ชีวิตจริงยิ่งกว่าละคร ตอน ชีวิต(วัยรุ่น)ที่หักเห

สวัสดี ที่หายไป 2-3 วัน พอดีไม่สบาย วันนี้..ดีขึ้นจึงพยายามพิมพ์(พิมพ์ไม่เก่ง)มาเล่าเรื่องกันต่อ.. เรื่องเล่าจากชีวิตจริง..ความเดิมตอนที่แล้ว หาอ่านได้ที่กระทู้ ชีวิตจริงยิ่งกว่าละคร ตอน ปฐมบท
                               
                               หลังจาก..ที่ผมพบพี่น้องต่างแม่ เมื่อตอนมัธยมต้นแล้ว..ตอนที่ผมเรียนสายอาชีพ ตอน ปวช.ผมก็ได้เจอพี่น้องต่างแม่อีก(คนละแม่กับคราวที่แล้ว) คราวนี้เจอ 3 คนเลย..เมื่อครั้งตอนพี่ชายผมรับปริญญา เพราะพ่อเอาลูกเขามาด้วยในวันปริญญา โดยตอนนั้นผมคิดว่า..ไม่รู้จะเอามาทำไมรู้สึก เป็นภาระมากๆเพราะด้วยความที่พวกเขายังเด็กๆซุกซนพอสมควร เดี๋ยวหิว เดี๋ยยวง่วง สารพัด  ปัจจุบันพ่อผมก็อยูกับเมียที่มีลูก 3 คนนี่ล่ะ เอาเท่าที่ผมรู้นะ..แต่ที่ไม่รู้น่าจะมัอีก ที่ต้องเล่าถึงพ่อผมมีลูกเมียหลายคน เพราะว่า..ทุกวันนี้เขาค่อนข้างลำบาก อาจเกิดจากภาระต้องเลี้ยงลูกเมียคนนี้เยอะ หรือว่าหมดไปกับการพนัน ถึงแม้ว่า..พ่อผมเขาไม่ดื่มเหล้าสูบบุหรี่ หรืออาจเป็นเวรกรรมที่เขาทำมา อันนี้..ผมไม่ทราบ แต่ถ้าพ่อมีเมียเดียวคือ แม่ผม ช่วยกันทำมาหากินเลี้ยงลูกครอบครัวตัวเอง ฐานะของครอบครัวผมก็คงดีมีชีวิตที่สบายกว่านี้..อันนี้แม่ผมบอกอย่างนี้นะ
                               
                 แต่ถ้าถามว่า..การไม่มีพ่อตั้งแต่ผมจำความได้ จะเป็นมีปัญหาไหม ผมตอบได้เลยว่า..อาจมีส่วนบ้าง แต่..สำหรับผมๆว่า..ดีชั่วอยู่ที่ตัวทำมากกว่า ผมก็มีจุดหักเหของชีวิตวัยรุ่น ก็ตอนจบมัธยมต้นนี่ล่ะ เพราะ..บุญมีแต่กรรมบัง เนื่องจาก..ผมต้องติดรถเพื่อน(อีกแล้ว)ไปสอบเรียนต่อเพื่อเข้าศึกษาที่วิทยาลัยอาชีวะชื่อดังแห่งหนึ่ง วันไปดูผลสอบด้วยความรีบดูรายชื่อผู้สอบได้..ผมดูไม่ถี่ถ้วนเอง ผมจึงพลาดเรียนที่นี่ เพราะวันนั้นผมต้องติดรถเพื่อนไป โดยเพื่อนมีพ่อแม่เขาช่วยกันดู แต่เพื่อนก็สอบไม่ติดนะ แต่หลังจากวันนั้น..มีคนมาบอกผมว่า..ผมสอบได้ที่นั่นแล้วทำไมไม่ไปเรียนที่นั่น แต่มันฏสายไปแล้ว เพราะผมเตรียมจะไปเรียนโรงเรียนอาชีวะเอกชนที่กรุงเทพฯแล้ว ผมต้องไปอยู่กับพี่สาวที่กรุงเทพฯ แน่นนอน..ผมคิดถึงบ้านมาก ผมบอกกับแม่ว่า..อยากลับมาอยู่บ้านแล้วปีหน้าจะไปสอบเข้าใหม่ แม่ก็บอกว่า..ให้เรียนต่อไปไม่อยากให้เสียเวลาไปเปล่า แต่..เมื่อใจผมไม่อยู่แล้ว ผมจึงไม่ไปเรียน รด.ทั้งๆที่พี่ชายเตรียมชุด รด.ที่เขาเคยใส่ให้มาแล้ว เป็นธรรมดาของครอบครัวที่ไม่มีฐานะ น้องต้องคอยรับเดนเสื้อผ้าจากพี่(ตอนนั้นผมคิดน้อยใจว่าทำไมผมจึงต้องใส่เสื้อผ้าเก่าๆที่ต้องมานั่งเลาะชื่อแล้วปักชื่อตัวเองใหม่ด้วยมือ) กะว่า..จะเรียนแค่เทอมเดียวอย่างที่ผมตั้งใจไว้โดยแม่ไม่รู้  ผมกลับบ้านทุกสัปดาห์เพราะคิดถึงบ้าน ทุกครั้งที่กลับบ้านผมจะเอาน้ำพริกกะปิฝีมือแม่ไปกินที่กรุงเทพฯด้วยเสมอๆ โดยผมจะหุงข้าวกินเอง 1 หม้อ ผมกินข้าวกับน้ำพริกได้ถึง 3 มื้อ ผมต้องประหยัดค่าใช้จ่ายเพราะสงสารแม่ๆต้องทำงานหนักเพื่อมาส่งผมเรียนโรงเรียนเอกแทนที่จะได้เรียนของรัฐบาลที่ค่าใช้จ่ายถูกกว่าเยอะมาก แต่จนแล้วจนรอด พอจบเทอมแรก...ผมขนของกลับมาช่วงปิดเทอมกะว่าเปิดเทอมสองจะไม่ไปเรียนต่อ..จะอ่านหนังสือสอบเข้าปี 1 ใหม่ แต่..ผมดันเป็น..อีสุกิใส(ขออภัยถ้าไม่สุภาพ)สภาพตอนนั้น..น่าเกลียดมาก..ถึงขั้นอยากตาย..ไม่อยากเดินผ่านกระจกด้วยซ้ำ ไม่ไปพบใคร ไม่ออกไปเตะบอล ตอนปิดเทอมนั้น มันช่างทรมานมาก แม่ดูแลผมตลอด ผมเห็นแม่แล้วก็อดสงสารแกไม่ได้ พอเปิดเทอม..ผมจึงไปเรียนต่อที่เดิม ตามที่แม่ขอร้อง เพราะแม่บอกว่า..ไม่อยากให้เสียเวลา ส่วนเรื่องค่าใช้จ่ายแม่จัดการได้ไม่ต้องห่วงลูกไปเรียนให้เต็มที่

                               ผมจึงมุ่งมั่นเรียนที่เดิมจนกระทั่งจบ ปวช. รอดปากเหยี่ยวปากกามาได้ รู้ๆกันอยู่ว่า..เด็กช่างตีกันทุกวัน ไหนจะสาวๆที่กรุงเทพฯก็ไวไฟ แรงยิ่งกว่า..Wifi 100 เมกฯซะอีก ผมเป็นต่างจังหวัดที่ยัง..บริสุทธิ์ ผุกผ่องอยู่ เพราะจะทำอะไรไม่ดี..หน้าแม่ก็จะลอยมาทุกที ผมใชัชีวิตอยู่กรุงเทพฯ 3 ปี นานยังกับ 3 ชาติ ขาดการติดต่อกับเพื่อนสมัยมัธยมไปเลย กะว่า..ถ้าใครจ้างให้มาอยู่กรุงเทพฯอีก คงไม่เอา ไม่ชอบชีวิตที่เร่งรีบ แขวนอยู่บนเส้นด้ายตลอดเวลาที่ก้าวขาออกจากบ้าน ชีวิตคนกรุงมันช่างวุ่นวาย ผมยอมเป็นเด็กบ้านนอกคอกนาดีกว่า..เป็นเด็กเทพ

                               เรื่องราว..เรื่องเล่าจากชีวิตจริงของผม จะเป็นอย่างไรต่อไป...ถ้ามีเวลาก็จะมาแบ่งเป็นประสบการณ์ชีวิตใหม่ในครั้งต่อไป แต่จะบอกว่า..มันจะเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ แต่ตอนนี้..ผมเมื่อยที่จะพิมพ์แล้ว ขอพักสมองด้วยเพราะพิมพ์สดๆไม่มีสคลิปใดๆ ประกอบกับอาการไม่สบายยังไม่หายดี

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่