สวัสดีค่ะ มาติดตามโฉมงามกับเจ้าชายอสูรฉบับยำใหม่กันต่อได้เลยค่ะ
PS: chapter 1 ...
https://pantip.com/topic/36962641
--------------------------------------
~ 2 ~
เสียงแม่ไก่ร้องระงมดังออกมาจากกรงที่ตีขึ้นด้วยแผ่นไม้หยาบ มองเข้าไปจะเห็นพื้นฟางแห้งดูหนานุ่มและสะอาด ไม่มีกลิ่นน่ารังเกียจเหมือนเล้าไก่บ้านอื่น แม่ไก่หลายตัวนอนจุมปุ๊ก หรุบปีกอูมกกสิ่งล้ำค่าที่เพิ่งหลุดออกจากตัว ดวงตาสอดส่ายระแวดระวัง แต่เมื่อดวงหน้าขาวคุ้นเคยเยี่ยมมองเข้ามาก็ยินดีขยับตัวลุกอย่างรู้งาน ไข่ไก่สีนวลอ่อนยังอุ่นจัดถูกเก็บอย่างระวัง แล้วตอบแทนด้วยถ้อยคำไพเราะ น้ำเสียงหวานละมุนเหมือนเช่นทุกเช้า
“ขอบคุณนะคุณเดซี่ คุณลิลลี่ คุณไวโอเลต วันนี้ก็อยู่กันดีๆเหมือนเคยนะ อ้อ! มีลาภปากด้วยล่ะ เมื่อวานนายแกสตันขนอาหารไก่มาให้ตั้งกระสอบแน่ะ อุตส่าห์บอกแล้วบอกอีกว่าไม่เอาก็ไม่ยอมฟัง แต่ช่างเถอะ เขาอยากให้เราก็รับไว้ ถ้ากินแล้วอร่อยพวกคุณๆก็ช่วยออกไข่เยอะๆ จะได้มีเหลือพอทำขนม เอาไปให้เขาเป็นการตอบแทนแล้วกันเนอะ”
เสียงร้องตอบราวรู้ภาษาเรียกรอยยิ้มขณะที่เจ้าตัวหยิบอาหารที่เตรียมมาโปรยปรายลงรอบๆเพื่อให้บรรดาแม่ไก่ออกมาจิกกิน ทีแรกตั้งใจจะเก็บกวาดเศษฟางเก่าให้เรียบร้อยในคราวเดียวแต่เสียงเรียกดังมาจากตัวบ้านทำให้ต้องรีบวางมือ
“โจ! หายหัวไปไหนเนี่ย คิดจะอู้แต่เช้าเลยหรือไงนะ โจ! ยัยโจจจจจจแอนนนนน!”
ร่างเพรียวบางในชุดทะมัดทะแมงแทบจะปาไม้กวาดในมือทิ้ง แต่รู้ว่าทำไปก็พาลจะเสียของโดยไม่เกิดประโยชน์ใดๆ ตั้งแต่การค้าของพ่อประสบปัญหา ทุกคนในบ้านต้องช่วยกันประหยัด ไม้กวาดพังไปสักอันก็ถือเป็นเรื่องเดือดร้อนได้เลย
สิ่งเดียวที่ โจชัวร์ ทำได้และต้องทำมาตลอดตั้งแต่รู้ความคือการอดทน ถึงครึ่งหนึ่งในตัวเขาจะเป็นสายเลือดของพ่อ แต่การมีแม่เป็นคนรับใช้ทำให้กระดากที่จะบอกใครๆว่าเป็นเจ้าของบ้านคนหนึ่ง ยิ่งเมื่อเสียแม่ไป แถมครอบครัวยังมีปัญหาจนต้องย้ายออกมาอาศัยอยู่นอกเมือง ตัวเขาจึงไม่ต่างอะไรจากคนรับใช้ของพวกพี่สาวต่างพ่อ
“เลิกเรียกชื่อแม่ข้าได้มั้ย พี่จะเอาอะไรก็บอกมาดีๆ”
เขากัดฟันบอก พยายามไม่ตะโกนเพราะนั่นจะยิ่งเป็นการยั่วอารมณ์ของ เบตตี้ พี่สาวคนที่สอง เจ้าของร่างเจ้าเนื้อและเสียงดังแปดหลอดที่สาบานได้ว่าเพื่อนบ้านที่อยู่ห่างไปอีกสามไมล์ก็ยังได้ยิน
“แหม! ก็มันติดปากนี่ เคยเรียกมาแต่ไหนแต่ไร แต่ก็ดีนะ ถึงตัวแม่จะตายก็เหลือลูกมาให้ใช้งานต่อ จริงมั้ยล่ะ เจ้าลูกคนใช้”
โจชัวร์ไม่เห็นประโยชน์ที่จะยืนฟังคำด่าที่ได้ยินมาตั้งแต่เด็ก จึงตั้งใจจะเลี่ยงเข้าครัวไปทำงานที่ค้างอยู่
“หยุดเดี๋ยวนี้นะ กล้าหันหลังให้ฉันเหรอโจแอน!”
“เลิกเรียกชื่อแม่ข้าซะที!” เขาเสียงดังตอบ ความอดทนที่มีถ้าใช้มากๆเข้าคงหมดลงได้สักวัน
เบตตี้ตั้งท่าจะเล่นงานน้องต่างแม่ให้หมดฤทธิ์ และยิ่งยิ้มกว้างเมื่อมีผู้ช่วยชั้นดี แมรี่ พี่สาวคนโตส่งเสียงเนือยๆลงมาจากชั้นสอง ไม่ช้าร่างซูบผอมที่ชอบใส่เสื้อรัดเอวให้ยิ่งคอดจนเหมือนจะหักคามือได้ก็เดินลงบันไดมา น้ำเสียงเย็นชาเข้ากันได้ดีกับใบหน้าเรียบตึง สีหน้านิ่ง และเหยียดมองคู่สนทนาอยู่เสมอ
“เอะอะเสียงดังอะไรกันแต่เช้า”
“พี่เบ็ตตี้ล้อชื่อแม่ข้า” โจชัวร์ฟ้องอย่างอดไม่ได้แม้จะรู้ผลลัพธ์อยู่แล้ว
“โธ่เอ๊ย! ทะเลาะกันเรื่องไร้สาระเนี่ยนะ กะอีแค่ชื่อ จะเรียกอะไรลูกคนใช้ก็ยังเป็นลูกคนใช้วันยังค่ำ ไปเอากาแฟมาเสิร์ฟไป๊”
เสียงเหยียดหยันบอกส่งๆแล้วเดินนำไปยังโต๊ะอาหาร แน่นอนว่ามีแค่สองพี่น้องที่นั่งรอทานมื้อเช้า บ้านหลังนี้ไม่มีคนใช้ คนทำงานมีเพียงโจชัวร์กับพี่สาวคนที่สาม แต่รายนั้นก็สุขภาพอ่อนแอ ขี้โรคมาตั้งแต่เด็ก เขาจึงเหมาทำทุกอย่างทั้งงานบ้าน ทำอาหาร ทำความสะอาด เลี้ยงไก่เพื่อให้ได้ไข่และเนื้อมาทำอาหาร และปลูกพืชผักไว้เพื่อกินเองและอาจขายได้เงินอีกเล็กน้อย
“แล้วเช้านี้มีอะไรกินก็ยกมาพร้อมกันเลยนะ นี่ก็ไม่รู้เมื่อไหร่คุณพ่อจะกลับมาสักที ถ้ากลับช้าก็น่าจะส่งข่าวมาบอกกันบ้าง ไม่รู้ว่าชุดที่สั่งไปจะได้เรียบร้อยหรือเปล่า ถ้าไม่ทันอาทิตย์หน้าล่ะแย่แน่ ไม่มีอะไรใหม่ๆใส่ไปงานวันเกิดยัยซูซานนาเป็นได้ถูกเมาท์จนไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน ยัยนั่นก็ช่างกะไร กะอีแค่วันเกิดกระแดะจะจัดปาร์ตี้ โธ่เอ๊ย! ก็แค่งานเลี้ยงของพวกบ้านนอก นี่ถ้าได้เห็นปาร์ตี้ที่พวกเราเคยจัดกันทุกอาทิตย์ล่ะก็คงได้ตาค้าง ไม่มีหน้ามาดูถูกกันอย่างนี้หรอก”
ระหว่างรอทั้งคู่ก็เริ่มรำพึงรำพันถึงชีวิตรุ่งเรืองในอดีต และหากมีเวลาพอก็จะชวนกันออกไปเข้าสมาคมซึ่งไม่พ้นการหาเรื่องซุบซิบนินทากัน
“นั่นสิคะพี่แมรี่ จัดเบิร์ทเดย์ปาร์ตี้เพราะงกอยากได้ของขวัญเท่านั้นแหละ เค้กเอย ขนมเอยจะมีเลี้ยงมั้ย หรือถึงมีก็ไม่รู้จะกระเดือกลงหรือเปล่า น้องว่าเค้กที่คนใช้บ้านเราทำยังอร่อยเสียกว่า”
“ใช่สิ ฝีมือทำขนมของนังโจแอนน่ะขึ้นชื่อไปถึงไหนต่อไหน ไม่งั้นจะไต่เต้าจากห้องครัวมาถึงเตียงคุณพ่อได้ยังไงล่ะ”
โจชัวร์วางอาหารเช้าลงแล้วถอยห่าง ไม่อยากจะสู้รบในเกมที่ไม่มีวันชนะ เขารู้อยู่แล้วว่าเรื่องจริงๆของพ่อกับแม่ไม่ได้เลวร้ายอย่างที่ถูกกล่าวหา พ่อเสียภรรยาไปหลายปีก่อน ความเหงาเลยทำให้หันมามองสาวใช้ในบ้าน แม้จะไม่ได้ยกย่องเชิดชูแต่พ่อก็ให้เกรียติแม่เสมอ ฝ่ายแม่ของเขาไม่ใช่คนทะเยอทะยาน แม้จะให้กำเนิดลูกชายซึ่งถือเป็นทายาทโดยชอบธรรมก็ไม่เคยแสดงตัวเป็นใหญ่ จะมีก็แต่คุณหนูทั้งสองที่คอยระรานข่มเหง แม่ถูกทำร้ายน้ำใจสารพัดแต่ต้องกล้ำกลืนฝนทน เมื่อจิตใจบอบช้ำร่างกายก็พลอยอ่อนแอทำให้จากเขาไปก่อนเวลาอันควร
“ไม่ต้องอู้ไปเที่ยวเล่นที่ไหนล่ะ ขึ้นไปเก็บกวาดห้องของพวกฉันด้วย เอาเสื้อผ้าเก่าออกจะได้เตรียมตู้ไว้ใส่ชุดใหม่ๆที่คุณพ่อจะเอากลับมา พวกหมวกเอย รองเท้าเอย เก็บออกมาทำความสะอาด ขัดให้เป็นเงาเลยนะ เผื่ออันไหนใส่เบื่อแล้วจะได้แจกให้พวกบ้านนอกที่ไม่เคยมีของดีๆใช้ แต่หีบเครื่องแต่งตัวน่ะ อย่าได้ริอาจแตะต้องเชียว ของดีๆแพงๆโดนมือคนใช้แล้วจะหมองเสียหมด”
โจชัวร์รับคำแล้วก้าวขึ้นบันไดไปยังชั้นสองของบ้านทั้งที่ยังมีงานครัวค้างอยู่ เพราะหากรีรอก็จะโดนดุว่าไม่เชื่อฟังคำสั่งอีกกระทง
“โจ”
น้ำเสียงอ่อนๆเรียกให้เขาเงยหน้ามองและรีบก้าวขึ้นไปยังบันไดขั้นบนสุดที่ เบลล่า พี่สาวคนที่สามและอาจเรียกว่าเป็นคนเดียวที่เห็นเขาเป็นน้องยืนรออยู่
“โดนดุแต่เช้าเลย ขอโทษนะที่พี่ช่วยอะไรเราไม่ได้ ถ้าพี่เข้มแข็งกว่านี้ก็คง...”
“ไม่ต้องห่วงหรอก แค่นี้เอง สบายมาก”
เขาส่งยิ้มให้ร่างบอบบางน่าทะนุถนอม พี่สาวคนนี้สุขภาพอ่อนแอทำให้ทุกคนในบ้านต้องคอยดูแลจนบางครั้งเขายังรู้สึกว่ามีน้องสาวมากกว่า เธอเป็นคนเดียวที่ปฏิบัติกับเขาอย่างเท่าเทียม แม้จะห้ามปรามพี่ทั้งสองไม่ได้ก็ยังช่วยปลอบโยนและเป็นกำลังใจให้อยู่เสมอ
“จ๊ะพี่รู้ โจของพี่เก่งเสมอ”
รอยยิ้มอ่อนๆยิ่งส่งให้เธอดูสวยน่ารัก และแม้จะไม่ใช่สาวสังคมเหมือนอย่างพี่ๆแต่เธอเป็นคนเดียวที่มีคู่หมั้นเป็นตัวเป็นตน แม้ครอบครัวตกยาก เขาคนนั้นก็ยังมั่นคง เพียงแต่หน้าที่การงานทำให้ไม่สามารถตามมาที่นี่ แต่เขาให้สัญญาว่าจะรีบจัดการแต่งงานและรับเธอไปอยู่ด้วยโดยเร็วที่สุด
“โจไม่ต้องขึ้นมาทำความสะอาดหรอกนะ เดี๋ยวพี่ทำเอง จะทำส่วนของพี่แมรี่กับเบตตี้ด้วย โจเสียสละยอมลงไปนอนที่ห้องเก็บของก็น่าสงสารพออยู่แล้ว ไหนจะต้องทำทั้งงานในบ้าน นอกบ้านอีกสารพัด พวกพี่สิได้แต่นั่งๆนอนๆ ไม่ได้ช่วยอะไรเลย”
“อย่าเลย เจอฝุ่นมากๆจะไม่สบายไปอีก ตอนนี้รีบลงไปทานมื้อเช้าดีกว่า ข้าทำไว้ให้แล้ว” เขารุนหลังร่างบางให้ก้าวลงบันได “ไปเร็วๆสิครับ ทำตัวดีๆ ว่าง่ายๆน๊า พี่บ็อบจะได้มาสู่ขอเร็วๆ”
เขาส่งยิ้มตามจนพี่สาวลับสายตาไป จึงหันกลับมาเผชิญหน้ากับงานที่รออยู่ ต้องขอบคุณที่บ้านหลังนี้เล็กกว่าบ้านที่เคยอาศัยในเมือง ห้องของพ่อและพี่สาวทั้งสามอยู่ชั้นบนส่วนเขาอาศัยนอนที่มุมหนึ่งของห้องเก็บของที่ชั้นล่าง
ห้องนอนของแมรี่กับเบตตี้เป็นห้องใหญ่ที่สุดของบ้าน และไม่น่าเชื่อว่าจะรกที่สุดเช่นกัน เสื้อผ้าใช้แล้วพาดไว้กับโซฟาบ้าง เก้าอี้บ้าง รองเท้าครบคู่บ้าง หายไปอยู่คนละมุมห้องบ้าง หน้าโต๊ะกระจกเต็มไปด้วยผงแป้งและสีเครื่องสำอาง ขนาดหีบที่เจ้าของหวงนักหวงหนายังเปิดอ้า แหวน สร้อย ต่างหูที่ควรถูกวางเป็นสัดส่วนรวมกันเขละขละชวนให้นึกถึงเครื่องประดับราคาถูกที่วางขายแบกะดินในตลาด
โจชัวร์ส่ายหน้าน้อยๆ และเริ่มลงมือเก็บกวาดเหมือนที่ต้องทำเป็นประจำอยู่แล้ว ไม่ถึงขั้นรื้อของทุกชิ้นออกจากตู้เพราะเชื่อว่าพี่สาวคงไม่ได้ตั้งใจให้ทำอย่างนั้นจริงๆ แต่แค่ทำความสะอาด เก็บกวาด จัดของให้เข้าที่เข้าทางก็กินเวลานานพอดู จนเกือบจะถึงเวลามื้อเที่ยงที่เขาพบตัวเองยืนอยู่กลางห้องกว้างที่ดูสะอาดเรียบร้อย แต่ก็เชื่อได้เลยว่าจะคงสภาพนี้อยู่ได้ไม่นาน
เขาเหลียวมองรอบห้องเพื่อความแน่ใจแล้วก็สะดุดกับเงาในกระจกบานสูงที่ตั้งอยู่มุมหนึ่ง คนในกระจกนั้นอายุเกือบจะยี่สิบแล้วแต่ยังดูเหมือนเด็กชายไม่รู้จักโต รูปร่างเพรียวบางสมส่วนค่อนไปทางผอม แขนขาเรียวยาว ผิวเนื้อนวลสีอ่อนราวกับเปลือกไข่ เมื่อก้าวเข้าไปมองใกล้ๆจะเห็นดวงหน้าเรียวรูปหัวใจ ดวงตาสุกใสสีน้ำตาลอ่อนรับกับเรือนผมยาวเคลียไหล่ที่มัดไว้เป็นหางม้า จมูกโด่งปลายเล็กเรียว ริมฝีปากได้รูปสีสดตามธรรมชาติ
ทุกคนต่างบอกว่าเขาคล้ายแม่มาก ซึ่งอาจจะมากเกินไปจนบางครั้งถูกทักผิดว่าเป็นผู้หญิง แต่เขาไม่ทุกข์ร้อน ถ้าส่องกระจกแล้วเห็นแม่ได้ก็คงดี นี่ถ้าโลกนี้มีกระจกวิเศษที่จะทำให้เห็นคนที่อยากพบได้ เขาจะรีบหามาไว้ในครอบครองสักบาน
เขายิ้มให้ตัวเองอีกครั้งแล้วออกจากห้องเพื่อกลับลงไปด้านล่าง ในหัวกำลังนึกทวนสิ่งที่ต้องทำเป็นลำดับต่อๆไป อย่างแรกคือมื้อเที่ยง เสร็จแล้วก็เก็บกวาดทำความสะอาดบ้าน พอแดดร่มลมตกก็ออกไปจัดการแปลงผัก แวะไปดูพวกแม่ไก่สักหน่อยค่อยกลับมาทำมื้อเย็น เวลาหนึ่งวันคิดไปไม่นานเลยถ้ามีเรื่องมากมายให้จัดการ ยังสงสัยว่าทำไมพวกพี่ๆถึงชอบบ่นว่าวันเวลาช่างยาวนาน พวกเธอเบื่อจนไม่รู้จะเบื่อยังไงแล้ว
ทว่าแผนการทั้งหมดต้องสะดุดเมื่อพบว่า... พ่อกลับมาแล้ว!
พ่อกลับมาพร้อมกับม้าสีขาวที่มีชื่อสมตัวมาก เขารับอาสาพาเจ้าสโนว์ไปหาน้ำและหญ้ากินในขณะที่พี่ๆช่วยกันขนสัมภาระกองโตเข้าบ้านด้วยความกระตือรือร้น
“ขอโทษนะที่เราไม่มีคอกม้าให้เจ้าอยู่ แต่ต้นไม้ตรงนี้ก็ร่มดี ข้าจะผูกเชือกไว้ให้ยาวๆเจ้าจะได้เดินไปเดินมาได้ไกลๆดีมั้ย”
เขาบอกพลางลูบขนคอยาวสลวยของเจ้าม้าที่กำลังจุ่มปากลงในถังน้ำอย่างกระหาย เมื่อยกหัวขึ้นมาก็สะบัดจนละอองน้ำกระเซ็นไปทั่ว
“หวา เปียกหมดเลย อย่าแกล้งกันสิสโนว์” เขาร้องอู้แล้วต้องยืนหลับตาปี๋ด้วยความตกใจเมื่อเจ้าม้าแสนรู้แลบลิ้นเลียแก้มเบาๆเหมือนอยากจะไถ่โทษ เขาอยู่เล่นกับเจ้าสโนว์อีกพักใหญ่ก็ปล่อยให้มันได้เล็มหญ้าไปตามประสา
เมื่อกลับเข้ามาในบ้านก็พบว่าทุกคนกำลังวุ่นวายรื้อค้นข้าวของ และจัดสรรแบ่งกันด้วยความตื่นเต้น ขนาดเบลล่ายังเอาแต่ลูบคลำชุดเย็บปักถักร้อยกับชื่นชมพับผ้าแพรสีสวยไม่วางตา
“เรื่องเรือสินค้าเรียบร้อยดีหรือเปล่าครับ” เขาถามเมื่อนั่งลงที่ด้านข้าง อดแปลกใจกับสีหน้าของผู้เป็นพ่อไม่ได้
“เป็นเรือของเราจริงแต่พ่อก็ต้องขายใช้หนี้เขาไปหมด ตอนนี้พวกเราหมดตัว ไม่เหลืออะไรแล้ว”
มอร์ริสบอกเสียงเศร้า ดวงตาแดงชื้นเฝ้ามองลูกทีละคน แมรี่อายุสามสิบกว่าแล้ว คงหมดหวังเรื่องคู่ครอง แต่นิสัยไว้ตัวอย่างนั้นก็ไม่ใช่เรื่องแปลกที่ผู้ชายต่างพากันส่ายหน้า เบตตี้ แม้จะยังมีหวัง แต่รูปร่างอวบเกินงามกับนิสัยเอะอะโวยวายก็คงเป็นอุปสรรคใหญ่ เบลล่า ลูกสาวที่ได้เค้าแม่มาทั้งหน้าตาและสุขภาพอนามัย แต่โชคดีที่เธอมีคนดีรอที่จะปกป้องดูแล นับเป็นลูกที่เขาห่วงน้อยที่สุด และเจ้าคนเล็ก โจชัวร์ มองกี่ครั้งก็ชวนให้นึกถึงแม่ของเขา เจ้าของรอยยิ้มสวยและกลิ่นหอมหวานของขนม เด็กคนนี้มีความฉลาดเฉลียว นิสัยใจคอน่าคบหา เชื่อว่าจะเอาตัวรอดและสืบสายเลือดของตระกูลให้ยืนยาวได้ต่อไป
“แล้วมีปัญหาอย่างอื่นหรือเปล่าคะ ทำไมสีหน้าพ่อดูไม่ดีเลย” เบลล่าเอ่ยถาม พาให้พี่อีกสองคนเลิกแย่งรองเท้าแล้วหันมาให้ความสนใจพ่อตัวเองบ้าง
(ต่อด้านล่างนะคะ)
Heartbeat: A Retelling of Beauty and the Beast ... chapter 2
PS: chapter 1 ... https://pantip.com/topic/36962641
--------------------------------------
~ 2 ~
เสียงแม่ไก่ร้องระงมดังออกมาจากกรงที่ตีขึ้นด้วยแผ่นไม้หยาบ มองเข้าไปจะเห็นพื้นฟางแห้งดูหนานุ่มและสะอาด ไม่มีกลิ่นน่ารังเกียจเหมือนเล้าไก่บ้านอื่น แม่ไก่หลายตัวนอนจุมปุ๊ก หรุบปีกอูมกกสิ่งล้ำค่าที่เพิ่งหลุดออกจากตัว ดวงตาสอดส่ายระแวดระวัง แต่เมื่อดวงหน้าขาวคุ้นเคยเยี่ยมมองเข้ามาก็ยินดีขยับตัวลุกอย่างรู้งาน ไข่ไก่สีนวลอ่อนยังอุ่นจัดถูกเก็บอย่างระวัง แล้วตอบแทนด้วยถ้อยคำไพเราะ น้ำเสียงหวานละมุนเหมือนเช่นทุกเช้า
“ขอบคุณนะคุณเดซี่ คุณลิลลี่ คุณไวโอเลต วันนี้ก็อยู่กันดีๆเหมือนเคยนะ อ้อ! มีลาภปากด้วยล่ะ เมื่อวานนายแกสตันขนอาหารไก่มาให้ตั้งกระสอบแน่ะ อุตส่าห์บอกแล้วบอกอีกว่าไม่เอาก็ไม่ยอมฟัง แต่ช่างเถอะ เขาอยากให้เราก็รับไว้ ถ้ากินแล้วอร่อยพวกคุณๆก็ช่วยออกไข่เยอะๆ จะได้มีเหลือพอทำขนม เอาไปให้เขาเป็นการตอบแทนแล้วกันเนอะ”
เสียงร้องตอบราวรู้ภาษาเรียกรอยยิ้มขณะที่เจ้าตัวหยิบอาหารที่เตรียมมาโปรยปรายลงรอบๆเพื่อให้บรรดาแม่ไก่ออกมาจิกกิน ทีแรกตั้งใจจะเก็บกวาดเศษฟางเก่าให้เรียบร้อยในคราวเดียวแต่เสียงเรียกดังมาจากตัวบ้านทำให้ต้องรีบวางมือ
“โจ! หายหัวไปไหนเนี่ย คิดจะอู้แต่เช้าเลยหรือไงนะ โจ! ยัยโจจจจจจแอนนนนน!”
ร่างเพรียวบางในชุดทะมัดทะแมงแทบจะปาไม้กวาดในมือทิ้ง แต่รู้ว่าทำไปก็พาลจะเสียของโดยไม่เกิดประโยชน์ใดๆ ตั้งแต่การค้าของพ่อประสบปัญหา ทุกคนในบ้านต้องช่วยกันประหยัด ไม้กวาดพังไปสักอันก็ถือเป็นเรื่องเดือดร้อนได้เลย
สิ่งเดียวที่ โจชัวร์ ทำได้และต้องทำมาตลอดตั้งแต่รู้ความคือการอดทน ถึงครึ่งหนึ่งในตัวเขาจะเป็นสายเลือดของพ่อ แต่การมีแม่เป็นคนรับใช้ทำให้กระดากที่จะบอกใครๆว่าเป็นเจ้าของบ้านคนหนึ่ง ยิ่งเมื่อเสียแม่ไป แถมครอบครัวยังมีปัญหาจนต้องย้ายออกมาอาศัยอยู่นอกเมือง ตัวเขาจึงไม่ต่างอะไรจากคนรับใช้ของพวกพี่สาวต่างพ่อ
“เลิกเรียกชื่อแม่ข้าได้มั้ย พี่จะเอาอะไรก็บอกมาดีๆ”
เขากัดฟันบอก พยายามไม่ตะโกนเพราะนั่นจะยิ่งเป็นการยั่วอารมณ์ของ เบตตี้ พี่สาวคนที่สอง เจ้าของร่างเจ้าเนื้อและเสียงดังแปดหลอดที่สาบานได้ว่าเพื่อนบ้านที่อยู่ห่างไปอีกสามไมล์ก็ยังได้ยิน
“แหม! ก็มันติดปากนี่ เคยเรียกมาแต่ไหนแต่ไร แต่ก็ดีนะ ถึงตัวแม่จะตายก็เหลือลูกมาให้ใช้งานต่อ จริงมั้ยล่ะ เจ้าลูกคนใช้”
โจชัวร์ไม่เห็นประโยชน์ที่จะยืนฟังคำด่าที่ได้ยินมาตั้งแต่เด็ก จึงตั้งใจจะเลี่ยงเข้าครัวไปทำงานที่ค้างอยู่
“หยุดเดี๋ยวนี้นะ กล้าหันหลังให้ฉันเหรอโจแอน!”
“เลิกเรียกชื่อแม่ข้าซะที!” เขาเสียงดังตอบ ความอดทนที่มีถ้าใช้มากๆเข้าคงหมดลงได้สักวัน
เบตตี้ตั้งท่าจะเล่นงานน้องต่างแม่ให้หมดฤทธิ์ และยิ่งยิ้มกว้างเมื่อมีผู้ช่วยชั้นดี แมรี่ พี่สาวคนโตส่งเสียงเนือยๆลงมาจากชั้นสอง ไม่ช้าร่างซูบผอมที่ชอบใส่เสื้อรัดเอวให้ยิ่งคอดจนเหมือนจะหักคามือได้ก็เดินลงบันไดมา น้ำเสียงเย็นชาเข้ากันได้ดีกับใบหน้าเรียบตึง สีหน้านิ่ง และเหยียดมองคู่สนทนาอยู่เสมอ
“เอะอะเสียงดังอะไรกันแต่เช้า”
“พี่เบ็ตตี้ล้อชื่อแม่ข้า” โจชัวร์ฟ้องอย่างอดไม่ได้แม้จะรู้ผลลัพธ์อยู่แล้ว
“โธ่เอ๊ย! ทะเลาะกันเรื่องไร้สาระเนี่ยนะ กะอีแค่ชื่อ จะเรียกอะไรลูกคนใช้ก็ยังเป็นลูกคนใช้วันยังค่ำ ไปเอากาแฟมาเสิร์ฟไป๊”
เสียงเหยียดหยันบอกส่งๆแล้วเดินนำไปยังโต๊ะอาหาร แน่นอนว่ามีแค่สองพี่น้องที่นั่งรอทานมื้อเช้า บ้านหลังนี้ไม่มีคนใช้ คนทำงานมีเพียงโจชัวร์กับพี่สาวคนที่สาม แต่รายนั้นก็สุขภาพอ่อนแอ ขี้โรคมาตั้งแต่เด็ก เขาจึงเหมาทำทุกอย่างทั้งงานบ้าน ทำอาหาร ทำความสะอาด เลี้ยงไก่เพื่อให้ได้ไข่และเนื้อมาทำอาหาร และปลูกพืชผักไว้เพื่อกินเองและอาจขายได้เงินอีกเล็กน้อย
“แล้วเช้านี้มีอะไรกินก็ยกมาพร้อมกันเลยนะ นี่ก็ไม่รู้เมื่อไหร่คุณพ่อจะกลับมาสักที ถ้ากลับช้าก็น่าจะส่งข่าวมาบอกกันบ้าง ไม่รู้ว่าชุดที่สั่งไปจะได้เรียบร้อยหรือเปล่า ถ้าไม่ทันอาทิตย์หน้าล่ะแย่แน่ ไม่มีอะไรใหม่ๆใส่ไปงานวันเกิดยัยซูซานนาเป็นได้ถูกเมาท์จนไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน ยัยนั่นก็ช่างกะไร กะอีแค่วันเกิดกระแดะจะจัดปาร์ตี้ โธ่เอ๊ย! ก็แค่งานเลี้ยงของพวกบ้านนอก นี่ถ้าได้เห็นปาร์ตี้ที่พวกเราเคยจัดกันทุกอาทิตย์ล่ะก็คงได้ตาค้าง ไม่มีหน้ามาดูถูกกันอย่างนี้หรอก”
ระหว่างรอทั้งคู่ก็เริ่มรำพึงรำพันถึงชีวิตรุ่งเรืองในอดีต และหากมีเวลาพอก็จะชวนกันออกไปเข้าสมาคมซึ่งไม่พ้นการหาเรื่องซุบซิบนินทากัน
“นั่นสิคะพี่แมรี่ จัดเบิร์ทเดย์ปาร์ตี้เพราะงกอยากได้ของขวัญเท่านั้นแหละ เค้กเอย ขนมเอยจะมีเลี้ยงมั้ย หรือถึงมีก็ไม่รู้จะกระเดือกลงหรือเปล่า น้องว่าเค้กที่คนใช้บ้านเราทำยังอร่อยเสียกว่า”
“ใช่สิ ฝีมือทำขนมของนังโจแอนน่ะขึ้นชื่อไปถึงไหนต่อไหน ไม่งั้นจะไต่เต้าจากห้องครัวมาถึงเตียงคุณพ่อได้ยังไงล่ะ”
โจชัวร์วางอาหารเช้าลงแล้วถอยห่าง ไม่อยากจะสู้รบในเกมที่ไม่มีวันชนะ เขารู้อยู่แล้วว่าเรื่องจริงๆของพ่อกับแม่ไม่ได้เลวร้ายอย่างที่ถูกกล่าวหา พ่อเสียภรรยาไปหลายปีก่อน ความเหงาเลยทำให้หันมามองสาวใช้ในบ้าน แม้จะไม่ได้ยกย่องเชิดชูแต่พ่อก็ให้เกรียติแม่เสมอ ฝ่ายแม่ของเขาไม่ใช่คนทะเยอทะยาน แม้จะให้กำเนิดลูกชายซึ่งถือเป็นทายาทโดยชอบธรรมก็ไม่เคยแสดงตัวเป็นใหญ่ จะมีก็แต่คุณหนูทั้งสองที่คอยระรานข่มเหง แม่ถูกทำร้ายน้ำใจสารพัดแต่ต้องกล้ำกลืนฝนทน เมื่อจิตใจบอบช้ำร่างกายก็พลอยอ่อนแอทำให้จากเขาไปก่อนเวลาอันควร
“ไม่ต้องอู้ไปเที่ยวเล่นที่ไหนล่ะ ขึ้นไปเก็บกวาดห้องของพวกฉันด้วย เอาเสื้อผ้าเก่าออกจะได้เตรียมตู้ไว้ใส่ชุดใหม่ๆที่คุณพ่อจะเอากลับมา พวกหมวกเอย รองเท้าเอย เก็บออกมาทำความสะอาด ขัดให้เป็นเงาเลยนะ เผื่ออันไหนใส่เบื่อแล้วจะได้แจกให้พวกบ้านนอกที่ไม่เคยมีของดีๆใช้ แต่หีบเครื่องแต่งตัวน่ะ อย่าได้ริอาจแตะต้องเชียว ของดีๆแพงๆโดนมือคนใช้แล้วจะหมองเสียหมด”
โจชัวร์รับคำแล้วก้าวขึ้นบันไดไปยังชั้นสองของบ้านทั้งที่ยังมีงานครัวค้างอยู่ เพราะหากรีรอก็จะโดนดุว่าไม่เชื่อฟังคำสั่งอีกกระทง
“โจ”
น้ำเสียงอ่อนๆเรียกให้เขาเงยหน้ามองและรีบก้าวขึ้นไปยังบันไดขั้นบนสุดที่ เบลล่า พี่สาวคนที่สามและอาจเรียกว่าเป็นคนเดียวที่เห็นเขาเป็นน้องยืนรออยู่
“โดนดุแต่เช้าเลย ขอโทษนะที่พี่ช่วยอะไรเราไม่ได้ ถ้าพี่เข้มแข็งกว่านี้ก็คง...”
“ไม่ต้องห่วงหรอก แค่นี้เอง สบายมาก”
เขาส่งยิ้มให้ร่างบอบบางน่าทะนุถนอม พี่สาวคนนี้สุขภาพอ่อนแอทำให้ทุกคนในบ้านต้องคอยดูแลจนบางครั้งเขายังรู้สึกว่ามีน้องสาวมากกว่า เธอเป็นคนเดียวที่ปฏิบัติกับเขาอย่างเท่าเทียม แม้จะห้ามปรามพี่ทั้งสองไม่ได้ก็ยังช่วยปลอบโยนและเป็นกำลังใจให้อยู่เสมอ
“จ๊ะพี่รู้ โจของพี่เก่งเสมอ”
รอยยิ้มอ่อนๆยิ่งส่งให้เธอดูสวยน่ารัก และแม้จะไม่ใช่สาวสังคมเหมือนอย่างพี่ๆแต่เธอเป็นคนเดียวที่มีคู่หมั้นเป็นตัวเป็นตน แม้ครอบครัวตกยาก เขาคนนั้นก็ยังมั่นคง เพียงแต่หน้าที่การงานทำให้ไม่สามารถตามมาที่นี่ แต่เขาให้สัญญาว่าจะรีบจัดการแต่งงานและรับเธอไปอยู่ด้วยโดยเร็วที่สุด
“โจไม่ต้องขึ้นมาทำความสะอาดหรอกนะ เดี๋ยวพี่ทำเอง จะทำส่วนของพี่แมรี่กับเบตตี้ด้วย โจเสียสละยอมลงไปนอนที่ห้องเก็บของก็น่าสงสารพออยู่แล้ว ไหนจะต้องทำทั้งงานในบ้าน นอกบ้านอีกสารพัด พวกพี่สิได้แต่นั่งๆนอนๆ ไม่ได้ช่วยอะไรเลย”
“อย่าเลย เจอฝุ่นมากๆจะไม่สบายไปอีก ตอนนี้รีบลงไปทานมื้อเช้าดีกว่า ข้าทำไว้ให้แล้ว” เขารุนหลังร่างบางให้ก้าวลงบันได “ไปเร็วๆสิครับ ทำตัวดีๆ ว่าง่ายๆน๊า พี่บ็อบจะได้มาสู่ขอเร็วๆ”
เขาส่งยิ้มตามจนพี่สาวลับสายตาไป จึงหันกลับมาเผชิญหน้ากับงานที่รออยู่ ต้องขอบคุณที่บ้านหลังนี้เล็กกว่าบ้านที่เคยอาศัยในเมือง ห้องของพ่อและพี่สาวทั้งสามอยู่ชั้นบนส่วนเขาอาศัยนอนที่มุมหนึ่งของห้องเก็บของที่ชั้นล่าง
ห้องนอนของแมรี่กับเบตตี้เป็นห้องใหญ่ที่สุดของบ้าน และไม่น่าเชื่อว่าจะรกที่สุดเช่นกัน เสื้อผ้าใช้แล้วพาดไว้กับโซฟาบ้าง เก้าอี้บ้าง รองเท้าครบคู่บ้าง หายไปอยู่คนละมุมห้องบ้าง หน้าโต๊ะกระจกเต็มไปด้วยผงแป้งและสีเครื่องสำอาง ขนาดหีบที่เจ้าของหวงนักหวงหนายังเปิดอ้า แหวน สร้อย ต่างหูที่ควรถูกวางเป็นสัดส่วนรวมกันเขละขละชวนให้นึกถึงเครื่องประดับราคาถูกที่วางขายแบกะดินในตลาด
โจชัวร์ส่ายหน้าน้อยๆ และเริ่มลงมือเก็บกวาดเหมือนที่ต้องทำเป็นประจำอยู่แล้ว ไม่ถึงขั้นรื้อของทุกชิ้นออกจากตู้เพราะเชื่อว่าพี่สาวคงไม่ได้ตั้งใจให้ทำอย่างนั้นจริงๆ แต่แค่ทำความสะอาด เก็บกวาด จัดของให้เข้าที่เข้าทางก็กินเวลานานพอดู จนเกือบจะถึงเวลามื้อเที่ยงที่เขาพบตัวเองยืนอยู่กลางห้องกว้างที่ดูสะอาดเรียบร้อย แต่ก็เชื่อได้เลยว่าจะคงสภาพนี้อยู่ได้ไม่นาน
เขาเหลียวมองรอบห้องเพื่อความแน่ใจแล้วก็สะดุดกับเงาในกระจกบานสูงที่ตั้งอยู่มุมหนึ่ง คนในกระจกนั้นอายุเกือบจะยี่สิบแล้วแต่ยังดูเหมือนเด็กชายไม่รู้จักโต รูปร่างเพรียวบางสมส่วนค่อนไปทางผอม แขนขาเรียวยาว ผิวเนื้อนวลสีอ่อนราวกับเปลือกไข่ เมื่อก้าวเข้าไปมองใกล้ๆจะเห็นดวงหน้าเรียวรูปหัวใจ ดวงตาสุกใสสีน้ำตาลอ่อนรับกับเรือนผมยาวเคลียไหล่ที่มัดไว้เป็นหางม้า จมูกโด่งปลายเล็กเรียว ริมฝีปากได้รูปสีสดตามธรรมชาติ
ทุกคนต่างบอกว่าเขาคล้ายแม่มาก ซึ่งอาจจะมากเกินไปจนบางครั้งถูกทักผิดว่าเป็นผู้หญิง แต่เขาไม่ทุกข์ร้อน ถ้าส่องกระจกแล้วเห็นแม่ได้ก็คงดี นี่ถ้าโลกนี้มีกระจกวิเศษที่จะทำให้เห็นคนที่อยากพบได้ เขาจะรีบหามาไว้ในครอบครองสักบาน
เขายิ้มให้ตัวเองอีกครั้งแล้วออกจากห้องเพื่อกลับลงไปด้านล่าง ในหัวกำลังนึกทวนสิ่งที่ต้องทำเป็นลำดับต่อๆไป อย่างแรกคือมื้อเที่ยง เสร็จแล้วก็เก็บกวาดทำความสะอาดบ้าน พอแดดร่มลมตกก็ออกไปจัดการแปลงผัก แวะไปดูพวกแม่ไก่สักหน่อยค่อยกลับมาทำมื้อเย็น เวลาหนึ่งวันคิดไปไม่นานเลยถ้ามีเรื่องมากมายให้จัดการ ยังสงสัยว่าทำไมพวกพี่ๆถึงชอบบ่นว่าวันเวลาช่างยาวนาน พวกเธอเบื่อจนไม่รู้จะเบื่อยังไงแล้ว
ทว่าแผนการทั้งหมดต้องสะดุดเมื่อพบว่า... พ่อกลับมาแล้ว!
พ่อกลับมาพร้อมกับม้าสีขาวที่มีชื่อสมตัวมาก เขารับอาสาพาเจ้าสโนว์ไปหาน้ำและหญ้ากินในขณะที่พี่ๆช่วยกันขนสัมภาระกองโตเข้าบ้านด้วยความกระตือรือร้น
“ขอโทษนะที่เราไม่มีคอกม้าให้เจ้าอยู่ แต่ต้นไม้ตรงนี้ก็ร่มดี ข้าจะผูกเชือกไว้ให้ยาวๆเจ้าจะได้เดินไปเดินมาได้ไกลๆดีมั้ย”
เขาบอกพลางลูบขนคอยาวสลวยของเจ้าม้าที่กำลังจุ่มปากลงในถังน้ำอย่างกระหาย เมื่อยกหัวขึ้นมาก็สะบัดจนละอองน้ำกระเซ็นไปทั่ว
“หวา เปียกหมดเลย อย่าแกล้งกันสิสโนว์” เขาร้องอู้แล้วต้องยืนหลับตาปี๋ด้วยความตกใจเมื่อเจ้าม้าแสนรู้แลบลิ้นเลียแก้มเบาๆเหมือนอยากจะไถ่โทษ เขาอยู่เล่นกับเจ้าสโนว์อีกพักใหญ่ก็ปล่อยให้มันได้เล็มหญ้าไปตามประสา
เมื่อกลับเข้ามาในบ้านก็พบว่าทุกคนกำลังวุ่นวายรื้อค้นข้าวของ และจัดสรรแบ่งกันด้วยความตื่นเต้น ขนาดเบลล่ายังเอาแต่ลูบคลำชุดเย็บปักถักร้อยกับชื่นชมพับผ้าแพรสีสวยไม่วางตา
“เรื่องเรือสินค้าเรียบร้อยดีหรือเปล่าครับ” เขาถามเมื่อนั่งลงที่ด้านข้าง อดแปลกใจกับสีหน้าของผู้เป็นพ่อไม่ได้
“เป็นเรือของเราจริงแต่พ่อก็ต้องขายใช้หนี้เขาไปหมด ตอนนี้พวกเราหมดตัว ไม่เหลืออะไรแล้ว”
มอร์ริสบอกเสียงเศร้า ดวงตาแดงชื้นเฝ้ามองลูกทีละคน แมรี่อายุสามสิบกว่าแล้ว คงหมดหวังเรื่องคู่ครอง แต่นิสัยไว้ตัวอย่างนั้นก็ไม่ใช่เรื่องแปลกที่ผู้ชายต่างพากันส่ายหน้า เบตตี้ แม้จะยังมีหวัง แต่รูปร่างอวบเกินงามกับนิสัยเอะอะโวยวายก็คงเป็นอุปสรรคใหญ่ เบลล่า ลูกสาวที่ได้เค้าแม่มาทั้งหน้าตาและสุขภาพอนามัย แต่โชคดีที่เธอมีคนดีรอที่จะปกป้องดูแล นับเป็นลูกที่เขาห่วงน้อยที่สุด และเจ้าคนเล็ก โจชัวร์ มองกี่ครั้งก็ชวนให้นึกถึงแม่ของเขา เจ้าของรอยยิ้มสวยและกลิ่นหอมหวานของขนม เด็กคนนี้มีความฉลาดเฉลียว นิสัยใจคอน่าคบหา เชื่อว่าจะเอาตัวรอดและสืบสายเลือดของตระกูลให้ยืนยาวได้ต่อไป
“แล้วมีปัญหาอย่างอื่นหรือเปล่าคะ ทำไมสีหน้าพ่อดูไม่ดีเลย” เบลล่าเอ่ยถาม พาให้พี่อีกสองคนเลิกแย่งรองเท้าแล้วหันมาให้ความสนใจพ่อตัวเองบ้าง
(ต่อด้านล่างนะคะ)