราชการ ทั้งที่ไปครั้งแรก แต่กลับพาไปถูก จนเพื่อนอึ้งว่าเคยมาแล้วหรือ ส่ายหัวดิ๊กๆไม่เคยมา
นี่กลับจากเกาหลีมา ไปเกาหลีครั้งแรก แต่เราเป็นหัวหน้าทัวร์นำเพื่อนที่เคยมาเกาหลีก่อนแล้วเที่ยว เพราะเพื่อนอ่านแผนที่ไม่เข้าใจ
เพราะเราเป็นคนหงุดหงิดเวลาใครพาหลงทาง มันเสียเวลา รวมถึงหงุดหงิดตัวเองด้วยที่ตัวเองหลงซะเอง ดังนั้นจึงทำการบ้านมาเยอะมากก่อนไป
การอ่านแผนที่ได้ ทำให้เราจดจำสถานที่แลนด์มาร์ทเวลาเดินกลับได้ เช่น รถไฟฟ้า ถ้าเราจำไม่ได้ว่าออกประตูไหน เราจะถ่ายรูปป้ายขาออกไว้ก่อน
แล้วเราจะไปเช็คสตรีทวิวสถานที่ โดยเฉพาะร้านกับโรงแรม เช็คให้ชัวร์ว่าหน้าตามันเป็นยังไง จะได้ไปถูก แล้วเราจะจดจำพวกอาคารที่เด่นๆ เวลาเดินกลับโรงแรมได้เช่น ต้องเลี้ยวหัวมุมเจอตึกนี้ จะไปร้านนี้ต้องผ่านร้านแฟรนไชส์เด่นๆอะไร
เราถึงขั้นต้องถ่ายรูปหน้าร้านเอาไว้ มีครั้งนึงเราหลงทางในเกียวโต แบตมือถือก็จะหมด พาวเวอร์แบงค์เจ๊ง แล้วดันโชคร้ายไม่ได้ถ่ายรูปหน้าเรียวกังที่พักไปด้วย...แต่โชคดีที่แบตกล้อง DSLR ยังเหลือมาก เรารีบถ่ายแผนที่จากจอมือถือก่อนแบตหมด จากนั้นโบกแท็กซี่ เปิดหน้าจอกล้องให้เขาดู โชคดีอีกด้วยที่ถ่ายติดชื่อเรียวกังเอาไว้ ทำให้โซเฟอร์โทรหาเจ้าของเรียวกังจนเจอพาเราไปส่งได้
ตั้งแต่นั้นเราเป็นคนต้องเซฟภาพสตรีทวิวทั้งแผนที่ทั้งหน้าร้านเอาไว้ในกล้องมือถือ และกล้อง DSLR ไว้กันเหนียวทั้งสองกล้อง
สกิลเทพอีกแบบของเราคือ บางทีเดินมั่วแล้วเจอร้านที่ต้องการพอดี...บางคนเดินทั้งวันแล้วหาร้านที่ตัวเองอยากได้ของไม่เจอ จนต้อแต้เดินกลับไปอย่างยอมแพ้ แต่เราใช้ความเสี่ยงดวง เช่น อย่างร้านหมูกะทะในคังนัม ไม่ค่อยมีร้านไหนมีภาษาอังกฤษ(ไม่อยากวัดดวงเข้าไปชี้ กลัวได้เมนูที่ไม่ชอบมา) เดินทั้งซอยไม่เจอ จนจะกลับ แต่เราไปเอะใจซอยนึงเข้า เลยเดินเข้าไปเจอร้านมีเมนูภาษาอังกฤษพอดี
อีกเรื่องอันนี้อาจจะไม่ใช่สกิลเทพ แต่เราจะมีความใส่ใจในเพื่อนร่วมทริป เช่น ใครทานอะไรไม่ได้บ้าง ใครพักโรงแรมแบบไหนได้ นอนแคปซูลได้ไหม จำเป็นไหมต้องเอาแบบมีห้องน้ำในตัว อยากกินไคเซกิหรือนอนเรียวกังสักคืนไหม(ก็จะไปหาที่ถูกๆมา) โรงแรมต้องไกลจากสถานีไหม (เราเดินไกลได้มากสุดคือ 1 กิโลเมตร ไกลกว่านั้นต่อให้ถูกแค่ไหนก็ไม่พักโรงแรมนั้น) หรือเพื่อนอยากกินแมลงนึ่งเกาหลี ก็จะช่วยเดินหาให้ (เจอร้านเดียวที่นัมแดมุน)ยิ่งถ้าเพื่อนต้องมารอเราไปทำอะไรตามใจตัวเอง (เช่นกระทู้รีวิวแต่งฮันบกถ่ายรูปตั้ง 5 ชุดครึ่งวัน) เราจะเลี้ยงข้าวเขาเลยหนึ่งมื้อตอบแทน แล้วก็จะช่วยหาของหรือไปที่ที่เขาอยากจะไปบ้าง หรือว่าตอบแทนน้ำใจกัน (ในทางตรงข้าม ใครรุงรังกับเรามากๆ เราจะยิ่งไม่พูดด้วยเลย เรื่องหานู้นหานี้ให้ไม่ต้องมาถาม น้ำใจแห้งไปแล้ว...เราเป็นคนอดทนได้ แต่ไม่ใช่ศรีทนได้)
ความใส่ใจนี่รวมไปถึงความระวังด้วย เพราะเราเป็นคนกลัวเรื่องการลักเล็กขโมยน้อยหรืออุบัติเหตุขึ้นสมอง ยิ่งไปเที่ยวต่างแดน เราจะระวังทางเสมอ
เคยต้องไปกระชากหลังคอเสื้อเพื่อนที่ข้ามถนนที่ฮ่องกงช้าเกิน จนเกือบโดนแท็กซี่ชน (เจอโซเฟอร์บีบแตรด่าอีก)
อวยตัวเองโครตเยอะ
ฟังภาษาอังกฤษม่ายรู้เรื่องเบย...เรามีปัญหาเรื่องหู คือไม่รู้เป็นอาการเริ่มต้นของการตึงหรือยัง เพราะเราเป็นคนฟังเพลงเสียงดังแต่เด็ก แถมขึ้นเครื่องบินต้องใส่หูฟังอุดกันอากาศไว้ตลอดบิน ทำให้เราฟังคนที่พูดรัวเร็วและพูดเบาไม่ทัน ยิ่งมาเจอคนญี่ปุ่นพูดภาษาอังกฤษ เร็วแล้วยังงึมงำในคออีก ถึงกับนิ่งเอ๋อไปไม่เป็น คือเราอ่าน เขียน ได้ในระดับนึง เพราะมันมีเวลาอ่านและทบทวนได้ แต่ฟังคนพูดใส่แล้วฟังไม่ทัน เลยทำให้สมองประมวลผลไม่ได้ว่าควรจะพูดอะไรกลับในเวลานั้น ยิ่งเขาทำหน้าไม่เข้าใจอีก ภาษาอังกฤษที่ตรูจะตอบกระเด็นหายหมดเลย ไม่รู้แล้วว่าจะพูดอะไรต่อ
ไปเกาหลีถึงขั้นต้องพกหนังสือที่มีเขียนบทสนทนา ไปชี้บอกเอาว่าจะเอาอะไร ช่วยไปได้เยอะ
สกิลกากอีกอันคือ เราเป็นคนอายในการเข้าไปขอความช่วยเหลือจากใครเวลาหลงทาง คือเคยเข้าไปขอแล้วเขาไม่พูดตอบเพราะฟังเราไม่รู้เรื่อง เดินหนี มันเลยอายจนไม่อยากถามใครต่อ (เป็นผลให้ต้องมาอ่านแผนที่เซฟสตรีทวิวด้วยตนเอง) คือถ้าไปกับเพื่อน เราจะให้เพื่อนเข้าไปถามทางแทน
เคยนัดเจอน้องสาวที่สถานีโอซาก้า(แล้วมันมีสามสถานีในตัว)ไอ่เราก็ไม่รู้ว่าน้องนัดเจอตรงทิศไหน คุยทางมือถือก็ไม่เข้าใจ สุดท้ายต้องยอมฝืนอายไปถามกับเจ้าหน้าที่รถบัส จะต้องพูดว่า ฉันหลงกับน้องสาว ช่วยคุยกับน้องฉันทางมือถือได้ไหม(คือน้องเราพูดญี่ปุ่นได้) แต่ไอ่คำพูดที่ต้องบอกอย่างงั้น มันต้องพูดยังไงว่ะ! รนไปหมด
...โชคดีเหมือนเจ้าหน้าที่แกพอจะดูภาษากายเราออก (ดูเหมือนเขาพูดภาษาอังกฤษไม่ได้) สุดท้ายเขารับมือถือเราไปคุย แล้วก็เดินนำเราไปเจอน้องได้
(ในทางกลับกัน ถ้ามีฝรั่งมาถามทาง เรากลับช่วยเขาได้นะ คือมันมีเวลาได้เตรียมใจ แล้วเขาไว้ใจจะค่อยๆฟังเราพูด)
ตั้งแต่นั้น ไอ่พวกแอพแปลภาษา ประเภทพูดออกไปเดี๋ยวก็แปลให้เอง ใช้กับเราไม่ได้ผลแล้ว เคยใช้แล้วสื่อกับอีกฝ่ายไม่ได้เลย
เราเลยพกหนังสือแปลเอา หรือเซฟข้อความที่อาจจะต้องได้ใช้ใส่มือถือ แปลเป็นภาษาประเทศที่จะไป แล้วให้เขาอ่านเลย เคลียร์กว่า
(เราเซฟข้อความภาษาญี่ปุ่นว่า ฉันแพ้กุ้ง ปู ถั่วงอก กรุณาอย่าใส่ในอาหารของฉัน ให้พนักงานอ่านก่อนสั่ง ไม่งั้นเดี๋ยวได้เจอราเมงหน้าถั่วงอกมา)
สกิลง่อยอีกอันคือ เราไม่ชอบการต่อราคา แค่พูดยังไม่ค่อยได้ จะไปเอาสกิลคำพูดอะไรต่อราคาเขา รู้สึกไม่อยากต่อด้วย สงสารพ่อค้าแม่ค้า ใจคอจะไม่ให้เขาได้กำไรเลยเรอะ จนโดนเพื่อนจิกไว้ พวกนั้นขายเกินกำไรต่างหาก แล้วเวลาซื้อของแพงมา จะโดนเพื่อนเกทับว่าฉันไปซื้อที่นี่ถูกกว่า ฉันต่อได้ถูกกว่า เลยไม่ค่อยชอบต่อ ซื้ออะไรแปะราคาเท่าไหร่ซื้อเลย ถ้าเพื่อนมาเกทับอีก เราจะกลับไปทำหน้าดุสกิลเดิมคือ...Shut up บ้างเหอะ
อีกอันไม่ใช่สกิลกาก แต่จะเป็นเรื่องความโมโหส่วนตัวในเพื่อนร่วมทริป...นั้นคือเราไม่ชอบคนที่มาเปลี่ยนตารางทริปกระทันหัน แล้วทำให้ตารางที่วางไว้แต่แรกเป๋หมด เพราะก่อนไป เราจะคุยให้เคลียร์กันแล้วว่าจะไปไหน...โอเคว่าถ้ามันมีอุบัติเหตุเช่น ฝนตก หรือเพื่อนเหนื่อยเกินไปจนตื่นสายไปทริปเช้าไม่ได้ อันนี้เราพออนุโลมได้ เราจะตัดเป็นแพลนสำรองไว้ เช่น ถ้าเช้าไปนี้ไม่ทัน ก็ตัดรายการนี้ออกไป ไม่ซีเรียส....แต่ประเภทมาดึงให้ไปอีกที่ที่มันอยู่กันคนละโยชน์เมือง เดินทางกลับไกลโครต อันนี้ซีเรียสมาก
ที่ซีเรียสอีกคือ พวก 'อยู่ต่อหน่อยได้ไหม' คืออยู่กับสถานที่นึงนานเกินไป นานจนทำให้เวลาที่จะไปอีกที่นึงไปไม่ทันแล้ว ตกรถไฟไปแล้ว
นั้นทำให้เราไม่ชอบเจอเหตุการณ์ไม่คาดคิดไม่คาดฝัน เหตุการณ์เฉพาะหน้าที่นอกแผน ถ้าเที่ยวในประเทศมันยังพอคุยได้ แต่ถ้าอยู่นอกประเทศ ภาษาก็ไม่ค่อยได้ มันจะคุยยากและทำให้เราหงุดหงิดมาก จนทำให้หลายคนมองว่าเราไม่อะลุ่มอะล่วยอะไรเลย เจ้าระเบียบไป
อีกอันคือ เราไม่ชอบพวก 'ลูกอิช่างติ' เจอแบบอะไรก็ตินู้นนี้ไปสักหมด พักห้าดาวก็ว่าแพงเกิน พักดาวเดียวก็หาว่ากระจอก เข้าร้านสะดวกซื้อก็บอกไม่อร่อย เข้าร้านดูดีก็บ่นว่าแพง แมวที่โรงแรมไม่ยอมเล่นกับนาง สารพัดจะหาเรื่องติ! ไม่ได้ติเดี๋ยวนางจะเป็นใบ้!...คนแบบนี้ได้เดินทางกับเราครั้งสุดท้ายแน่
อีกพวกคือ พวกไม่รู้จักสำนึกผิด...เช่น เวลาเราพาหลง ต่อว่าเราต่างๆนานาๆ ว่าแกพาฉันหลง เสียเวลาชะมัด แต่พอเราให้นางนำ นางพาเราหลงหนักกว่าเดิม แล้วก็มาทำหัวเราะกลบเกลื่อน พอเราต่อว่าใส่ ก็มาบีบน้ำหูน้ำตาไหล งอแงว่า เรื่องแค่นี้เอง ทำไมต้องมาว่าฉันด้วย
อีกประเภทที่เกลียดสุด คือไอ่พวกเดินหาของที่ไปรับของฝากจากคนอื่นมา เดินหาของยังพออดทนได้ แต่ไอ่เดินเทียบราคาของเนี่ย ไม่ชอบ...แล้วจะยิ่งโครตไม่ชอบกว่าเดิมก็คือ เดินหาเจอของที่ต้องการแล้ว แต่ไม่พอใจราคา ไปเดินหาเข้าอีกหลายร้าน เดินวนกลับไปร้านเดิมอีก...แล้วไม่พอใจร้านเดิม แบบเขาไม่มีของแถมให้ เจือกไปอีกร้านเก่าซ้ำๆแบบนั้นหลายชม.อีก! วนอยู่นั้นแหละ ไปเดินไหนไม่เดิน ไปเดินหาแถวชินจูกุ! มันมีตั้งกี่ร้อยร้าน แล้วร้านนึงมันมีตั้งกี่ชั้น!
เราโมโหเคยถึงขั้นว่าทิ้งเพื่อนแล้วนั่งรถไฟฟ้ากลับโรงแรมเองเลย เพราะเราปวดขามากแล้ว เสียเวลาหลายชม.(จริงๆคือแค่สามชม.) แล้วไม่ได้อะไรเลยสักอย่าง จะโดนว่าใจดำว่าทิ้งเพื่อนก็ยอมแล้ว เพราะไม่งั้นเราอาจได้พลั้งมือฆ่าคนแหง
ถึงขั้นว่าเรากลับมานอนโรงแรมตอนบ่าย พักจนขาเมื่อยถึงเย็น กินข้าวเดินชิลล์ย่านแถวโรงแรม...คุณเพื่อนยังเลือกหาของที่ต้องการไม่ได้สักชิ้น!
แต่ที่โมโหสุดๆคือ พวกไม่วางแผนการใช้เงินให้ดี คือใช้หมดเกลี้ยงในวันที่ไม่ใช่วันสุดท้าย แล้วมายืมเงินเราไป!...เราเคยแยกกันเที่ยวกับเพื่อนที๋โอซาก้า เพื่อนรูดบัตรกับแท็กซี่ไม่ได้ ต้องจ่ายสดหมดกระเป๋า (ยังงงว่าทำไมนางไม่ไปกด ATM) นางโทรมาบอก เราบอกว่าให้กลับมาได้แล้วถ้าเงินหมด เพราะอีกชม.ครึ่ง มันใกล้เวลาจะต้องนั่งชิงคันเซนกลับ (นางมี Jr Pass ซึ่งนั่งรถฟรีกลับมาได้) แต่นางบอกให้เราเอาเงินมาส่งให้นางที่สถานีที่นางอยู่! นางจะไปเที่ยวต่อเพราะเวลายังเหลือ! เราโมโหมาก เพราะสถานีรถไฟในญี่ปุ่นมันไม่ใช่หัวลำโพง มันต้องใช้เวลาเดินหาล่วงหน้าเป็นครึ่งชม.นะ...สุดท้ายเราเลย บอกว่าแกเป็นคนขอ แกต้องมาเอง ไม่ใช่ให้ฉันเอาไปประเคนให้ ฉันให้เวลาครึ่งชม. ถ้าแกมาไม่ทัน ก็รอไปเจอที่สนามบินก็แล้วกัน ฉันไม่อยากตกชินกันเชน สุดท้ายนางก็ยอมล่าถอย ไม่ไปต่อแล้วเพราะเราไม่ตามใจนาง...อย่าทำให้เราโกรธ เพราะถ้าเราทิ้ง เราทิ้งจริงๆ ไม่แคร์ด้วยกับคนไม่ลำดับความสำคัญของชีวิตขนาดนี้ แล้วมาทำให้คนอื่นเดือดร้อนอีก
สรุปเพื่อนที่จะไปทริปกับเราได้ ถ้าตามใจเรา ให้เกียรติเรา แล้วเราจะตามใจเขา เราจะถือว่าช่วยต่างตอบแทนน้ำใจกัน ยิ่งเราเป็นคนนำ เราจะทำการบ้านมาสูง เพื่อไม่อยากให้เพื่อนผิดหวัง ขอแค่อย่าเดินบ่นนู้นนี้ก็พอ เพราะตัวเราเองเวลาเราตามใจเพื่อนเรายังอดทนไม่บ่น ดังนั้นเขาไม่ควรจะบ่นจุกจิกกับเรา เราจะเข้าวัยทองแล้ว ขี้เกียจมาอดทนกับคนงอแง
จบกระทู้แล้วคะ ฟังดูเหมือนมาระบายเนอะ สงสัยเก็บกดมานาน
เพื่อนมาเขียนอวดสกิลความเมพและ...กากง่อยในการท่องเที่ยวของแต่ละคน ความชอบไม่ชอบเพื่อนร่วมทริปเป็นยังไงบ้าง