สวัสดีครับ ตลาดที่แตะ 1,700 จุดในตอนนี้น่าจะทำให้คนมาสนใจลงทุนในหุ้นกันเยอะมากขึ้น ตัวผมเองก็เหมือนกัน เข้ามาอ่านกระทู้ในสินธรนี้ก็นานแล้วแต่ผมไม่ค่อยเจอกระทู้ที่เขียนแชร์ประสบการณ์การลงทุนแบบละเอียดที่คนทั่วไปอ่านเข้าใจง่ายๆ ส่วนมากจะมาในแนวแนะนำให้ไปศึกษาดูแต่ไม่ค่อยบอกว่าทำยังไง วันนี้ก็เลยอยากจะขอเขียนสิ่งที่เจอมาในโลกการลงทุนเพื่อเป็นการทบทวนตัวเอง และเป็นการแชร์ให้คนอื่นได้รู้จากประสบการณ์ตรงของคนธรรมดาที่เขียนด้วยศัพท์ธรรมดาๆ แต่ขอออกตัวว่าผมไม่ได้เก่งนะครับ ถ้าอ่านจนจบจะรู้ว่าผิดพลาดเพียบ ที่เขียนไว้นี่ขอให้ใช้เป็นคำเตือนมากกว่าคำแนะนำนะครับ
ยุคบุกเบิก
ความโชคดีอย่างนึงของผมคือแม่ผมเห็นความสำคัญของการลงทุนและพยายามชวนผมให้ลงทุนบ่อยๆ ตั้งแต่ทำงานแรกๆ ไม่ว่าจะ LTF RMF หรือกองทุนรวม แต่ตอนนั้นผมก็เด็กๆ คิดว่าแค่ว่าเงินจะกินยังไม่ค่อยพอเลย ของอยากได้ก็เยอะแยะ จะเอาเงินไปใช้ลงทุนทำไม ภาษีก็จ่ายนิดเดียวแต่ต้องเอาเงินไปจมตั้งนานไม่เห็นจะคุ้ม แต่พอโดนคะยั้นคะยอบ่อยๆ ก็เลยซื้อ LTF RMF ครั้งแรกที่ปี 2005 กะว่าซื้อแค่ปีนี้แหละแม่จะได้เลิกถาม หารู้ไม่ว่า RMF ถ้าเริ่มซื้อแล้วต้องซื้อทุกปี พอมาเจองี้ก็เอาวะ ซื้อมันขั้นต่ำสุดเลยละกันปีละห้าพัน แล้วไม่รู้เป็นอะไรต้องไปซื้อมันที่วีคสุดท้ายของปีเท่านั้น เรียกว่าเป็นการลงทุนแบบอะไรก็ได้ที่ใช้สมองและเงินน้อยที่สุด เลือกกองยังเลือกตามแม่เลย ไม่ได้ติดตามดูด้วยว่าไอ้กองเหล่านั้นมันเป็นยังไง ปล่อยไว้เฉยๆ แต่แล้วจุดเปลี่ยนมันมาอยู่ที่ผมต้องไปทำงานเมืองนอกในปี 2010 - 2012 ระหว่างนั้นก็ไม่ได้ดูกองทุนที่ลงไว้เลย กลับมาก็มีเงินมาก้อนนึงก็ต้องมาคิดว่าจะเอาเงินไปทำอะไรดีว้า ก็เริ่มจากมาทำบัญชีทรัพย์สินก่อนว่ามีอะไรอยูที่ไหนบ้าง พบว่ากองทุนที่ซื้อไว้โตดีมาก โดยเฉพาะพวกที่ซื้อไว้ตอนปี 2006 - 2008 โตเกินเท่าตัวอีกก็เลยจุดประกายให้มาเริ่มสนใจลงทุนจริงจัง (มากกว่าแต่ก่อน)
จากเหตุการ์ณนี้แสดงให้ผมเห็นพลังของเวลา ต่อให้ไม่ใช้สมอง แต่ถ้าสิ่งที่ลงทุนมีพื้นฐานดีแค่ปล่อยให้มันโตมันก็ให้ผลตอบแทนที่ดีได้
เป้าหมาย
พอจะเริ่มลงทุนจริงจัง ผมก็ไปตามอ่านวิธี ส่วนมากจะอ่านในเนทก็พบว่าสิ่งแรกที่ต้องมีคือกำหนดเป้าหมาย ความโชคดีอีกอย่างของผมคือ บ้านไม่ต้องซื้อ อยู่บ้านแม่ เมียก็ไม่มี ลูกก็ไม่มี เป้าหมายในการลงทุนของผมเลยเป็นการมีเงินใช้ตอนแก่แบบสบายๆ สักเดือนละแสนบาทแบบไม่แตะเงินต้น (แสนนึงตอนผมเกษียณก็น่าจะเท่ากับประมาณสี่ห้าหมื่นตอนนี้ัมัง) 100,000 ต่อเดือน x 12 เดือน = 1,200,000 ต่อปี ทีนี้ผมคิดว่าการลงทุนแบบเสี่ยงน้อยที่ผลตอบแทนสักปีละ 3% น่าจะเป็นไปได้ (อย่าถามว่าคิดยังไงเพราะมโนล้วนๆ) ก็เลยได้เป้าว่าขอมีเงิน 40 ล้านก่อนเกษียณละกัน (3% ของ 40 ล้านเท่ากับ 1.2 ล้านพอดี) ซึ่งเท่ากับผมต้องมีสินทรัพย์เพิ่มขึ้นเฉลี่ย 9.3% ต่อปีจนถึงวันเกษียณถึงจะทำได้ (วิธีการหานี่ผมใช้สูตร FV ซึ่งถ้าสนใจไปหาดูในเนทละกันนะครับ)
เริ่มลงมือ
ผมเริ่มลงทุนจากสิ่งที่คุ้นเคยก่อนคือ LTF RMF เพราะได้ประโยชน์ทางภาษีด้วย จากเดิมที่ไม่เคยสนใจเพราะรายได้น้อยแต่ตอนนั้นรายได้ผมอยู่ที่ฐานภาษี 20% ดังนั้นผมเสมือนได้กำไร 20% เมื่อซื้อ LTF RMF เลยจัดเต็มครับ แต่เปลี่ยนวิธีซื้อจากปีละครั้งเป็นซื้อทุกเดือนด้วยการ Dollar Cost Average โดยผมคิดไว้ตั้งแต่ต้นปีเลยว่ารายได้ทั้งปีน่าจะประมาณเท่าไรแล้วคูณ 30% เพื่อหายอดที่จะซื้อ LTF RMF ของปีนั้นๆ เอายอดที่ได้หาร 12 แล้วก็ซื้อด้วยยอดนั้นทุกวันเงินเดือนออกจะได้ไม่ลืม เงินส่วนเกินก็ซื้อกองทุนรวมทั้งกองในประเทศและต่างประเทศเพิ่มโดยใช้วิธีเดียวกันคือไม่ซื้อทีเดียวแต่คิดไว้ว่าจะซื้อเท่าไรในปีนี้แล้วแบ่งซื้อเป็นรายเดือนเอา สถานะและผลที่ได้จนถึงวันนี้มีตามนี้ครับ
LTF RMF ยังคงซื้ออยู่ทุกเดือน ได้กำไรเฉลี่ยประมาณปีละ 8% กว่าๆ
กองทุนรวมในประเทศ ซื้อไปช่วง 2013 - 2014 แล้วหยุด ได้กำไรเฉลี่ยประมาณปีละ 4% กว่าๆ
กองทุนรวมที่ลงทุนในต่างประเทศ ซื้อไปช่วง 2013 - 2014 แล้วหยุด ได้กำไรเฉลี่ยประมาณปีละ 6% กว่าๆ
จะเห็นว่ากำไรมันไม่สวยหรูเหมือนพวกที่ผมซื้อไว้เมื่อช่วงปี 2006 เหตุผลก็เพราะช่วงปี 2006 ตลาด SET อยู่ที่ประมาณ 700 จุด ในขณะที่ช่วง 2013 - 2014 จะแกว่งอยู่ที่ 1,300 - 1,500 จุด พูดง่ายๆ คือผมดันมาเริ่มซื้อกองทุนจริงจังตอนของแพงแล้ว ผลตอบแทนเลยน้อยกว่าแต่ก่อน นี่ถ้าช่วงนี้ SET ไม่ขึ้นมานี่บางกองผมยังมีขาดทุนอยู่เลย แต่มีอีกข้อสังเกตุนึงคือกอง LTF RMF ที่ซื้อต่อเนื่องมาตลอดมีกำไรดีกว่ากองทุนรวมในประเทศที่ซื้อแล้วหยุดถึงเท่าตัวเลยทีเดียว จากทั้งหมดนี้บทเรียนที่ได้มาคือ จะลงทุนมีแค่เงินกับเวลา ยังไม่พอครับ คุณต้องมีส่วนประกอบอีกอย่างหนึ่ง ถ้าไม่มีโชค (ฟลุคซื้อถูกเวลา) ก็ต้องมีวินัย (ทำต่อเนื่องสม่ำเสมอ) หรือมีความรู้ว่าเมื่อไรคือถูก เมื่อไรคือแพง ซึ่งผมมองว่าวินัยคือสิ่งที่ทุกคนทำได้ง่ายที่สุดแน่นอน
เริ่มลงตลาด
กองทุนมันก็ให้ผลตอบแทนพอใช้ได้นะครับ แต่ผมยังอยากได้อีก พอดัช่วงนั้น VI กำลังดังเลย ยิ่งมีข่าว ดร นิเวศน์ได้ปันผลหุ้นวันละล้านบาทผมยิ่งตื่นเต้น เพราะ ดร เค้าก็เริ่มจากมนุษย์เงินเดือนเหมือนกัน ผมขอแค่ เดือนละแสนหรือวันละ 3,000 กว่าบาทเอง คิดแล้วแค่ 0.3% ของ ดร เอง ผมต้องทำได้สิ นี่คือเหตุที่ผมเลิกซื้อกองทุนรวมในปี 2015 แต่ย้ายมาตลาดหุ้นแทน ซึ่งก็คือเริ่มเล่นหุ้นตอนตลาดจะแตะ 1,600 จุดแล้วอะครับ พูดง่ายๆ ว่าตลาดวายแล้วนั่นเอง มีแค่เงิน กะเวลา ความรู้ก็งูๆ ปลาๆ วินัยพอมีแต่ชอบสับสนเพราะเข้ามาตอนของแพงมาก เลยมักจะมีอีกเสียงในใจบอกให้รอของถูกลงก่อนค่อยซื้อ ไม่ง่ายเลยครับ แต่ใจผมคิดว่าเอาน่า เงินเย็น เวลาก็มี เลือกให้บริษัทมันท่าทางไม่เจ๊งก็พอ ไม่งั้นก็ไม่ได้เริ่มสักที ผมก็จะขอแชร์หุ้นที่ผมซื้อมาทั้งหมดพร้อมเหตุผลและสถานะของมันตอนนี้นะครับ แต่ขอออกตัวก่อนว่าผมไม่ได้เขียนกระทู้นี้เพื่อเชียร์ให้มาซื้อตามผมนะครับ ผมลงต้นทุนไว้แล้ว ยังลูกผีลูกคนอยู่เลย ถ้าหุ้นไม่ขึ้นมาตอนนี้ก็คงยังเจ๊งอยู่ แต่ถ้ารู้แล้วอยากช่วยดันก็ขอบคุณครับ
JASIF
วันที่เริ่มซื้อ IPO 10 Feb 15 ราคาแรก 10 บาท
ต้นทุนเฉลี่ย 10 บาท
ราคาวันนี้ 11.80 บาท
ปันผลเฉลี่ย 2.28 บาทต่อหุ้น
เป็นหุ้นตัวแรกในชีวิตผม เหตุผลที่ซื้อคือแม่ชวนมาแบบงงๆ อีกแล้ว ไม่ได้อ่านงบใดๆ ทั้งสิ้น ตอนได้มายังเป็นใบหุ้นกระดาษอยู่เลย แค่แม่มาชวนถูกเวลาตอนอยากเริ่มเล่นหุ้นเลยเอาซะหน่อย เป็นตัวที่สอนให้ผมรู้ว่าที่เขาบอกว่า IPO ยังไงก็กำไรนี่ไม่จริงเลยเพราะพี่แกเจ๊งตั้งแต่เข้าตลาดวันแรกกว่าจะกลับมาสูงกว่า 10 บาทอีกทีก็เดือนสิงหาโน่นเสร็จแล้วยังมีลงไปถึงแปดบาทกว่าอีกรอบกว่าจะกลับมาบวกได้ในปีถัดไป แต่ปันผลที่ได้กับราคาที่ขึ้นมาก็จัดว่าดี ตัวนี้ผมกะเก็บไว้เป็นที่ระลึกในฐานะหุ้นตัวแรก ข้อสำคัญคือเป็นตัวที่ทำให้ผมเปิดพอร์ทลงทุนเพราะไม่อยากเก็บเป็นกระดาษ
ASP
วันที่เริ่มซื้อ 6 Mar 15 ราคาแรก 4.38 บาท
ต้นทุนเฉลี่ย 3.90 บาท
ราคาวันนี้ 3.92 บาท
ปันผลเฉลี่ย 0.48 บาทต่อหุ้น
ตอนนี้เริ่มอ่านโน่นนี่มามั่งละ และอยากได้กลุ่มการเงินสักตัวเพราะเขาว่ามันขยับตามตลาด ก็พยายามหาหุ้นที่ P/E ต่ำๆ (หาแทบไม่ได้เพราะช่วงนั้นแพงหมด) P/BV ต่ำๆ จ่ายปันผลดีๆ ก็มาลงที่ ASP เพราะเป็นโบรคที่ใช้อยู่ เราน่าจะยินดีจ่ายค่าคอมให้เขา ซื้อไม้แรกซะแพงแล้วมันก็ไม่กลับไปที่เดิมอีกเลยจนถึงวันนี้ ยังดีที่ขยันถัวตอนนี้เลยเริ่มเขียวให้เห็น แต่ข้อสังเกตุอย่างหนึ่งคือแม้แต่ก้อนแรกที่ต้นทุน 4.38 วันนี้ผมยังได้กำไร 9% เพราะหุ้นตัวนี้จ่ายปันผลดี payout ratio ประมาณ 80% ข้อเสียคือราคาไม่ไปไหนเลยเพราะกำไรเท่าไรก็จ่ายออกมาเกือบหมด
BTS
วันที่เริ่มซื้อ 6 Mar 15 ราคาแรก 9.70 บาท
ต้นทุนเฉลี่ย 9.35 บาท
ราคาวันนี้ 8.60 บาท
ปันผลเฉลี่ย 1.05 บาทต่อหุ้น
ตัวนี้จริงๆ ไม่เข้าข่ายที่จะซื้อเลยครับ P/E 50 กว่าเท่า ตอนนั้นคิดแค่ว่ารถติดขนาดนี้รถไฟฟ้าต้องมา แล้วก็มาจริงๆ ซื้อแปีปเดียวขึ้นไปสิบบาทกว่า แต่นี่คือ VI ขึ้นก็ไม่ขาย มันเลยเปลี่ยนเป็นรถไฟเหาะแล้วดิ่งไป 8 บาทกว่าจนทุกวันนี้ เป็นตัวที่ช้อนแล้วช้อนอีก แต่ช้อนหักทุกที ยังไงก็ตามปันผลที่ได้ก็ทำให้โดยรวมไม่ขาดทุนแค่กำไรน้อย ตอนนี้ยังไม่คิดจะซื้อเพิ่มหรือขายกะปล่อยมันเป็นเครื่องเตือนสติไว้ยังงั้น
INTUCH
วันที่เริ่มซื้อ 6 Mar 15 ราคาแรก 78.50 บาท
ต้นทุนเฉลี่ย 59.43 บาท
ราคาวันนี้ 57.50 บาท
ปันผลเฉลี่ย 5.33 บาทต่อหุ้น
ตัวนี้เป็นตัวที่ผมมั่นใจมากตอนซื้อเพราะ INTUCH ถือหุ้น ADVANC มูลค่าเยอะกว่าตัวบริษัท INTUCH เองซะอีก นี่มัน Arbitrage (การซื้อแล้วได้กำไรในทันที) ชัดๆ ก็ซื้อด้วยความตื่นเต้น ก่อนจะพบว่ามันไม่ได้เกี่ยวอะไรเลย INTUCH ไม่มีวันปล่อย ADVANC ออกมาได้ราคาตลาดแน่นอนและคงไม่มีวันปล่อยด้วยไม่งั้นจะเอาไรกิน แต่ตอนยังคิดไม่ได้นี่ราคาเท่าไรก็ซื้อครับ ช้อนหักแล้วหักอีก ยังดีปันผลช่วยชีวิตไว้ (อีกแล้ว)
KTB
วันที่เริ่มซื้อ 19 Mar 15 ราคาแรก 22.90 บาท
ต้นทุนเฉลี่ย 17.74 บาท
ราคาวันนี้ 18.90 บาท
ปันผลเฉลี่ย 1.33 บาทต่อหุ้น
ตอนนั้นผมอยากได้หุ้นธนาคารสักตัว ก็มาเจอว่า KTB เนี่ยมี P/BV ต่ำกว่า 1 เท่า ซื้อของถูกกว่าสินทรัพย์ของบริษัทซะอีก P/E ก็ไม่เกิน 10 เท่า ธนาคารใหญ่หนุนโดยรัฐอีกต่างหาก ไม่มีวันล้มแน่นอน ก็จัดไปแล้วราคาก็ร่วงไปแถว 18 บาทอย่างทันใจถัวกันสนุกเลย จริงๆ ผลตอบแทนตอนนี้ก็จัดว่าไม่น่าเกลียดมาก แต่เพราะเป็นธนาคารที่มักจะมีข่าวไปอุ้มหนี้เน่าซะเยอะ ผมก็เริ่มจะไม่ค่อยชอบเท่าไรเลยกะจะปล่อยออก ย้ายไปธนาคารอื่นแทน หาจังหวะขายอยู่แต่กลัวขายหมูเพราะหุ้นกำลังขึ้น และ KTB ที่อยู่ใน SET50 มีโอกาสโดนดันขึ้นไป บทเรียนอันนี้คือตัดสินใจซื้อไม่ยากเท่าการตัดสินใจขาย ตอนนี้ว่าจะใช้วิธีสบายใจ Ratio ที่อ่านเจอในนี้ (วิธีของใครผมจำไม่ได้จริงๆ ขอโทษด้วยครับ) คือขายออกไปเท่าต้นทุนให้เหลือหุ้นไว้เท่ากับกำไรแต่กำไรก็น้อยนิด ถ้าขายก็เหลือหุ้นนิดเดียวเลยถือไว้ก่อนละกัน
GFPT
วันที่เริ่มซื้อ 19 Mar 15 ราคาแรก 12.00 บาท
ต้นทุนเฉลี่ย 13.22 บาท
ราคาวันนี้ 19.70 บาท
ปันผลเฉลี่ย 0.36 บาทต่อหุ้น
ตัวนี้เป็นตัวที่ผมได้กำไรสูงที่สุดถ้าคิดเป็น % เป็นตัวที่ผมเอา PEG ratio มาใช้ด้วย ตอนซื้อก็เข้าสูตรเดิมครับ P/E ต่ำกว่าสิบเท่า P/BV ต่ำกว่า 2 เท่า และไปเจอว่า PEG ต่ำกว่า 0.5 ด้วย ซื้อเสร็จปุ๊ปร่วงทันทีเหมือนเดิม ทำเอาใจแป้วเพราะถัวไปอีกก็ลงต่อและลงเร็วมาก จนไปอยู่แถวๆ 9 บาทก็ไม่กล้าซื้อเพิ่ม คิดว่าสงสัยจะโดนแล้วเรา หารู้ไม่ว่านั่นคือโอกาสทอง เพราะ 1 ปีให้หลังมันไปอยู่ที่ 16 บาท แล้วขึ้นไปพีคที่ยี่สิบบาทนิดๆ ถ้าซื้อตอน 9 บาทก็ได้เป็นเด้งแล้ว บทเรียนคือตอนนั้นผมไม่รู้ว่าทำไมมันถึงลงไป 9 บาท และไม่ได้พยายามหาเหตุผลด้วยเพราะคิดว่าคงลงตามตลาดเฉยๆ ทำให้พลาดโอกาสไป พอมันร่วงลงมาอย่างเร็วอีกรอบเพราะข่าวลือไข้หวัดนกเมื่อปลายปีที่แล้วก็เลยซื้อใส่ไปอีกเพราะไม่อยากพลาดแบบนั้นแล้ว
เปิดเผยหมด: ประวัติการลงทุนของคนธรรมดาคนหนึ่ง
ยุคบุกเบิก
ความโชคดีอย่างนึงของผมคือแม่ผมเห็นความสำคัญของการลงทุนและพยายามชวนผมให้ลงทุนบ่อยๆ ตั้งแต่ทำงานแรกๆ ไม่ว่าจะ LTF RMF หรือกองทุนรวม แต่ตอนนั้นผมก็เด็กๆ คิดว่าแค่ว่าเงินจะกินยังไม่ค่อยพอเลย ของอยากได้ก็เยอะแยะ จะเอาเงินไปใช้ลงทุนทำไม ภาษีก็จ่ายนิดเดียวแต่ต้องเอาเงินไปจมตั้งนานไม่เห็นจะคุ้ม แต่พอโดนคะยั้นคะยอบ่อยๆ ก็เลยซื้อ LTF RMF ครั้งแรกที่ปี 2005 กะว่าซื้อแค่ปีนี้แหละแม่จะได้เลิกถาม หารู้ไม่ว่า RMF ถ้าเริ่มซื้อแล้วต้องซื้อทุกปี พอมาเจองี้ก็เอาวะ ซื้อมันขั้นต่ำสุดเลยละกันปีละห้าพัน แล้วไม่รู้เป็นอะไรต้องไปซื้อมันที่วีคสุดท้ายของปีเท่านั้น เรียกว่าเป็นการลงทุนแบบอะไรก็ได้ที่ใช้สมองและเงินน้อยที่สุด เลือกกองยังเลือกตามแม่เลย ไม่ได้ติดตามดูด้วยว่าไอ้กองเหล่านั้นมันเป็นยังไง ปล่อยไว้เฉยๆ แต่แล้วจุดเปลี่ยนมันมาอยู่ที่ผมต้องไปทำงานเมืองนอกในปี 2010 - 2012 ระหว่างนั้นก็ไม่ได้ดูกองทุนที่ลงไว้เลย กลับมาก็มีเงินมาก้อนนึงก็ต้องมาคิดว่าจะเอาเงินไปทำอะไรดีว้า ก็เริ่มจากมาทำบัญชีทรัพย์สินก่อนว่ามีอะไรอยูที่ไหนบ้าง พบว่ากองทุนที่ซื้อไว้โตดีมาก โดยเฉพาะพวกที่ซื้อไว้ตอนปี 2006 - 2008 โตเกินเท่าตัวอีกก็เลยจุดประกายให้มาเริ่มสนใจลงทุนจริงจัง (มากกว่าแต่ก่อน)
จากเหตุการ์ณนี้แสดงให้ผมเห็นพลังของเวลา ต่อให้ไม่ใช้สมอง แต่ถ้าสิ่งที่ลงทุนมีพื้นฐานดีแค่ปล่อยให้มันโตมันก็ให้ผลตอบแทนที่ดีได้
เป้าหมาย
พอจะเริ่มลงทุนจริงจัง ผมก็ไปตามอ่านวิธี ส่วนมากจะอ่านในเนทก็พบว่าสิ่งแรกที่ต้องมีคือกำหนดเป้าหมาย ความโชคดีอีกอย่างของผมคือ บ้านไม่ต้องซื้อ อยู่บ้านแม่ เมียก็ไม่มี ลูกก็ไม่มี เป้าหมายในการลงทุนของผมเลยเป็นการมีเงินใช้ตอนแก่แบบสบายๆ สักเดือนละแสนบาทแบบไม่แตะเงินต้น (แสนนึงตอนผมเกษียณก็น่าจะเท่ากับประมาณสี่ห้าหมื่นตอนนี้ัมัง) 100,000 ต่อเดือน x 12 เดือน = 1,200,000 ต่อปี ทีนี้ผมคิดว่าการลงทุนแบบเสี่ยงน้อยที่ผลตอบแทนสักปีละ 3% น่าจะเป็นไปได้ (อย่าถามว่าคิดยังไงเพราะมโนล้วนๆ) ก็เลยได้เป้าว่าขอมีเงิน 40 ล้านก่อนเกษียณละกัน (3% ของ 40 ล้านเท่ากับ 1.2 ล้านพอดี) ซึ่งเท่ากับผมต้องมีสินทรัพย์เพิ่มขึ้นเฉลี่ย 9.3% ต่อปีจนถึงวันเกษียณถึงจะทำได้ (วิธีการหานี่ผมใช้สูตร FV ซึ่งถ้าสนใจไปหาดูในเนทละกันนะครับ)
เริ่มลงมือ
ผมเริ่มลงทุนจากสิ่งที่คุ้นเคยก่อนคือ LTF RMF เพราะได้ประโยชน์ทางภาษีด้วย จากเดิมที่ไม่เคยสนใจเพราะรายได้น้อยแต่ตอนนั้นรายได้ผมอยู่ที่ฐานภาษี 20% ดังนั้นผมเสมือนได้กำไร 20% เมื่อซื้อ LTF RMF เลยจัดเต็มครับ แต่เปลี่ยนวิธีซื้อจากปีละครั้งเป็นซื้อทุกเดือนด้วยการ Dollar Cost Average โดยผมคิดไว้ตั้งแต่ต้นปีเลยว่ารายได้ทั้งปีน่าจะประมาณเท่าไรแล้วคูณ 30% เพื่อหายอดที่จะซื้อ LTF RMF ของปีนั้นๆ เอายอดที่ได้หาร 12 แล้วก็ซื้อด้วยยอดนั้นทุกวันเงินเดือนออกจะได้ไม่ลืม เงินส่วนเกินก็ซื้อกองทุนรวมทั้งกองในประเทศและต่างประเทศเพิ่มโดยใช้วิธีเดียวกันคือไม่ซื้อทีเดียวแต่คิดไว้ว่าจะซื้อเท่าไรในปีนี้แล้วแบ่งซื้อเป็นรายเดือนเอา สถานะและผลที่ได้จนถึงวันนี้มีตามนี้ครับ
LTF RMF ยังคงซื้ออยู่ทุกเดือน ได้กำไรเฉลี่ยประมาณปีละ 8% กว่าๆ
กองทุนรวมในประเทศ ซื้อไปช่วง 2013 - 2014 แล้วหยุด ได้กำไรเฉลี่ยประมาณปีละ 4% กว่าๆ
กองทุนรวมที่ลงทุนในต่างประเทศ ซื้อไปช่วง 2013 - 2014 แล้วหยุด ได้กำไรเฉลี่ยประมาณปีละ 6% กว่าๆ
จะเห็นว่ากำไรมันไม่สวยหรูเหมือนพวกที่ผมซื้อไว้เมื่อช่วงปี 2006 เหตุผลก็เพราะช่วงปี 2006 ตลาด SET อยู่ที่ประมาณ 700 จุด ในขณะที่ช่วง 2013 - 2014 จะแกว่งอยู่ที่ 1,300 - 1,500 จุด พูดง่ายๆ คือผมดันมาเริ่มซื้อกองทุนจริงจังตอนของแพงแล้ว ผลตอบแทนเลยน้อยกว่าแต่ก่อน นี่ถ้าช่วงนี้ SET ไม่ขึ้นมานี่บางกองผมยังมีขาดทุนอยู่เลย แต่มีอีกข้อสังเกตุนึงคือกอง LTF RMF ที่ซื้อต่อเนื่องมาตลอดมีกำไรดีกว่ากองทุนรวมในประเทศที่ซื้อแล้วหยุดถึงเท่าตัวเลยทีเดียว จากทั้งหมดนี้บทเรียนที่ได้มาคือ จะลงทุนมีแค่เงินกับเวลา ยังไม่พอครับ คุณต้องมีส่วนประกอบอีกอย่างหนึ่ง ถ้าไม่มีโชค (ฟลุคซื้อถูกเวลา) ก็ต้องมีวินัย (ทำต่อเนื่องสม่ำเสมอ) หรือมีความรู้ว่าเมื่อไรคือถูก เมื่อไรคือแพง ซึ่งผมมองว่าวินัยคือสิ่งที่ทุกคนทำได้ง่ายที่สุดแน่นอน
เริ่มลงตลาด
กองทุนมันก็ให้ผลตอบแทนพอใช้ได้นะครับ แต่ผมยังอยากได้อีก พอดัช่วงนั้น VI กำลังดังเลย ยิ่งมีข่าว ดร นิเวศน์ได้ปันผลหุ้นวันละล้านบาทผมยิ่งตื่นเต้น เพราะ ดร เค้าก็เริ่มจากมนุษย์เงินเดือนเหมือนกัน ผมขอแค่ เดือนละแสนหรือวันละ 3,000 กว่าบาทเอง คิดแล้วแค่ 0.3% ของ ดร เอง ผมต้องทำได้สิ นี่คือเหตุที่ผมเลิกซื้อกองทุนรวมในปี 2015 แต่ย้ายมาตลาดหุ้นแทน ซึ่งก็คือเริ่มเล่นหุ้นตอนตลาดจะแตะ 1,600 จุดแล้วอะครับ พูดง่ายๆ ว่าตลาดวายแล้วนั่นเอง มีแค่เงิน กะเวลา ความรู้ก็งูๆ ปลาๆ วินัยพอมีแต่ชอบสับสนเพราะเข้ามาตอนของแพงมาก เลยมักจะมีอีกเสียงในใจบอกให้รอของถูกลงก่อนค่อยซื้อ ไม่ง่ายเลยครับ แต่ใจผมคิดว่าเอาน่า เงินเย็น เวลาก็มี เลือกให้บริษัทมันท่าทางไม่เจ๊งก็พอ ไม่งั้นก็ไม่ได้เริ่มสักที ผมก็จะขอแชร์หุ้นที่ผมซื้อมาทั้งหมดพร้อมเหตุผลและสถานะของมันตอนนี้นะครับ แต่ขอออกตัวก่อนว่าผมไม่ได้เขียนกระทู้นี้เพื่อเชียร์ให้มาซื้อตามผมนะครับ ผมลงต้นทุนไว้แล้ว ยังลูกผีลูกคนอยู่เลย ถ้าหุ้นไม่ขึ้นมาตอนนี้ก็คงยังเจ๊งอยู่ แต่ถ้ารู้แล้วอยากช่วยดันก็ขอบคุณครับ
JASIF
วันที่เริ่มซื้อ IPO 10 Feb 15 ราคาแรก 10 บาท
ต้นทุนเฉลี่ย 10 บาท
ราคาวันนี้ 11.80 บาท
ปันผลเฉลี่ย 2.28 บาทต่อหุ้น
เป็นหุ้นตัวแรกในชีวิตผม เหตุผลที่ซื้อคือแม่ชวนมาแบบงงๆ อีกแล้ว ไม่ได้อ่านงบใดๆ ทั้งสิ้น ตอนได้มายังเป็นใบหุ้นกระดาษอยู่เลย แค่แม่มาชวนถูกเวลาตอนอยากเริ่มเล่นหุ้นเลยเอาซะหน่อย เป็นตัวที่สอนให้ผมรู้ว่าที่เขาบอกว่า IPO ยังไงก็กำไรนี่ไม่จริงเลยเพราะพี่แกเจ๊งตั้งแต่เข้าตลาดวันแรกกว่าจะกลับมาสูงกว่า 10 บาทอีกทีก็เดือนสิงหาโน่นเสร็จแล้วยังมีลงไปถึงแปดบาทกว่าอีกรอบกว่าจะกลับมาบวกได้ในปีถัดไป แต่ปันผลที่ได้กับราคาที่ขึ้นมาก็จัดว่าดี ตัวนี้ผมกะเก็บไว้เป็นที่ระลึกในฐานะหุ้นตัวแรก ข้อสำคัญคือเป็นตัวที่ทำให้ผมเปิดพอร์ทลงทุนเพราะไม่อยากเก็บเป็นกระดาษ
ASP
วันที่เริ่มซื้อ 6 Mar 15 ราคาแรก 4.38 บาท
ต้นทุนเฉลี่ย 3.90 บาท
ราคาวันนี้ 3.92 บาท
ปันผลเฉลี่ย 0.48 บาทต่อหุ้น
ตอนนี้เริ่มอ่านโน่นนี่มามั่งละ และอยากได้กลุ่มการเงินสักตัวเพราะเขาว่ามันขยับตามตลาด ก็พยายามหาหุ้นที่ P/E ต่ำๆ (หาแทบไม่ได้เพราะช่วงนั้นแพงหมด) P/BV ต่ำๆ จ่ายปันผลดีๆ ก็มาลงที่ ASP เพราะเป็นโบรคที่ใช้อยู่ เราน่าจะยินดีจ่ายค่าคอมให้เขา ซื้อไม้แรกซะแพงแล้วมันก็ไม่กลับไปที่เดิมอีกเลยจนถึงวันนี้ ยังดีที่ขยันถัวตอนนี้เลยเริ่มเขียวให้เห็น แต่ข้อสังเกตุอย่างหนึ่งคือแม้แต่ก้อนแรกที่ต้นทุน 4.38 วันนี้ผมยังได้กำไร 9% เพราะหุ้นตัวนี้จ่ายปันผลดี payout ratio ประมาณ 80% ข้อเสียคือราคาไม่ไปไหนเลยเพราะกำไรเท่าไรก็จ่ายออกมาเกือบหมด
BTS
วันที่เริ่มซื้อ 6 Mar 15 ราคาแรก 9.70 บาท
ต้นทุนเฉลี่ย 9.35 บาท
ราคาวันนี้ 8.60 บาท
ปันผลเฉลี่ย 1.05 บาทต่อหุ้น
ตัวนี้จริงๆ ไม่เข้าข่ายที่จะซื้อเลยครับ P/E 50 กว่าเท่า ตอนนั้นคิดแค่ว่ารถติดขนาดนี้รถไฟฟ้าต้องมา แล้วก็มาจริงๆ ซื้อแปีปเดียวขึ้นไปสิบบาทกว่า แต่นี่คือ VI ขึ้นก็ไม่ขาย มันเลยเปลี่ยนเป็นรถไฟเหาะแล้วดิ่งไป 8 บาทกว่าจนทุกวันนี้ เป็นตัวที่ช้อนแล้วช้อนอีก แต่ช้อนหักทุกที ยังไงก็ตามปันผลที่ได้ก็ทำให้โดยรวมไม่ขาดทุนแค่กำไรน้อย ตอนนี้ยังไม่คิดจะซื้อเพิ่มหรือขายกะปล่อยมันเป็นเครื่องเตือนสติไว้ยังงั้น
INTUCH
วันที่เริ่มซื้อ 6 Mar 15 ราคาแรก 78.50 บาท
ต้นทุนเฉลี่ย 59.43 บาท
ราคาวันนี้ 57.50 บาท
ปันผลเฉลี่ย 5.33 บาทต่อหุ้น
ตัวนี้เป็นตัวที่ผมมั่นใจมากตอนซื้อเพราะ INTUCH ถือหุ้น ADVANC มูลค่าเยอะกว่าตัวบริษัท INTUCH เองซะอีก นี่มัน Arbitrage (การซื้อแล้วได้กำไรในทันที) ชัดๆ ก็ซื้อด้วยความตื่นเต้น ก่อนจะพบว่ามันไม่ได้เกี่ยวอะไรเลย INTUCH ไม่มีวันปล่อย ADVANC ออกมาได้ราคาตลาดแน่นอนและคงไม่มีวันปล่อยด้วยไม่งั้นจะเอาไรกิน แต่ตอนยังคิดไม่ได้นี่ราคาเท่าไรก็ซื้อครับ ช้อนหักแล้วหักอีก ยังดีปันผลช่วยชีวิตไว้ (อีกแล้ว)
KTB
วันที่เริ่มซื้อ 19 Mar 15 ราคาแรก 22.90 บาท
ต้นทุนเฉลี่ย 17.74 บาท
ราคาวันนี้ 18.90 บาท
ปันผลเฉลี่ย 1.33 บาทต่อหุ้น
ตอนนั้นผมอยากได้หุ้นธนาคารสักตัว ก็มาเจอว่า KTB เนี่ยมี P/BV ต่ำกว่า 1 เท่า ซื้อของถูกกว่าสินทรัพย์ของบริษัทซะอีก P/E ก็ไม่เกิน 10 เท่า ธนาคารใหญ่หนุนโดยรัฐอีกต่างหาก ไม่มีวันล้มแน่นอน ก็จัดไปแล้วราคาก็ร่วงไปแถว 18 บาทอย่างทันใจถัวกันสนุกเลย จริงๆ ผลตอบแทนตอนนี้ก็จัดว่าไม่น่าเกลียดมาก แต่เพราะเป็นธนาคารที่มักจะมีข่าวไปอุ้มหนี้เน่าซะเยอะ ผมก็เริ่มจะไม่ค่อยชอบเท่าไรเลยกะจะปล่อยออก ย้ายไปธนาคารอื่นแทน หาจังหวะขายอยู่แต่กลัวขายหมูเพราะหุ้นกำลังขึ้น และ KTB ที่อยู่ใน SET50 มีโอกาสโดนดันขึ้นไป บทเรียนอันนี้คือตัดสินใจซื้อไม่ยากเท่าการตัดสินใจขาย ตอนนี้ว่าจะใช้วิธีสบายใจ Ratio ที่อ่านเจอในนี้ (วิธีของใครผมจำไม่ได้จริงๆ ขอโทษด้วยครับ) คือขายออกไปเท่าต้นทุนให้เหลือหุ้นไว้เท่ากับกำไรแต่กำไรก็น้อยนิด ถ้าขายก็เหลือหุ้นนิดเดียวเลยถือไว้ก่อนละกัน
GFPT
วันที่เริ่มซื้อ 19 Mar 15 ราคาแรก 12.00 บาท
ต้นทุนเฉลี่ย 13.22 บาท
ราคาวันนี้ 19.70 บาท
ปันผลเฉลี่ย 0.36 บาทต่อหุ้น
ตัวนี้เป็นตัวที่ผมได้กำไรสูงที่สุดถ้าคิดเป็น % เป็นตัวที่ผมเอา PEG ratio มาใช้ด้วย ตอนซื้อก็เข้าสูตรเดิมครับ P/E ต่ำกว่าสิบเท่า P/BV ต่ำกว่า 2 เท่า และไปเจอว่า PEG ต่ำกว่า 0.5 ด้วย ซื้อเสร็จปุ๊ปร่วงทันทีเหมือนเดิม ทำเอาใจแป้วเพราะถัวไปอีกก็ลงต่อและลงเร็วมาก จนไปอยู่แถวๆ 9 บาทก็ไม่กล้าซื้อเพิ่ม คิดว่าสงสัยจะโดนแล้วเรา หารู้ไม่ว่านั่นคือโอกาสทอง เพราะ 1 ปีให้หลังมันไปอยู่ที่ 16 บาท แล้วขึ้นไปพีคที่ยี่สิบบาทนิดๆ ถ้าซื้อตอน 9 บาทก็ได้เป็นเด้งแล้ว บทเรียนคือตอนนั้นผมไม่รู้ว่าทำไมมันถึงลงไป 9 บาท และไม่ได้พยายามหาเหตุผลด้วยเพราะคิดว่าคงลงตามตลาดเฉยๆ ทำให้พลาดโอกาสไป พอมันร่วงลงมาอย่างเร็วอีกรอบเพราะข่าวลือไข้หวัดนกเมื่อปลายปีที่แล้วก็เลยซื้อใส่ไปอีกเพราะไม่อยากพลาดแบบนั้นแล้ว