🌙⭐️🌟 อุ่นเครื่อง "ถุงมือนักเขียน" เรื่องที่ 3 "ปากทางนรก" โดย ถุงมือ "จับกัง" 🌟⭐️🌙

กระทู้คำถาม


เรื่องที่ 3 นี้ ผมได้รับเมื่อตอนบ่ายวันนี้เองครับ และพอเหมาะพอดีกับวันนี้ซึ่งเป็นวันกำหนดเวลาเฉลยถุงมือที่สอง จึงเป็นการสานต่อพอดี และกระทู้นี้อาจจะรอนานหน่อยกว่าจะเฉลย เพราะใกล้วันที่ 13 ผมจะเฉลยถุงมือนี้ ในวันที่ 16 ก็แล้วกันนะครับ รวมทั้งเรื่องของท่านที่ส่งมาและรอคิวถัดจากนี้ก็ค่อยตั้งกระทู้ในวันนั้นเช่นกันนะครับผม

เชิญอ่าน เรื่องสั้นอุ่นเครื่อง เรื่องที่ 3 ได้เลยครับ...

************************************************************************************************************

ปากทางนรก

ถ้าอยากขึ้นเหนือ จงมุ่งลงใต้  ถ้าอยากยิ่งใหญ่จงทำตัวติดดิน คำพูดปริศนาขององค์มหาเทวะซึ่งจนบัดนี้ยังไม่อาจตีความได้ผุดขึ้นในห้วงความทรงจำอีกครั้ง วาชีฤทธิ์ตบศีรษะตนเองเบาๆ เพื่อขับไล่ความไม่รู้และความสับสนวุ่นวายใจดังกล่าวออกไป เพราะสิ่งสำคัญที่สุด คือภารกิจตรงหน้า เขาจะต้องจัดการกับจอมอสูรโครำ ผ่านวันนี้ไปไม่เขาก็โครำจะต้องหายไปจากสามโลก

    คิดดูก็น่าตลก เพราะหากย้อนไปกว่าสิบปีที่ผ่านมา ก็คงไม่มีใครคาดฝันว่าวาชีฤทธิ์และโครำจะต้องมาห้ำหั่นกันเช่นนี้ สิบสี่ปีที่แล้วองค์มหาเทวะนำทารกน้อยโครำซึ่งเป็นผู้รอดชีวิตเพียงคนเดียวจากหมู่บ้านบนโลกมนุษย์ที่ถูกทำลายขึ้นมาฟูมฟักบนเขาไกรลาส โครำกินน้ำนมจากนางราชสีห์บริวารขององค์มหาเทวี เมื่อโครำเติบโตขึ้น องค์มหาเทพก็ประสาทวิชาต่างๆให้ โครำมีพรสวรรค์เรียนรู้เวทต่างๆได้อย่างรวดเร็ว ด้วยปฐมวัยของโครำมีแต่ความสุข และโครำมีนิสัยรักสันโดษเหมือนองค์มหาเทวะ ไม่ทะเยอทะยาน ไม่มักใหญ่ใฝ่สูง โครำจึงไม่เคยใช้วิชาที่องค์มหาเทวะสอนไปทำอะไรในทางเสียหาย นอกจากฝึกไปวันๆ องค์มหาเทพยิ่งพอใจจึงสอนวิชาเพลิงภูตวิญญาณ และวิชาทวิหัตถ์สุริยันจันทราให้ ต่อมาไม่นานโครำก็พัฒนาวิชาทวิหัตถ์สุริยันจันทราเป็นทวิจิตสุริยันจันทรา ทำให้สามารถร่ายเวทหรือปล่อยพลังออกมาได้อย่างอิสระ ไม่จำเพาะต้องใช้ฝ่ามือเพียงอย่างเดียวอีกต่อไป

ปีต่อมา หลังจากโครำสำเร็จวิชา เพลิงภูตวิญญาณ และทวิจิตสุริยันจันทราได้อย่างสมบูรณ์ ก็เกิดเทวาสูรสงคราม เหล่าอสูรได้รับพลังหนุนจากศุกรจารยะ จนมีพลังแก่กล้า พระอินทร์เกรงว่าทวยเทพจะพ่ายแพ้ จึงมาขอคำแนะนำและความช่วยเหลือจากองค์มหาเทวะ เนื่องจากพระวิษณุยังบรรทมศิลป์อยู่

องค์มหาเทพจึงให้โครำไปช่วยรบ หลังสงครามสิ้นสุดลงด้วยชัยชนะของเหล่าเทพ โครำก็ได้รับมอบหมายให้ไปอยู่หน่วยเดียวกับวาชีฤทธิ์ นั่นเป็นครั้งแรกที่ทั้งสองได้รู้จักกัน ด้วยพื้นเพของวาชีฤทธิ์ซึ่งเป็นพญานาคจึงมีนิสัยชอบสมาคมกับผู้อื่น วาชีฤทธิ์จึงเป็นเพียงผู้เดียวในกองทัพที่ยอมรับโครำ เพราะมิได้ติดอัตตาว่าโครำเป็นแค่เด็กมนุษย์คนหนึ่งแบบที่เทพองค์อื่นๆมอง

หลายครั้งที่โครำลงไปปฏิบัติหน้าที่ แล้วทำได้ดีกว่าพวกเทพ สิ่งที่ตามมาก็คือความอิจฉาและเสียงซุบซิบนินทา และใช่ว่าโครำจะไม่รู้สึกอะไร แต่เพราะนิสัยสันโดษจึงทำนิ่งไม่สนใจ กลับกันโครำยิ่งมีความดีความชอบในสายตาองค์อมรินทร์มากขึ้นเรื่อยๆ จนสุดท้ายเหล่าเทพที่ริษยาโครำแต่มิอาจทำอะไรได้ จึงพร้อมใจกันต่อต้านเงียบๆ และคอยยกเรื่องความเป็นมนุษย์ต่ำศักดิ์ของโครำมาจิกกัด ครั้นโดนดูถูกในความเป็นมนุษย์ของตนเองบ่อยๆเข้า โครำก็รู้สึกแย่กับสิ่งที่เรียกว่ามนุษย์ จากรู้สึกแย่ ก็ค่อยๆแปรเป็นเกลียดชังในที่สุด

เมื่อความอดกลั้นใกล้ถึงขีดสุด โครำก็กลับไปเข้าเฝ้าองค์มหาเทพ ขอกลับไปรับใช้ตามเดิม แต่องค์มหาเทพอยากให้โครำก้าวหน้า ไม่อยากให้จมอยู่แค่กับภูตผีอย่างพระองค์ จึงให้โครำอดทนทำงานต่อไป โครำจึงขอให้พระองค์ช่วยทำให้ตนเองแตกต่างจากมนุษย์ทั่วๆไป องค์มหาเทพถามว่า ถ้าไม่ชอบเป็นมนุษย์ โครำอยากเป็นสิ่งใด โครำทูลว่าอยากเป็นเหมือนพระองค์ องค์มหาเทพจึงประสาทพลังให้กึ่งหนึ่ง ให้โครำเป็นมนุษย์กึ่งเทพแห่งการทำลายล้าง

แต่ถึงอย่างไร พวกเทพก็ยังดูแคลนโครำ โดยเอาภาวะมนุษย์มาอ้าง โครำจึงรู้สึกว่าที่ดาวดึงส์นั้นแทบจะไม่มีใครต้องการตน ความกดดันภายในส่งผลสะท้อนให้โครำมักลงมือรุนแรงกับพวกอสูรหนักหนาสาหัสกว่าที่พวกเทพทำ สิ่งที่ตามมาจึงเป็นการถูกมองด้วยสายตาว่าต่ำทรามและป่าเถื่อน และในระยะหลังๆ แม้แต่องค์อมรินทร์ก็เริ่มตำหนิโครำ

วาชีฤทธิ์ที่เคยมีสัมพันธภาพที่ดีกับโครำ ก็เริ่มติติงการกระทำของโครำ ปมในใจโครำจึงยิ่งก่อตัวรุนแรงขึ้น แต่เพราะโครำมีภาวะมนุษย์อยู่ ร่างเนื้อของโครำจึงบดบังความคิดภายในใจจนสิ้น ทำให้ไม่มีใครรู้ว่าเขาคิดอะไร นอกจากจะใช้วิธีอ่านใจ ซึ่งปกติเทพดีๆก็จะไม่ละลาบละล้วงกัน เพราะถือว่าไม่มีมารยาท และก้าวก่ายเรื่องส่วนตัวกันเกินไป

มาถึงวันนี้ พญานาคหนุ่มลองนึกย้อนกลับไป พิจารณาดีๆ ก็เห็นว่า โครำมิใช่วีรบุรุษ เพราะไม่มีลักษณะของวีรบุรุษเลย แต่ถามว่าเห็นแก่ตัวไหม ก็ไม่ใช่อีก เพราะหากเห็นไม่ชอบธรรมเกิดขึ้น เขาก็จะลงมือแก้ไขด้วยวิถีของเขาทันที

วิชาฝีมือของโครำก็เป็นของหายากในสามโลก เพราะการจะฝึกได้ไม่ใช่แค่ต้องมีทั้งกายสังขารที่แข็งแกร่ง , พลังจิต , พลังวิญญาณ และพรสวรรค์ที่ถึงขั้นเท่านั้น แต่จะต้องมีพื้นฐานความเป็นภูเตศวร คือต้องสมาคมด้วยคนตาย และเป็นใหญ่เหนือภูตผีเหมือนกับองค์มหาเทวะด้วย เพราะฉะนั้นต่อให้ผู้เยี่ยมยุทธใดๆพยายามวัดรอยเท้าโครำ ก็ไม่มีประโยชน์ เพราะการทำเช่นนั้นก็เท่ากับรนหาที่ตายเองเพราะขาดคุณสมบัติ ยิ่งดันทุรังฝึกต่อไป ก็เท่ากับยิ่งเร่งให้ตัวเองต้องตายอย่างทรมานและน่าอนาถเร็วขึ้นเท่านั้น

“ ไม่ได้เจอกันเสียนานนะ ฤทธิ์ ” สุรเสียงเรียบเย็นของเด็กผู้ชายวัยแรกแตกหนุ่มดังกังวานขึ้นเบื้องหน้า เสียงเยาว์วัยนั้นทำให้เขาต้องชะงักเท้าและเพ่งมองไปยังต้นเสียง ซึ่งหากเพ่งพิศดูดีๆจะเห็นว่า รอบกายของเด็กชายตรงหน้าถูกปกคลุมด้วยหมอกควันบางเบา บ่งบอกว่าเจ้าตัวมิใช่คนในโลกียวิสัย แต่เหตุใดเด็กน้อยนี้จึงโหดเหี้ยมและก่อกรรม จนได้ฉายาจอมอสูร ทั้งๆที่เมื่อมองดูเผินๆ ก็เหมือนเด็กน้อยธรรมดาที่อาจจะชอบทำหน้าตายไร้ความรู้สึกเท่านั้น

เพ่งพิศมองผิวละเอียดอ่อน เรียบลื่นเป็นประกาย ไม่มีรอยตำหนิแม้สักเพียงตำแหน่งเดียว  ใบหน้าคมเศร้าซีดขาวดุจไม่มีเลือดหล่อเลี้ยง มองเผินๆก็ชวนให้รู้สึกว่าเป็นเด็กน้อยบอบบางน่าเวทนา ไฉนเลยกลับเป็นจอมอสูรที่ฆ่าคนได้โดยไม่ต้องกระพริบตา

คำตอบของข้อสงสัยทั้งหมดนั้น วาชีฤทธิ์เองก็รู้อยู่แก่ใจ แต่ในเมื่อเรื่องราวลุกลามใหญ่โตมาถึงเพียงนี้ ทางแก้ก็เหลือเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น แต่ยังไม่ทันที่นาคราชหนุ่มจะได้สนทนาโต้ตอบ เจ้าของร่างดรุณตรงหน้าก็ขยับตัวทักทายด้วยวิธีที่หนักหน่วงกว่าเดิม ลูกไฟภูตวิญญาณ!!

ลูกไฟภูตวิญญาณของโครำยิ่งซัดมา ก็ยิ่งเกรี้ยวกราด วาชีฤทธิ์เพียงคิดป้องกันตัว ทุกกระบวนท่าล้วนเน้นการตั้งรับ รู้อยู่ว่าฝ่ายตรงข้ามมีพลังฝีมือด้านเวทเหนือล้ำกว่าตัวเองหลายเท่า เพียงใช้มือเดียวจู่โจมก็ร้ายกาจปานนี้ หากปล่อยให้มันมีโอกาสได้ใช้ทั้งสองมือ ตัวเขาคงต้องจบชีวิตแน่นอน ร้ายกว่านั้น นอกจากโครำจะมีร่างกายเล็กปราดเปรียวเพราะความเป็นเด็กแล้ว ยังไวเป็นยิ่ง ซ้ำร้ายยังมีกระบวนท่าพิสดารแบบที่หลายๆคนไม่เคยพบพานมาก่อน พอเข้าประชิดตัว จากต่อยหมัดตรงๆมา แต่พอถึงกลางคันก็กลับกลายเป็นท่าดรรชนี ครั้นวาชีฤทธิ์ยื่นมือจะปัดออก ท่าดรรชนีนั้นก็กลายเป็นฝ่ามือกระแทกเข้าร่างเขาเต็มรัก

วาชีฤทธิ์รู้สึกละลานตาวูบ ทั่วสี่ทิศแปดทางเต็มไปด้วยเงาร่างของจอมอสูรโครำ มันเตะกวาดมาจากทางซ้าย แล้วต่อยหมัดมาจากทางขวา ความหนักหน่วงและกำลังทำลายของแต่ละท่วงท่า ล้วนเป็นพลังที่กราดเกรี้ยวรุนแรงเกินกว่าจะเกิดจากฝีมือของเด็กน้อยอายุแค่สิบสี่ พริบตาต่อมามันก็ฟาดฝ่ามือตบมาจากทางด้านหน้า อีกไม่กี่อึดใจก็อ้อมไปข้างหลังแล้วทิ่มดรรชนีมาจากด้านหลัง กระบวนท่าต่างๆ ประเดประดังมาจนไม่รู้จะปิดป้องอย่างไรให้ทัน

“ เจ้านี่มัน!! ” นาคราชหนุ่มตัดสินใจฉากหลบไปข้างหลังหลายโยชน์ แล้วอ้าปากพ่นพิษใส่ ในเมื่อกำลังก็ด้อยกว่า เวทก็ไม่แรงเท่า ก็ต้องวัดกันด้วยพิษนี่ล่ะ แต่เพียงโครำเห็นดังนั้น สายตาไร้อารมณ์ดุจซากศพนั้นก็เผยอมองบนเพียงองคุลี รอยยิ้มขำขันปรากฏที่ริมฝีปากเพียงชั่วอึดใจ ครั้นแล้วมันก็กระแทกฝ่ามือโต้มา

โครำกระแทกฝ่ามือหนแรก ปล่อยลูกไฟภูตวิญญาณขนาดรัศมีราวหนึ่งศอก ซึ่งโดยปกติแล้ว แม้จอมเวทชั้นเยี่ยมจะใช้วิชานั้นได้ ก็เพียงสร้างลูกไฟได้ไม่ใหญ่เกินหนึ่งคืบ แต่โครำสามารถเร่งพลังให้ใหญ่กว่านั้นได้อีกถึง 3 - 4 เท่า แต่ที่น่ากลัวกว่านั้นคือพลังทำลายและความเร็ว เพราะหลังจากปล่อยลูกแรกออกไปได้ไม่กี่อึดใจ โครำก็โดดพุ่งหลาวตามลูกไฟของตนเองมาติดๆ ก่อนจะวาดฝ่ามือปล่อยลูกไฟขนาดเท่าๆกันออกมาอีกลูกหนึ่ง และขณะที่ดวงอัคคีทั้งสองลูก กำลังตามติดสนับสนุนกันอยู่นั้น จอมอสูรน้อยก็พุ่งตัวตามมาอีกครั้ง แล้วตวัดฝ่ามือปล่อยลูกไฟลูกที่สามในจังหวะเดียวกับที่สองลูกแรกเกือบจะเข้าใกล้เป้าหมายในระยะประชิด ผลคือนอกจากพิษของวาชีฤทธิ์จะถูกลูกไฟภูตวิญญาณขนาดมหึมาสามดวงบดขยี้จนเป็นจุลไปแล้ว ดวงอัคคีทั้งสามนั้นยังพุ่งเข้าใส่ร่างของเขาตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า เสียงระเบิดดังสนั่นหวั่นไหว หากเป็นเทพระดับล่างก็คงเป็นจุลไปแล้ว แต่วาชีฤทธิ์ก็เพียงกระเด็นไปติดกำแพงผาเบื้องหลังด้วยสภาพสะบักสะบอม

“ กลับไปตอนนี้ยังทันนะฤทธิ์ เราไม่อยากฆ่าเพื่อนที่มีอยู่เพียงคนเดียวดอก ” มันกล่าวเนิบๆด้วยสายตาดุจซากศพที่ไร้อารมณ์ความรู้สึก แต่วาชีฤทธิ์รู้ดี ภายใต้ใบหน้าหมดอาลัยหมดศรัทธานั้น คิดอะไร หรือเจ็บช้ำแค่ไหน เขาจึงกัดฟันลุกยืนพร้อมกับตอบกลับเสียงหนักแน่น  “ ถ้าข้าแพ้ โปรดรับแก้วมณีประจำตัวข้าไว้ มณีแก่นใจข้า คือมณีของเจ้า รับแล้วกลับไปหาองค์มหาเทวะเสีย ท่านยังรอเจ้าเสมอ ”

“ ถ้าเจ้าชนะ ก็จงรับตำราวิชาเวททั้งหมดที่เราบันทึกไว้ด้วย เพราะหลังจากเวลานั้น วิชาของเราก็คือวิชาของเจ้า ฝากไปขอโทษองค์มหาเทวะด้วย ที่ทำให้ผิดหวัง ”

สุดท้ายก่อนการตัดสินที่แท้จริงจะเริ่มขึ้นสองบุรุษต่างวัยก็กล่าวออกมาพร้อมกัน “ จากนี้ ไม่ว่าใครรอดไป ฝ่ายที่ปราชัยจะไม่มีโกรธแค้นเคืองกัน นี่คือสัจวาจาสุดท้ายของสองเรา!!  ”

= จบ =

ถุงมือจับกัง



รายชื่อให้เลือกตอบครับ
1. สวนดอก
2. ผีเสื้อสีดำ
3. เกสรผกา
4. peiNing
5. kasareev
6. KTHc
7. นลินมณี
8. พิณนภา
9. คีตมินทร์
10. อิสิ
11. จอมยุทธนักสืบ
12. psycho_factory
13. Tantava
14. B-thirteen
15. ชายขอบคันนายาว
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่