
หลังจากระยะเวลาผ่านมานานกว่า 35 ปี Blade Runner ภาค 2 นี้ก็ได้ออกมาสู่สายตาของผู้ชมเสียที โดยหนังไซไฟเรื่องนี้กำกับโดย เดนิส วิลล์เนิฟ ที่รับไม้สานต่อตำนานไซไฟจาก ริดลีย์ สก็อตต์ ผู้กำกับภาคแรก นำแสดงโดย ไรอัน กอสลิง( Drive,Lala land ) ร่วมด้วย แฮริสัน ฟอร์ด ที่มารับบทเดิมในหนังภาคนี้ด้วย สำหรับภาคนี้หนังกินเวลาโดยประมาณเกือบ 3 ชั่วโมง แต่รับรองว่าถ้าเป็นคอหนังประเภทไซไฟจะต้องรู้สึกว่าไม่นานแน่นอน

หนังบอกเล่าเรื่องราว 30 ปีให้หลังจากภาคแรก โดยมีตัวเอกของเรื่องคือ เจ้าหน้าที่ K ( กอสลิง ) เบลดรันเนอร์คนใหม่ที่มีหน้าที่เช่นเดิมในการตามล่าหามนุษย์เทียม ( Replicant )ที่ลักลอบเข้ามายังโลก และทำการปลดระวาง( กำจัด )มนุษย์เทียมเหล่านั้นเสีย แต่ทว่าในการปลดระวางมนุษย์เทียมคนหนึ่งนั้น K ได้ค้นพบเรื่องราวที่เหลือเชื่อ จนเป็นการนำไปสู่การตามหาตัว เจ้าหน้าที่เด็คคาร์ด ( ฟอร์ด ) เบลดรันเนอร์ผู้หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยกว่า 30 ปี เพื่อช่วยไขปริศนานั้น

หลายคนอาจมีคำถามว่าถ้าไม่ดูภาคแรกดูภาคนี้จะรู้เรื่องมั้ย ผมตอบได้ว่า รู้เรื่องครับ แต่อาจจะไม่อินกับภาคนี้สักเท่าไหร่นัก ซึ่งจะหลักๆก็จะเป็นประเด็นในเรื่องของมิติตัวละครที่เป็นมนุษย์เทียมว่ามีที่มาที่ไปเช่นไร ถูกกดขี่อย่างไร อย่างไรก็ตามสำหรับภาคนี้เราจะเห็นถึงความล้ำของฉากต่างๆ ที่แลดูว่าโลกในอนาคตจะเป็นอย่างไร โดยเฉพาะการนำเอาโฮโลแกรมมาใช้ได้อย่างน่าทึ่ง ในภาคนี้ยังคงรักษาเอกลักษณ์ในการดำเนินเรื่องได้อย่างดีเยี่ยม แม้จะห่างจากภาคแรกมานานกว่า 35 ปี ต้องเตรียมใจไว้ก่อนสำหรับคนที่ไม่ได้ชอบหนังแนวไซไฟเนื่องจากหนังกินเวลาค่อนข้างนานการดำเนินเรื่องอาจทำให้เราง่วงเหงาหาวนอนได้ การดำเนินเรื่องจะเป็นลักษณะเรื่อยๆ เฉื่อยๆ แต่ถ้าเราได้เคยดูภาคแรกแล้วก็จะรู้ความหมายของแต่ละฉากได้เป็นอย่างดี ความสนุกของเรื่องนี้คงจะเป็นในเรื่องของการที่เราร่วมกันค้นหาความจริงถึงสิ่งที่ K ตามหา มันจะเฉลยทีละเปลาะๆ เพลงประกอบได้ผู้ประพันธ์มากฝีมือดีกรีออสการ์อย่าง ฮานส์ ซิมเมอร์ซึ่งเคยทำเพลงประกอบในหนังชื่อดังหลายๆ เรื่อง เช่น Pirate of Caribbean,Dark Knight มาควบคุมร่วมกับ เบนจามิน วอลฟิสช์ ที่มีผลงานที่ไม่ธรรมดาทั้งใน It และ Dunkirk ด้วย โดยเฉพาะฉากใหญ่ๆได้เพลงช่วยส่งให้ดูอลังการงานสร้างเลยทีเดียว นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมต้องพึ่งฝีมือของทั้งคู่ ซึ่งเพลงประกอบที่เป็นเอกลักษณ์ของเบลดรันเนอร์จะมีลักษณะเป็นซาวน์ล้ำๆ อึนๆ ชวนอึดอัดๆ เมื่อนำมาเทียบกับภาคแรกผมมีความรู้สึกว่าดรอปลงนิดหน่อยนะแต่ยังอยู่ในมาตรฐานที่ยอมรับได้

สำหรับการแสดงของเรื่องนี้ บทของเจ้าหน้าที่ K กอสลิงแสดงได้อย่างไม่มีที่ติ สมกับที่เป็นเพชฌฆาตมาดนิ่งสุขุม บทของเจ้าหน้าที่เด็คคาร์ด ของฟอร์ด ซึ่งเป็นตัวไฮไลท์ที่สำคัญในเรื่อง อาจจะโผล่มาไม่เยอะเท่าไหร่แต่ทรงพลังเอามากๆ ส่วนบทตัวร้ายของเรื่องวอลเลส ที่รับบทโดยจาเร็ดเลโต้ ในหนังเรื่องนี้แกเล่นได้ดูจิตนิดๆ โผล่มาทีไรเขย่าประสาทได้ทุกทีเล่นได้ดีเหมือนกันครับ ส่วนในบทบาทที่ต้องพูดถึงคือ บทบาทของ จอย สาวโฮโลแกรมคนรักเสมือนจริงของเจ้าหน้าที่ K เรื่องนี้เดอ อาร์มาส เล่นได้ดีจริงๆ สามารถเย้ายวนและมีเสน่ห์ตรึงสายตาของพวกเราจนไม่อาจกระพริบได้

เรื่องนี้โดยส่วนตัวผมให้ 9 เต็ม 10 ดูๆ ไปก็เหมือนจะเดาได้ แต่สุดท้ายเดาไม่ได้ หักมุมสุดๆ ประเด็นปรัชญาในภาคแรกในส่วนของมนุษย์จริงมนุษย์เทียม สิ่งไหนจริง/สิ่งไหนลวง อะไรแท้/อะไรไม่แท้ ภาคนี้ทำออกมาได้ขยี้ประเด็นดังกล่าวได้สุดๆ แต่ผมก็แอบเสียดายนิดๆ ที่ว่าเสน่ห์ในหนังภาคแรกนั้นอยู่ที่ความเป็นฟิล์มนัวร์ดูมืดๆ หม่นๆ เหมือนแบทแมนดาร์คไนท์ที่เป็นเอกลักษณ์ได้เปลี่ยนไปซึ่งภาคนี้กลับเป็นเพียงหนังไซไฟยุคอนาคตเฉยๆ ไม่ได้เป็นฟิล์มนัวร์เหมือนก่อน แต่ไม่เป็นไรครับ ภาคนี้ชดเชยด้วยปรัชญาที่ลึกล้ำต่อยอดจากของเก่าและเทคโนโลยีที่ล้ำสมัยสุดๆ เยี่ยมครับ คอหนังแนวนี้ไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวง
ถ้าสนใจดูรีวิวหนังเรื่องอื่นเพิ่มเติมหรือให้คำติชมแนะนำได้ที่เพจผมครับ
https://www.facebook.com/cineman95/ ช่วยกดไลค์เป็นกำลังใจให้คนรักหนังบ้านๆคนนี้ด้วยครับ
[CR] [Review] Blade Runner 2049 (2017) ฉบับมือใหม่หัดรีวิว
หลังจากระยะเวลาผ่านมานานกว่า 35 ปี Blade Runner ภาค 2 นี้ก็ได้ออกมาสู่สายตาของผู้ชมเสียที โดยหนังไซไฟเรื่องนี้กำกับโดย เดนิส วิลล์เนิฟ ที่รับไม้สานต่อตำนานไซไฟจาก ริดลีย์ สก็อตต์ ผู้กำกับภาคแรก นำแสดงโดย ไรอัน กอสลิง( Drive,Lala land ) ร่วมด้วย แฮริสัน ฟอร์ด ที่มารับบทเดิมในหนังภาคนี้ด้วย สำหรับภาคนี้หนังกินเวลาโดยประมาณเกือบ 3 ชั่วโมง แต่รับรองว่าถ้าเป็นคอหนังประเภทไซไฟจะต้องรู้สึกว่าไม่นานแน่นอน
เรื่องนี้โดยส่วนตัวผมให้ 9 เต็ม 10 ดูๆ ไปก็เหมือนจะเดาได้ แต่สุดท้ายเดาไม่ได้ หักมุมสุดๆ ประเด็นปรัชญาในภาคแรกในส่วนของมนุษย์จริงมนุษย์เทียม สิ่งไหนจริง/สิ่งไหนลวง อะไรแท้/อะไรไม่แท้ ภาคนี้ทำออกมาได้ขยี้ประเด็นดังกล่าวได้สุดๆ แต่ผมก็แอบเสียดายนิดๆ ที่ว่าเสน่ห์ในหนังภาคแรกนั้นอยู่ที่ความเป็นฟิล์มนัวร์ดูมืดๆ หม่นๆ เหมือนแบทแมนดาร์คไนท์ที่เป็นเอกลักษณ์ได้เปลี่ยนไปซึ่งภาคนี้กลับเป็นเพียงหนังไซไฟยุคอนาคตเฉยๆ ไม่ได้เป็นฟิล์มนัวร์เหมือนก่อน แต่ไม่เป็นไรครับ ภาคนี้ชดเชยด้วยปรัชญาที่ลึกล้ำต่อยอดจากของเก่าและเทคโนโลยีที่ล้ำสมัยสุดๆ เยี่ยมครับ คอหนังแนวนี้ไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวง
ถ้าสนใจดูรีวิวหนังเรื่องอื่นเพิ่มเติมหรือให้คำติชมแนะนำได้ที่เพจผมครับ https://www.facebook.com/cineman95/ ช่วยกดไลค์เป็นกำลังใจให้คนรักหนังบ้านๆคนนี้ด้วยครับ