หลังจากที่ปล่อยห้องให้เหมือนเป็นเพียงสถานที่ซุกหัวนานอย่างเดียวมาเป็นเวลานาน สืบเนื่องจากการทำงานห้าวันแล้วเรียนอีกสองวัน ครบเจ็ดวัน วนลูปไปเรื่อยๆ แบบไม่ได้ตั้งตัวเลย จนผ่านมาสองปี ตั้งสติได้ หันกลับมามองห้องตัวเองอีกที โอ๊ะโห แทบไม่อยากเชื่อสายตาว่าใช้ชีวิตอยู่มาได้ยังไง พอได้รับวันเสาร์อาทิตย์คืนกลับมา แล้วเริ่มจัดตารางเวลาชีวิตตัวเองใหม่อีกครั้ง เลยคิดว่าจะต้องให้รางวัลตัวเองชิ้นใหญ่ซักหน่อย ต้อนรับอะไรหลายๆ อย่างที่กำลังจะคืบคลานเข้ามาในชีวิต อย่างน้อยก็ให้ได้มีห้องนอนน้อยๆ นี่แหละ เป็นหลุมหลบภัย พร้อมวาดฝันอยากจัดห้องใหม่
ไอเดียที่เราหามา คือเอารูปมาวางตัดแปะเพื่อเป็นแรงบันดาลใจแบบฝันเอาว่าอยากได้ประมาณนี้ แล้วเดี๋ยวมาดูความเป็นจริงกัน ว่าจะเป็นยังไง
คือห้องเดิมอยากพูดแก้ตัวก่อน ที่สีผนังห้องสวยสดขนาดนี้ ผ้าม่านเจ็บจิ๊ดขนาดนี้ ทุกอย่างมันดูลงตัวงดงามได้ขนาดนี้ ฮ่าๆ ประชดนะจ้ะ ประเด็นคือมันเริ่มมาจากว่า จำได้เลยว่าตอนเด็ก ๆ เราชอบสีเขียวมาก อยู่มาวันนึง เห็นหมวกกันนอคของพ่อเป็นสีเขียว แบบเขียวมะนาวเลยนะ เลยบอกว่า พ่อนี่แหละสีที่หนูอยากได้ พ่อก็เอาหมวกกันนอคไปให้ร้านผสมสีได้ออกมาเป็นสีทาห้องนอน ร้านเค้าก็ไม่เอะใจเลยเนอะ สีทาห้องนอนจะเจ็บจี๊ดไปไหน แต่พ่อก็เอามาบรรจงทาให้จนแล้วเสร็จ ได้เข้าอยู่มาเป็นเวลาหลายปี จนลืมไปแล้วว่าทาไปตั้งแต่ปีไหน ลามมาจนสีผ้าม่าน คือได้มรดกตกทอดจากป้า เป็นสีที่ป้าชอบ แล้วป้าเคยอยู่ห้องนี้มาก่อน ก็อ่ะ ใส่ไว้บังแดด บังสายตาคนข้างบ้าน แค่นั้นแล ไม่มีเหตุผลอื่นอันใด
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
พอมาวันนี้ มองดูแล้วมันคงถึงเวลาจริงๆ ที่จะต้องทำอะไรซักอย่าง ปรึกษากับพ่อ พ่อบอกอย่างแรกเลย สีทาห้องหล่ะลูก ที่ต้องเลือกใหม่ โอ่ย คิดหนัก เพราะห้องก็ต้องอยู่มันทุกวัน ทาห้องสี ต้องอพยบไปอยู่ที่ไหนดีละเนี่ย เพราะกลิ่นเอย อะไรเอย คิดไว้แล้ว งานช้างแน่ๆ แต่ก็ในเมื่อมันต้องทำ ยังไงก็ต้องลองดู อยากรู้เหมือนกันว่าจะเป็นยังไง
เช้าวันหยุดมีเวลาได้ออกไปเดินห้างเพื่อล่าสัตว์ วรั้ย ไม่ใช่ ห้างสรรพสินค้าสิจ้ะ ก็เลยแอบแวบไปหาของแต่งห้อง ก็ยังไปเล็งเฟอร์เล็งอุปกรณ์ตกแต่งมากมายเลยนะ กว่าจะนึกได้ว่าต้องเป็นสีที่ต้องนึกถึงเป็นอันดับต้นๆ เลยตั้งสติใหม่ ไปแผนกสีทาบ้านก่อนแล้วกันอ่ะ ไอเราก็เขินๆ ไม่เคยมาเดินดูสีเป็นถังๆ เนอะ มันก็แบบเริ่มต้นไม่ถูก โชคดีที่มีพนักงานเข้ามาช่วยคุยเหมือนเป็นเพื่อนเราอ่ะ เราก็ยิ่งเคลิ้มๆ ง่าย ก็ว่าไปตามนั้น เพราะคือมันต้องทา คุยไปคุยมา สรุปรู้แล้วว่าต้องทาสีแน่นอนหล่ะ แต่ไม่รู้เลยว่าต้องทาเท่าไร อันนี้แบบ ด้วยความไม่เตรียมตัวมา เลยต้องกลับมาวัดขนาดห้องซะก่อน แล้วค่อยกลับไปใหม่ โชคดีที่เจอพนักงานขายคนเดิม เลยไม่ต้องเริ่มเล่าเรื่องใหม่ คราวนี้พร้อมหน่อย มาพร้อมขนาดห้องและไอเดียที่ต้องการทำ แบบเฉดสีที่เซฟๆ มาจากพินเทอเรส ซึ่งแบบบ มหาศาลได้โล่ เข้าทีไรหลงทุกที คราวนี้พกพ่อมาด้วย ไม่เขิลและ เพราะเรื่องสีได้ทุนสนับสนุบจาก พรอ. พ่อเราเอง จากที่คุยมาได้ความว่า มีสีตัวนึงที่สามารถทาผนังภายในแล้วเข้าอยู่ได้เลย ไอเราก็เห้ย มันเกินไปมั้ยนะ แอบสงสัย อย่างน้อยก็ต้องวันสองวันมั้งกลิ่นถึงจะหมดไป
หลังจากที่ได้เฉดสีที่ต้องการมาเท่ากับที่คำนวณขนาดห้องแล้ว พนักงานก็จัดแจงสีทับหน้าพร้อมสีรองพื้นให้เสร็จ ง่ายดายปานสายฟ้าฟาดพ่อก็ปาดบัตรดังปรึ๊ดดด ขนสีขึ้นรถกลับบ้าน
ด้วยความที่พ่อมีโปรเจคใหม่ ยิ่งใหญ่กว่าเดิม ประจวบกับน้องเราปิดเทอมพอดี พ่อเลยออกกลอุบายว่าอยากจะทำห้องพระ จริงๆ ก็อยากทำห้องพระกันตั้งนานแล้วหล่ะ แต่ไม่มีเวลา ทีนี้เลยได้ข้อสรุปว่าจะทำห้องใหม่ ให้พ่อกับแม่ย้ายไปห้องเรา เพราะมีโซนให้แบ่งทำห้องพระได้ จากนั้นเราก็มาดูห้องที่เราต้องย้ายมา คือห้องเดิมของพ่อกับแม่ เปิดประตูเข้าไปก็มีความค่อนข้างสี่เหลี่ยม หน้าต่างสองฝั่ง ผนังสองฝั่ง แน่ๆหล่ะว่าฝั่งนึงจะต้องเป็นตู้เสื้อผ้า ถ้าจะตู้เดิมมันก็จะธรรมดาไป
พ่อเลยออกกลอุบายที่สองว่าเอาตู้ข้างล่างขึ้นไปสิ สีขาวดีไซน์สวย เดี๋ยวยกขึ้นเลยไม่ยากๆ เราก็อ่ะ โอเค เช้ามาก็สะสางห้องพ่อกับแม่ก่อนเลย แต่เหมือนพ่อยังมีความกังวลใจเล็กน้อย กลัวจะเอาตู้เข้าไม่ได้ เพราะถ้าเลี้ยวจากบันได มันต้องติดช่วงหัวบันไดแน่ๆ แต่พ่อก็จะพูดปลอบใจตลอดว่า ไม่ยากลูกไม่ยาก โอเคจ้ะพ่อ หนูก็ว่าไม่
ขั้นตอนไม่มีอะไรยาก อย่างแรกเลยคือเปิดฝ้าเพดานบ้าน หาขื่อบ้านที่คิดว่าใส่รอกได้
ย้ายตู้มาด้วยการเอาเหล็กท่อนใส่ใต้ตู้แล้วไสไสมา ไสมาจนถึงบันไดแบบใกล้ที่สุด มัดเชือกให้พร้อม ไม้จะหัก ลิ้นชักจะหลุดก็ไม่เป็นไร แค่เอาขึ้นไปให้ได้ก็พอ จากชั้นหนึ่ง ลอยขึ้นมาเรื่อยๆ ขึ้นมาเรื่อยๆ จนเกือบจะขึ้นมาถึงชั้นสอง ก็พบว่า ถ้าจะเอาขึ้นสูงกว่านี้คือทะลุหลังคาแน่นอน พ่อเลยต้องยอมถอดราวบันไดชั่วคราว จากที่ฝ้าเริ่มโดนเปิดออกจนเกือบจะหมด ราวบันไดก็ต้องโดนด้วยเหมือนกัน จนแล้วจนรอด กว่าจะเอาขึ้นมาตั้งบนพื้นชั้นสองได้

แหละนี่ คือจุดเริ่มต้นของเรื่องนี้ พอเอาขึ้นมาตั้งได้ แต่มันเลี้ยวเข้าห้องไม่ได้ ติดกำแพงมั่งหล่ะ ติดหัวบันไดมั่งหล่ะ ติดวงกบประตูมั่งหล่ะ แม่บอกสงสัยต้องต้องทุบกำแพงออกแล้วก่อใหม่ โอ๊วว อย่าขนาดนั้นเลยเนอะแม่จ๋า หลังจากที่หมุนกันอยู่นาน ทั้งใช้รอกช่วยและใช้แรงยก หมุนทางนี้ขึ้นทางนั้นลง เอาด้านนี้เลี้ยวโค้งเอาด้านนั้นมาเข้า โอเค พ่อยอม พ่อเลยออกกลอุบายที่สาม งั้นพ่อว่าพ่อจะตัดตู้แล้วค่อยไปประกอบข้างใน ผ่ามมม
พวกเฟอร์นิเจอร์ที่เอาเข้าคอนโนงี้ เค้าก็เอาเข้ากันเป็นชิ้นอ่ะเนอะ แล้วค่อยไปประกอบก็ไม่เห็นแปลก แต่ตู้อันนี้อ่ะสิ มันเป็นชิ้นเดียวกันทั้งตู้เลย ใจเรานี่ก็แบบ นอกจากจะพังทั้งบ้าน แล้วยังต้องพังตัดครึ่งตู้อีก ใจเริ่มถอด แต่พ่อก็ไม่ยอมแพ้ เพราะแม่บอก เอาเลยพ่อ จะได้ไปทำอย่างอื่น 55555 โอเค จัดไป พ่อก็ลงไปเอาเครื่องเจียรมาเสียปลั๊ก ปาดดดดดด้านบน ปาดดด ด้านล่าง ปาดหน้าปาดหลัง โหยเสียงสนั่น หูดับกันไปแปดรอบ เพราะเสียงสนั่นมาก ข้างบ้านคงสงสัยว่าบ้านนี้ก่อสร้างอะไรกันอีกแล้ว พอแยกชิ้นได้ จะเอาชิ้นบนเข้าก่อนก็ไม่ได้นะ ต้องเอาชิ้นบนมาตั้งวางไว้ก่อน แล้วยกชิ้นล่างตั้ง เอาเข้าแนวตั้ง เพราะมันสั้นกว่าโค้งไม่ได้ แล้วค่อยเอาอีกชิ้นเข้า คือทั้งยกทั้งขำ เราต้องทำกันขนาดนี้เลยหรือ 5555 กว่าจะเอาเข้ามาได้ แทบสิ้นพลัง สภาพก็เป็นอย่างที่เห็น

หลังจากที่เสียเวลากับตู้มามากแล้ว ก็เริ่มรองพื้นปูนไว้ก่อนเลย เพราะห้องนี้ทาสีไว้ค่อนข้างนานแล้ว เลยได้รองพื้นตัวนี้มา พนักงานขายก็แนะนำว่าสามารถใช้กับผนังภายในที่สภาพแบบห้องเราได้ เพราะวันไปแอบถ่ายรูปไปให้เค้าดูด้วย เลยได้ตัวนี้มา จำได้ว่ารองพื้นทาแค่รอบเดียวนะ เราก็เริ่มละเลงเลย อย่างแรกเลยก็ปิดกันเปื้อนก่อนเพิ่มความมั่นใจคิดเองว่าช่วยได้ จากนั้นเปิดฝาแล้วก็ทำการสูดกลิ่น เอ้ย ไม่ใช่ เอาไม้คนสิจ้ะ แต่เนื้อมันค่อนข้างใสและเหลวมาก คนไปก็เท่านั้นก็เลยเท แล้วทาเลยจ้า

ในถังถ้าดูจะเห็นเป็นสีขาวๆ พอทาจริงบนผนังกลับเป็นสีใสๆ และมีเนื้อเหมือนกาวเลยอ่ะ ที่รู้เพราะแอบสบัดมาโดนตัวเอง แล้วพอลอกออกนางดึงขนเราไปด้วย เจ็บๆ คันๆ แต่จริงๆ ต้องระวังนะ อย่าให้โดนผิวหนังน่าจะดีกว่า เพราะเท่าที่เราเห็นตอนทาขึ้นผนัง เหมือนมันกัดสีเก่าออกมาด้วยแบบเบาๆ แล้วก็แอบขึ้นเงาเบาๆ ด้วยตอนที่มันแห้งแล้ว ทีนี้ก็ทิ้งไว้
สีจริงที่เราเลือกมา อันนี้เป็นเฉดที่อยากได้ ออกแนวอวกาศๆหน่อย อยากได้ความรู้สึกประหนึ่งว่ากลับห้องมา จะต้องได้อยู่ Space ของตัวเองจริงๆ นั่นว่าไปไกล

โทนสีจะเป็นแนวเทาๆ จั๊กหน่อย ส่วนพวกเรื่องคุณสมบัติสีเอาจริงๆ ก็เชื่อคนขายนั่นหล่ะ เพราะแค่อยากได้แบบที่ไม่มีกลิ่น เพราะทาเสร็จแล้วจะได้เปิดแอร์จัดของเข้าห้องได้เลย พนักงานขายเลยแนะนำตัวนี้ ว่าแล้วก็ไม่รอช้า หลังจากทิ้งรองพื้นไว้ได้ สองชั่วโมงแล้ว ก็เริ่มทาสีทับหน้ารอบแรกเลย เปิดฝามาแล้วก็คนสีซักหน่อยเผื่อเนื้อสีนอนก้นถัง

คือเห็นได้ชัดว่ามันค่อนข้างกลบสีเดิมได้ดีเลยทีเดียว แถมยังมีกลิ่นอ่อน ไม่ปวดจมูกเวลาทาด้วยนะ ตอนแรกก่ะว่าจะเปิดสีมาแล้วนั่งดมแบบกาวถุงที่คุ้นชินซักหน่อย แฮ่ ล้อเล่น ไม่ใช่อย่างนั้น ตรงผนังที่เป็นพื้นที่ใหญ่ๆ ก็จะใช้ลูกกลิ้งเพื่อความรวดเร็ว ส่วนพวกขอบฝ้าเพดาน วงกบก็จะใช้แปรงจุ่มแล้วทาเก็บงานตามๆ กันไป ตอนที่ใช้แปรงคือต้องทาใกล้ ๆ แต่ก็แปลกใจนะ คือมันก็ยังไม่มีกลิ่นแบบเตะจมูกกวนใจตอนทาเลย ทาได้แบบสบายๆ มากเลย เอาจริงๆ แล้วการทาเก็บส่วนยิบๆ ย่อยๆ นี่แหละยากกว่ากลิ้งพื้นที่ใหญ่ซะอีก ต้องค่อยๆ เลาะเก็บให้เรียบร้อย

เรียบร้อย รอบแรกจบเรียบร้อย พอมามองภาพรวมสีทำไมมันออกเขียวๆ ตอนที่เลือกมา มันน่าจะเทากว่านี้ ใจสั่นๆ มันใช่มั้ยว๊าาา แต่คงเพราะอันนี้เป็นรอบแรก แล้วรองพื้นเป็นสีใส สีเลยยังขึ้นเฉดไม่ชัด เดี๋ยวมาดูที่รอบสองกันอีกที เลยพักกินน้ำกินหนมจั๊กหน่อย คือทาสีไปนั่งกินในห้องได้เลย เออยอมใจความกลิ่นอ่อนของนางนะเอาจริงๆ ก็ได้อยู่ ง่ายกว่ายกตู้ตะกี้ผิดหูผิดตาเลยจ้าาา

หมายเหตุ : ขอเอาคุณลุงมาแปะ บดบังพ่อเราเอง พอดีช่างใหญ่แต่งตัวไม่ค่อยเรียบร้อย ฮี่ๆ
พอเริ่มลงรอบสอง รู้สึกได้ว่าอากาศมันร้อนๆ เลยเปิดแอร์ทาสีมันซะเลย เอาสิเมื่อกี้เปิดหน้าต่างทานางเลยไม่มีกลิ่นทีนี้ลองเปิดแอร์ทาดูบ้าง ปรากฎว่าเออนางก็ยังคงคอนเซปความกลิ่นอ่อนอยู่อ่า ชนะเลิศ ทารอบสองกลิ้งจนทั่วห้องแล้วก็เก็บรายละเอียดส่วนอื่นที่ขอบหน้าต่างแล้วก็ฝ้าเพดานอีกรอบ จนเสร็จ งานเก็บยังไงก็ชนะงานกลิ้งอยู่ดีคือใช้เวลามาก เล็มแล้วเล็มอีก เอาให้สวยเพราะคนที่อยู่ก็คือตัวเรานี่แหละ ไม่ใช่ใคร
ต่อในคอมเม้นเนอะ ตัวอักษรเกินแล้ว ฮือออ
[CR] [ลองแล้วเล่า Ep.3] ย้ายตู้ใบเดียวพังเกือบครึ่งบ้าน สนุกสนานสไตล์บ้านเราเอง.
ไอเดียที่เราหามา คือเอารูปมาวางตัดแปะเพื่อเป็นแรงบันดาลใจแบบฝันเอาว่าอยากได้ประมาณนี้ แล้วเดี๋ยวมาดูความเป็นจริงกัน ว่าจะเป็นยังไง
คือห้องเดิมอยากพูดแก้ตัวก่อน ที่สีผนังห้องสวยสดขนาดนี้ ผ้าม่านเจ็บจิ๊ดขนาดนี้ ทุกอย่างมันดูลงตัวงดงามได้ขนาดนี้ ฮ่าๆ ประชดนะจ้ะ ประเด็นคือมันเริ่มมาจากว่า จำได้เลยว่าตอนเด็ก ๆ เราชอบสีเขียวมาก อยู่มาวันนึง เห็นหมวกกันนอคของพ่อเป็นสีเขียว แบบเขียวมะนาวเลยนะ เลยบอกว่า พ่อนี่แหละสีที่หนูอยากได้ พ่อก็เอาหมวกกันนอคไปให้ร้านผสมสีได้ออกมาเป็นสีทาห้องนอน ร้านเค้าก็ไม่เอะใจเลยเนอะ สีทาห้องนอนจะเจ็บจี๊ดไปไหน แต่พ่อก็เอามาบรรจงทาให้จนแล้วเสร็จ ได้เข้าอยู่มาเป็นเวลาหลายปี จนลืมไปแล้วว่าทาไปตั้งแต่ปีไหน ลามมาจนสีผ้าม่าน คือได้มรดกตกทอดจากป้า เป็นสีที่ป้าชอบ แล้วป้าเคยอยู่ห้องนี้มาก่อน ก็อ่ะ ใส่ไว้บังแดด บังสายตาคนข้างบ้าน แค่นั้นแล ไม่มีเหตุผลอื่นอันใด
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
พอมาวันนี้ มองดูแล้วมันคงถึงเวลาจริงๆ ที่จะต้องทำอะไรซักอย่าง ปรึกษากับพ่อ พ่อบอกอย่างแรกเลย สีทาห้องหล่ะลูก ที่ต้องเลือกใหม่ โอ่ย คิดหนัก เพราะห้องก็ต้องอยู่มันทุกวัน ทาห้องสี ต้องอพยบไปอยู่ที่ไหนดีละเนี่ย เพราะกลิ่นเอย อะไรเอย คิดไว้แล้ว งานช้างแน่ๆ แต่ก็ในเมื่อมันต้องทำ ยังไงก็ต้องลองดู อยากรู้เหมือนกันว่าจะเป็นยังไง
เช้าวันหยุดมีเวลาได้ออกไปเดินห้างเพื่อล่าสัตว์ วรั้ย ไม่ใช่ ห้างสรรพสินค้าสิจ้ะ ก็เลยแอบแวบไปหาของแต่งห้อง ก็ยังไปเล็งเฟอร์เล็งอุปกรณ์ตกแต่งมากมายเลยนะ กว่าจะนึกได้ว่าต้องเป็นสีที่ต้องนึกถึงเป็นอันดับต้นๆ เลยตั้งสติใหม่ ไปแผนกสีทาบ้านก่อนแล้วกันอ่ะ ไอเราก็เขินๆ ไม่เคยมาเดินดูสีเป็นถังๆ เนอะ มันก็แบบเริ่มต้นไม่ถูก โชคดีที่มีพนักงานเข้ามาช่วยคุยเหมือนเป็นเพื่อนเราอ่ะ เราก็ยิ่งเคลิ้มๆ ง่าย ก็ว่าไปตามนั้น เพราะคือมันต้องทา คุยไปคุยมา สรุปรู้แล้วว่าต้องทาสีแน่นอนหล่ะ แต่ไม่รู้เลยว่าต้องทาเท่าไร อันนี้แบบ ด้วยความไม่เตรียมตัวมา เลยต้องกลับมาวัดขนาดห้องซะก่อน แล้วค่อยกลับไปใหม่ โชคดีที่เจอพนักงานขายคนเดิม เลยไม่ต้องเริ่มเล่าเรื่องใหม่ คราวนี้พร้อมหน่อย มาพร้อมขนาดห้องและไอเดียที่ต้องการทำ แบบเฉดสีที่เซฟๆ มาจากพินเทอเรส ซึ่งแบบบ มหาศาลได้โล่ เข้าทีไรหลงทุกที คราวนี้พกพ่อมาด้วย ไม่เขิลและ เพราะเรื่องสีได้ทุนสนับสนุบจาก พรอ. พ่อเราเอง จากที่คุยมาได้ความว่า มีสีตัวนึงที่สามารถทาผนังภายในแล้วเข้าอยู่ได้เลย ไอเราก็เห้ย มันเกินไปมั้ยนะ แอบสงสัย อย่างน้อยก็ต้องวันสองวันมั้งกลิ่นถึงจะหมดไป
หลังจากที่ได้เฉดสีที่ต้องการมาเท่ากับที่คำนวณขนาดห้องแล้ว พนักงานก็จัดแจงสีทับหน้าพร้อมสีรองพื้นให้เสร็จ ง่ายดายปานสายฟ้าฟาดพ่อก็ปาดบัตรดังปรึ๊ดดด ขนสีขึ้นรถกลับบ้าน
ด้วยความที่พ่อมีโปรเจคใหม่ ยิ่งใหญ่กว่าเดิม ประจวบกับน้องเราปิดเทอมพอดี พ่อเลยออกกลอุบายว่าอยากจะทำห้องพระ จริงๆ ก็อยากทำห้องพระกันตั้งนานแล้วหล่ะ แต่ไม่มีเวลา ทีนี้เลยได้ข้อสรุปว่าจะทำห้องใหม่ ให้พ่อกับแม่ย้ายไปห้องเรา เพราะมีโซนให้แบ่งทำห้องพระได้ จากนั้นเราก็มาดูห้องที่เราต้องย้ายมา คือห้องเดิมของพ่อกับแม่ เปิดประตูเข้าไปก็มีความค่อนข้างสี่เหลี่ยม หน้าต่างสองฝั่ง ผนังสองฝั่ง แน่ๆหล่ะว่าฝั่งนึงจะต้องเป็นตู้เสื้อผ้า ถ้าจะตู้เดิมมันก็จะธรรมดาไป
พ่อเลยออกกลอุบายที่สองว่าเอาตู้ข้างล่างขึ้นไปสิ สีขาวดีไซน์สวย เดี๋ยวยกขึ้นเลยไม่ยากๆ เราก็อ่ะ โอเค เช้ามาก็สะสางห้องพ่อกับแม่ก่อนเลย แต่เหมือนพ่อยังมีความกังวลใจเล็กน้อย กลัวจะเอาตู้เข้าไม่ได้ เพราะถ้าเลี้ยวจากบันได มันต้องติดช่วงหัวบันไดแน่ๆ แต่พ่อก็จะพูดปลอบใจตลอดว่า ไม่ยากลูกไม่ยาก โอเคจ้ะพ่อ หนูก็ว่าไม่
ขั้นตอนไม่มีอะไรยาก อย่างแรกเลยคือเปิดฝ้าเพดานบ้าน หาขื่อบ้านที่คิดว่าใส่รอกได้
ย้ายตู้มาด้วยการเอาเหล็กท่อนใส่ใต้ตู้แล้วไสไสมา ไสมาจนถึงบันไดแบบใกล้ที่สุด มัดเชือกให้พร้อม ไม้จะหัก ลิ้นชักจะหลุดก็ไม่เป็นไร แค่เอาขึ้นไปให้ได้ก็พอ จากชั้นหนึ่ง ลอยขึ้นมาเรื่อยๆ ขึ้นมาเรื่อยๆ จนเกือบจะขึ้นมาถึงชั้นสอง ก็พบว่า ถ้าจะเอาขึ้นสูงกว่านี้คือทะลุหลังคาแน่นอน พ่อเลยต้องยอมถอดราวบันไดชั่วคราว จากที่ฝ้าเริ่มโดนเปิดออกจนเกือบจะหมด ราวบันไดก็ต้องโดนด้วยเหมือนกัน จนแล้วจนรอด กว่าจะเอาขึ้นมาตั้งบนพื้นชั้นสองได้
แหละนี่ คือจุดเริ่มต้นของเรื่องนี้ พอเอาขึ้นมาตั้งได้ แต่มันเลี้ยวเข้าห้องไม่ได้ ติดกำแพงมั่งหล่ะ ติดหัวบันไดมั่งหล่ะ ติดวงกบประตูมั่งหล่ะ แม่บอกสงสัยต้องต้องทุบกำแพงออกแล้วก่อใหม่ โอ๊วว อย่าขนาดนั้นเลยเนอะแม่จ๋า หลังจากที่หมุนกันอยู่นาน ทั้งใช้รอกช่วยและใช้แรงยก หมุนทางนี้ขึ้นทางนั้นลง เอาด้านนี้เลี้ยวโค้งเอาด้านนั้นมาเข้า โอเค พ่อยอม พ่อเลยออกกลอุบายที่สาม งั้นพ่อว่าพ่อจะตัดตู้แล้วค่อยไปประกอบข้างใน ผ่ามมม
พวกเฟอร์นิเจอร์ที่เอาเข้าคอนโนงี้ เค้าก็เอาเข้ากันเป็นชิ้นอ่ะเนอะ แล้วค่อยไปประกอบก็ไม่เห็นแปลก แต่ตู้อันนี้อ่ะสิ มันเป็นชิ้นเดียวกันทั้งตู้เลย ใจเรานี่ก็แบบ นอกจากจะพังทั้งบ้าน แล้วยังต้องพังตัดครึ่งตู้อีก ใจเริ่มถอด แต่พ่อก็ไม่ยอมแพ้ เพราะแม่บอก เอาเลยพ่อ จะได้ไปทำอย่างอื่น 55555 โอเค จัดไป พ่อก็ลงไปเอาเครื่องเจียรมาเสียปลั๊ก ปาดดดดดด้านบน ปาดดด ด้านล่าง ปาดหน้าปาดหลัง โหยเสียงสนั่น หูดับกันไปแปดรอบ เพราะเสียงสนั่นมาก ข้างบ้านคงสงสัยว่าบ้านนี้ก่อสร้างอะไรกันอีกแล้ว พอแยกชิ้นได้ จะเอาชิ้นบนเข้าก่อนก็ไม่ได้นะ ต้องเอาชิ้นบนมาตั้งวางไว้ก่อน แล้วยกชิ้นล่างตั้ง เอาเข้าแนวตั้ง เพราะมันสั้นกว่าโค้งไม่ได้ แล้วค่อยเอาอีกชิ้นเข้า คือทั้งยกทั้งขำ เราต้องทำกันขนาดนี้เลยหรือ 5555 กว่าจะเอาเข้ามาได้ แทบสิ้นพลัง สภาพก็เป็นอย่างที่เห็น
หลังจากที่เสียเวลากับตู้มามากแล้ว ก็เริ่มรองพื้นปูนไว้ก่อนเลย เพราะห้องนี้ทาสีไว้ค่อนข้างนานแล้ว เลยได้รองพื้นตัวนี้มา พนักงานขายก็แนะนำว่าสามารถใช้กับผนังภายในที่สภาพแบบห้องเราได้ เพราะวันไปแอบถ่ายรูปไปให้เค้าดูด้วย เลยได้ตัวนี้มา จำได้ว่ารองพื้นทาแค่รอบเดียวนะ เราก็เริ่มละเลงเลย อย่างแรกเลยก็ปิดกันเปื้อนก่อนเพิ่มความมั่นใจคิดเองว่าช่วยได้ จากนั้นเปิดฝาแล้วก็ทำการสูดกลิ่น เอ้ย ไม่ใช่ เอาไม้คนสิจ้ะ แต่เนื้อมันค่อนข้างใสและเหลวมาก คนไปก็เท่านั้นก็เลยเท แล้วทาเลยจ้า
ในถังถ้าดูจะเห็นเป็นสีขาวๆ พอทาจริงบนผนังกลับเป็นสีใสๆ และมีเนื้อเหมือนกาวเลยอ่ะ ที่รู้เพราะแอบสบัดมาโดนตัวเอง แล้วพอลอกออกนางดึงขนเราไปด้วย เจ็บๆ คันๆ แต่จริงๆ ต้องระวังนะ อย่าให้โดนผิวหนังน่าจะดีกว่า เพราะเท่าที่เราเห็นตอนทาขึ้นผนัง เหมือนมันกัดสีเก่าออกมาด้วยแบบเบาๆ แล้วก็แอบขึ้นเงาเบาๆ ด้วยตอนที่มันแห้งแล้ว ทีนี้ก็ทิ้งไว้
สีจริงที่เราเลือกมา อันนี้เป็นเฉดที่อยากได้ ออกแนวอวกาศๆหน่อย อยากได้ความรู้สึกประหนึ่งว่ากลับห้องมา จะต้องได้อยู่ Space ของตัวเองจริงๆ นั่นว่าไปไกล
โทนสีจะเป็นแนวเทาๆ จั๊กหน่อย ส่วนพวกเรื่องคุณสมบัติสีเอาจริงๆ ก็เชื่อคนขายนั่นหล่ะ เพราะแค่อยากได้แบบที่ไม่มีกลิ่น เพราะทาเสร็จแล้วจะได้เปิดแอร์จัดของเข้าห้องได้เลย พนักงานขายเลยแนะนำตัวนี้ ว่าแล้วก็ไม่รอช้า หลังจากทิ้งรองพื้นไว้ได้ สองชั่วโมงแล้ว ก็เริ่มทาสีทับหน้ารอบแรกเลย เปิดฝามาแล้วก็คนสีซักหน่อยเผื่อเนื้อสีนอนก้นถัง
คือเห็นได้ชัดว่ามันค่อนข้างกลบสีเดิมได้ดีเลยทีเดียว แถมยังมีกลิ่นอ่อน ไม่ปวดจมูกเวลาทาด้วยนะ ตอนแรกก่ะว่าจะเปิดสีมาแล้วนั่งดมแบบกาวถุงที่คุ้นชินซักหน่อย แฮ่ ล้อเล่น ไม่ใช่อย่างนั้น ตรงผนังที่เป็นพื้นที่ใหญ่ๆ ก็จะใช้ลูกกลิ้งเพื่อความรวดเร็ว ส่วนพวกขอบฝ้าเพดาน วงกบก็จะใช้แปรงจุ่มแล้วทาเก็บงานตามๆ กันไป ตอนที่ใช้แปรงคือต้องทาใกล้ ๆ แต่ก็แปลกใจนะ คือมันก็ยังไม่มีกลิ่นแบบเตะจมูกกวนใจตอนทาเลย ทาได้แบบสบายๆ มากเลย เอาจริงๆ แล้วการทาเก็บส่วนยิบๆ ย่อยๆ นี่แหละยากกว่ากลิ้งพื้นที่ใหญ่ซะอีก ต้องค่อยๆ เลาะเก็บให้เรียบร้อย
เรียบร้อย รอบแรกจบเรียบร้อย พอมามองภาพรวมสีทำไมมันออกเขียวๆ ตอนที่เลือกมา มันน่าจะเทากว่านี้ ใจสั่นๆ มันใช่มั้ยว๊าาา แต่คงเพราะอันนี้เป็นรอบแรก แล้วรองพื้นเป็นสีใส สีเลยยังขึ้นเฉดไม่ชัด เดี๋ยวมาดูที่รอบสองกันอีกที เลยพักกินน้ำกินหนมจั๊กหน่อย คือทาสีไปนั่งกินในห้องได้เลย เออยอมใจความกลิ่นอ่อนของนางนะเอาจริงๆ ก็ได้อยู่ ง่ายกว่ายกตู้ตะกี้ผิดหูผิดตาเลยจ้าาา
พอเริ่มลงรอบสอง รู้สึกได้ว่าอากาศมันร้อนๆ เลยเปิดแอร์ทาสีมันซะเลย เอาสิเมื่อกี้เปิดหน้าต่างทานางเลยไม่มีกลิ่นทีนี้ลองเปิดแอร์ทาดูบ้าง ปรากฎว่าเออนางก็ยังคงคอนเซปความกลิ่นอ่อนอยู่อ่า ชนะเลิศ ทารอบสองกลิ้งจนทั่วห้องแล้วก็เก็บรายละเอียดส่วนอื่นที่ขอบหน้าต่างแล้วก็ฝ้าเพดานอีกรอบ จนเสร็จ งานเก็บยังไงก็ชนะงานกลิ้งอยู่ดีคือใช้เวลามาก เล็มแล้วเล็มอีก เอาให้สวยเพราะคนที่อยู่ก็คือตัวเรานี่แหละ ไม่ใช่ใคร
ต่อในคอมเม้นเนอะ ตัวอักษรเกินแล้ว ฮือออ