สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 1
ขนาด 3:2
เป็นสัดส่วนขนาดดั้งเดิมสุดตั้งแต่สมัยกล้องฟิล์ม เวลาเราอัดภาพลงกระดาษขนาดจัมโบ้ จะได้ภาพขนาด 6 x 4 นิ้ว เมื่อเอา 2 หารทั้งสองค่า ให้เหลือค่าน้อยสุดที่หารต่อไม่ได้แล้ว ก็จะได้ตัวเลข 6/2 = 3, 4/2 = 2 ดังนั้นกล้องทั่วไปจะมีสัดส่วนนี้ให้เลือก และมักตั้งเป็นค่าเริ่มต้นด้วย
เวลาที่เราเห็นโฆษณา ที่บอกว่ากล้องรุ่นนั้นรุ่นนี้ ถ่ายภาพได้กี่ล้านๆ พิกเซล เขานับจากสัดส่วน 3:2 นี่แหละ
ขนาด 4:3
สัดส่วนนี้เริ่มเป็นที่นิยมเมื่อถ่ายภาพด้วยกล้องดิจิตอล เพราะจอภาพคอมพิวเตอร์นั้นใช้สัดส่วนขนาดนี้ คิดจากตัวเลขน้อยๆ ก่อนละกัน จะได้งงน้อยหน่อย ฮ่า
จอสมัยก่อนมีความละเอียด 640 x 480 จุด เมื่อเอา 16 ไปหารทั้งสองค่า จะได้ตัวเลข 640/16 = 4, 480/16 = 3 นี่แหละ ถึงเรียกว่าสัดส่วน 4:3
มาหลังๆ ความละเอียดจอภาพมากขึ้น เช่น 1024 x 768, 1280 x 960 ก็ยังคงสัดส่วนขนาดเดิมคือ 4:3 (ยกเว้นพวกจอที่มีสัดส่วนประหลาดๆ ในระยะแรก ซึ่งมีน้อยมากๆ)
ภาพที่ใช้แสดงบนหน้าจอคอมพิวเตอร์ เพื่อความสวยงาน ก็เลยต้องแสดงผลให้เต็มจอด้วยสัดส่วนขนาดนี้กล้องดิจิตอลนั้น พอถ่ายออกมาก็จะได้ไฟล์ภาพเป็นไฟล์ที่เปิดกับคอมฯ ได้เลย ซึ่งหากต้องการแสดงผลให้เต็มจอพอดี ก็เลยมีสัดส่วนขนาดนี้มาให้เลือกทีนี้เวลาที่ถ่ายภาพด้วยสัดส่วนนี้ ดูบนจอคอมฯ มันเต็มพอดี แต่เวลาอัดภาพ มันกลับไม่พอดี เพราะว่าอะไร ลองเอาตัวเลข 4:3 มาคูณ เพื่อเทียบกับสัดส่วนภาพ 3:2 ดูนะ ลองคูณค่าแรกด้วย 2 และคูณค่าหลังด้วย 2 จะได้ผลออกมาคือ
4:3 คูณ 2 = 8 x 6 นิ้ว
3:2 คูณ 3 = 9 x 6 นิ้ว
จะเห็นได้ว่าสัดส่วน 3:2 นั้นมีพื้นที่ด้านยาว 9 นิ้ว ซึ่งมากกว่าสัดส่วน 4:3 ที่มีพื้นที่ด้านยาวเพียง 8 นิ้ว ดังนั้นพอเอาภาพถ่ายที่ถ่ายด้วยสัดส่วน 4:3 ไปอัดลงกระดาษขนาดจัมโบ้ (4 x 6 นิ้ว) รูปภาพก็จะเล็กกว่ากระดาษ ทำให้เหลือขอบขาวอยู่ด้านข้างนั่นเอง สัดส่วนภาพขนาดนี้ นอกจากหน้าจอคอมฯ แล้ว จอทีวี (รุ่นเก่า), จอโปรเจคเตอร์ฉายภาพ, จอ iPhone, จอ iPad, จอ iPod และจอมือถือ Android รุ่นเก่าๆ ก็ใช้สัดส่วนขนาดนี้เช่นเดียวกัน เวลาเปิดภาพที่ถ่ายด้วยสัดส่วนนี้ ก็จะเต็มจอพอดี
ขนาด 16:9
สัดส่วนนี้เริ่มมีเมื่อจอทีวีแข่งกันขยายด้านกว้าง เวลาดูหนังจะได้อารมณ์จอกว้างเหมือนกับไปดูในโรงหนังนั่นแหละ
ด้วยความที่เทคโนโลยีเปลี่ยนไป ทำให้เราสามารถเอาหนังมาเปิดในอุปกรณ์ใกล้ตัวได้มากขึ้น หลายคนก็เลยใช้คอมฯ แบบตั้งโต๊ะและแบบพกพา (notebook) สำหรับดูหนังไปด้วยนอกเหนือจากทำงานและเล่นเกม
หลายๆ คนที่อยู่หอพัก เลือกที่จะดูหนังจากคอมฯ โดยไม่มีทีวีในห้อง เพราะประหยัดพื้นที่
พอสัดส่วนขนาดนี้ได้รับความนิยมแพร่หลายมากขึ้น ทุกวันนี้เราจะเห็นทีวีจอกว้าง คอมฯ จอกว้าง notebook จอกว้าง แข่งกันกว้างจนชินตา แม้แต่มือถือ Android และแท็บเล็ต Android ก็ยังใช้สัดส่วนจอกว้างแบบนี้เช่นกัน เพราะว่าเวลาดูหนัง จะได้ดูแบบเต็มๆ จอ
กล้องดิจิตอลก็เลยมีตัวเลือกสัดส่วนภาพขนาดนี้ตามมา
ซึ่งถ้าเราเอาภาพที่ถ่ายด้วยสัดส่วน 16:9 ไปอัดลงกระดาษ ก็เหมือนกับเราดูหนัง dvd ที่เป็นจอกว้าง บนทีวีที่จอไม่กว้าง แล้วมีแถบดำอยู่ด้านบนและล่างนั่นแหละ
ถ้าผมจะอัดลงกระดาษ ผมก็เลือกถ่ายที่ 3:2
ถ้าผมจะทำ wall paper บนจอไม่กว้าง หรือฉายขึ้นโปรเจคเตอร์ ผมก็เลือกถ่ายที่ 4:3
ถ้าผมจะเปิดภาพบนจอกว้าง ผมก็เลือกถ่ายที่ 16:9
เป็นสัดส่วนขนาดดั้งเดิมสุดตั้งแต่สมัยกล้องฟิล์ม เวลาเราอัดภาพลงกระดาษขนาดจัมโบ้ จะได้ภาพขนาด 6 x 4 นิ้ว เมื่อเอา 2 หารทั้งสองค่า ให้เหลือค่าน้อยสุดที่หารต่อไม่ได้แล้ว ก็จะได้ตัวเลข 6/2 = 3, 4/2 = 2 ดังนั้นกล้องทั่วไปจะมีสัดส่วนนี้ให้เลือก และมักตั้งเป็นค่าเริ่มต้นด้วย
เวลาที่เราเห็นโฆษณา ที่บอกว่ากล้องรุ่นนั้นรุ่นนี้ ถ่ายภาพได้กี่ล้านๆ พิกเซล เขานับจากสัดส่วน 3:2 นี่แหละ
ขนาด 4:3
สัดส่วนนี้เริ่มเป็นที่นิยมเมื่อถ่ายภาพด้วยกล้องดิจิตอล เพราะจอภาพคอมพิวเตอร์นั้นใช้สัดส่วนขนาดนี้ คิดจากตัวเลขน้อยๆ ก่อนละกัน จะได้งงน้อยหน่อย ฮ่า
จอสมัยก่อนมีความละเอียด 640 x 480 จุด เมื่อเอา 16 ไปหารทั้งสองค่า จะได้ตัวเลข 640/16 = 4, 480/16 = 3 นี่แหละ ถึงเรียกว่าสัดส่วน 4:3
มาหลังๆ ความละเอียดจอภาพมากขึ้น เช่น 1024 x 768, 1280 x 960 ก็ยังคงสัดส่วนขนาดเดิมคือ 4:3 (ยกเว้นพวกจอที่มีสัดส่วนประหลาดๆ ในระยะแรก ซึ่งมีน้อยมากๆ)
ภาพที่ใช้แสดงบนหน้าจอคอมพิวเตอร์ เพื่อความสวยงาน ก็เลยต้องแสดงผลให้เต็มจอด้วยสัดส่วนขนาดนี้กล้องดิจิตอลนั้น พอถ่ายออกมาก็จะได้ไฟล์ภาพเป็นไฟล์ที่เปิดกับคอมฯ ได้เลย ซึ่งหากต้องการแสดงผลให้เต็มจอพอดี ก็เลยมีสัดส่วนขนาดนี้มาให้เลือกทีนี้เวลาที่ถ่ายภาพด้วยสัดส่วนนี้ ดูบนจอคอมฯ มันเต็มพอดี แต่เวลาอัดภาพ มันกลับไม่พอดี เพราะว่าอะไร ลองเอาตัวเลข 4:3 มาคูณ เพื่อเทียบกับสัดส่วนภาพ 3:2 ดูนะ ลองคูณค่าแรกด้วย 2 และคูณค่าหลังด้วย 2 จะได้ผลออกมาคือ
4:3 คูณ 2 = 8 x 6 นิ้ว
3:2 คูณ 3 = 9 x 6 นิ้ว
จะเห็นได้ว่าสัดส่วน 3:2 นั้นมีพื้นที่ด้านยาว 9 นิ้ว ซึ่งมากกว่าสัดส่วน 4:3 ที่มีพื้นที่ด้านยาวเพียง 8 นิ้ว ดังนั้นพอเอาภาพถ่ายที่ถ่ายด้วยสัดส่วน 4:3 ไปอัดลงกระดาษขนาดจัมโบ้ (4 x 6 นิ้ว) รูปภาพก็จะเล็กกว่ากระดาษ ทำให้เหลือขอบขาวอยู่ด้านข้างนั่นเอง สัดส่วนภาพขนาดนี้ นอกจากหน้าจอคอมฯ แล้ว จอทีวี (รุ่นเก่า), จอโปรเจคเตอร์ฉายภาพ, จอ iPhone, จอ iPad, จอ iPod และจอมือถือ Android รุ่นเก่าๆ ก็ใช้สัดส่วนขนาดนี้เช่นเดียวกัน เวลาเปิดภาพที่ถ่ายด้วยสัดส่วนนี้ ก็จะเต็มจอพอดี
ขนาด 16:9
สัดส่วนนี้เริ่มมีเมื่อจอทีวีแข่งกันขยายด้านกว้าง เวลาดูหนังจะได้อารมณ์จอกว้างเหมือนกับไปดูในโรงหนังนั่นแหละ
ด้วยความที่เทคโนโลยีเปลี่ยนไป ทำให้เราสามารถเอาหนังมาเปิดในอุปกรณ์ใกล้ตัวได้มากขึ้น หลายคนก็เลยใช้คอมฯ แบบตั้งโต๊ะและแบบพกพา (notebook) สำหรับดูหนังไปด้วยนอกเหนือจากทำงานและเล่นเกม
หลายๆ คนที่อยู่หอพัก เลือกที่จะดูหนังจากคอมฯ โดยไม่มีทีวีในห้อง เพราะประหยัดพื้นที่
พอสัดส่วนขนาดนี้ได้รับความนิยมแพร่หลายมากขึ้น ทุกวันนี้เราจะเห็นทีวีจอกว้าง คอมฯ จอกว้าง notebook จอกว้าง แข่งกันกว้างจนชินตา แม้แต่มือถือ Android และแท็บเล็ต Android ก็ยังใช้สัดส่วนจอกว้างแบบนี้เช่นกัน เพราะว่าเวลาดูหนัง จะได้ดูแบบเต็มๆ จอ
กล้องดิจิตอลก็เลยมีตัวเลือกสัดส่วนภาพขนาดนี้ตามมา
ซึ่งถ้าเราเอาภาพที่ถ่ายด้วยสัดส่วน 16:9 ไปอัดลงกระดาษ ก็เหมือนกับเราดูหนัง dvd ที่เป็นจอกว้าง บนทีวีที่จอไม่กว้าง แล้วมีแถบดำอยู่ด้านบนและล่างนั่นแหละ
ถ้าผมจะอัดลงกระดาษ ผมก็เลือกถ่ายที่ 3:2
ถ้าผมจะทำ wall paper บนจอไม่กว้าง หรือฉายขึ้นโปรเจคเตอร์ ผมก็เลือกถ่ายที่ 4:3
ถ้าผมจะเปิดภาพบนจอกว้าง ผมก็เลือกถ่ายที่ 16:9
แสดงความคิดเห็น
รูปถ่าย format 4:3 หรือ 16:9 นิยมกว่ากันครับ
ยกเว้นจอ ipad