กระทู้นี้อาจจะไม่มีประโยชน์อะไรกับใครเลย เพราะเราเพียงแค่อยากเขียนไว้อ่านเอง
เพื่อวันข้างหน้ายามที่ชีวิตเต็มไปด้วยความมืดมิดของอกุศลจิต เราจะกลับมาอ่านอีกครั้ง
และระลึกถึงความสว่างไสวในจิตใจ ว่ามีสภาพเช่นไร
เพื่อจะเตื่อนตัวเองว่า
สุข ทุกข์ ไม่เที่ยง
กุศล อกุศล ไม่เที่ยง..
เราจึงต้องขออภัย หากเราได้สร้างความรำคาญแก่ใครนะคะ
แต่เราก็ยังมีความหวังลึกๆ ว่าเรื่องของเราจะเป็นกำลังใจให้ใครได้บ้าง
อย่างน้อยก็ได้เห็น ว่าชีวิตทุกคนต่างก็มีทุกข์สุขคละเคล้ากันไป
ผิดหวัง และสมหวังเป็นเรื่องธรรมดาที่ต้องเจอ
คุณและเราก็ไม่ได้ต่างอะไรกันเลย..
เราเป็นคนหนึ่ง ที่ได้เดินผ่านความสำเร็จ และล้มเหลวในเวลาใกล้ๆกันเสมอ
เราเคยสอบได้ที่โหล่ของห้อง ตอนม.2 ..โดนล้อเลียนจนอับอาย ถูกส่ายหน้ามองด้วยความผิดหวัง
และสอบได้ที่หนึ่งของห้อง ตอนม.4
เป็นนศ.ที่มีผลการเรียนธรรมดามาก ตอนป.ตรี
และเป็นนศ.ที่เรียนจบเป็นคนแรกของรุ่น เกือบได้ 4.00 ตอนป.โท ..โดนยกยอปอปั้น เป็นนศ. Idol ของรุ่นถัดไป
เราเคยฝืนใจทำงานที่ไม่ชอบมากๆ ขนาดที่ตั้งคำถามตัวเองทุกเช้าว่านี่เรากำลังทำอะไรอยู่ ชีวิตมันน่าเบื่อขนาดนี้เชียวหริอ
และเคยทำงานที่สนุกท้าทาย ได้ลิ้มรสความสำเร็จด้วยการเลื่อนขั้น ได้อยู่ในตำแหน่งงานที่ใฝ่ฝันมานาน คือ ผู้จัดการ
แต่ความสำเร็จนั้นก็พังทลายลงในเวลาเพียงไม่กี่เดือน ด้วยปัจจัยหลายๆอย่าง รวมไปถึงความไม่พร้อมของตัวเราเองด้วย
เราเคยมีความรักที่ดี กับผู้ชายที่อบอุ่น และเข้ากับเราได้ทุกเรื่อง
แต่ความสุขนั้นก็พินาศลง เมื่อพบว่าเราเพียงแค่ถูกหลอก
เค้ามีครอบครัวแล้ว..
เราเคยแต่งงานกับคนที่น่ารัก เพื่อพบว่าไม่นานเราจะมีเหตุให้ต้องแยกจากกันด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่อง
เราผ่านช่วงเวลาของความดีใจเสียใจมามากมาย แต่เราก็ยังอยากจะหวัง เพื่อจะสมหวัง และผิดหวังเรื่องแล้วเรื่องเล่า
ตอนนั้นเราเชื่อว่าชีวิตที่มีค่า คือการที่เราตั้งความหวังไว้อยู่เสมอ และพยายามเพื่อจะสมหวังให้ได้
เราคิดว่าความผิดหวังบ่อยๆของเราจะเป็นภูมิต้านทานความทุกข์ให้เราได้
... แต่มันไม่จริงเลย
ความหวัง และความสำเร็จทำให้ ตัวกูของกูเหนียวแน่นขึ้น เป็นยางเหนียวทำให้เราไม่ปล่อยอะไรง่ายๆ รวมไปถึงความเสียใจด้วย
..วันนึง เมื่อเราเจอทุกข์แสนสาหัสในชีวิต เศร้าเสียใจจนไม่สามารถควบคุมสติตัวเองให้ทำงานได้
เราต้องรีบวิ่งเข้าห้องน้ำทุกๆชั่วโมง เพื่อไปแอบร้องไห้ เพราะเราไม่อยากให้ใครเห็นน้ำตา
เรามีเพื่อนสนิทบ้าง แต่ไม่มีใครสามารถดึงเราให้ลุกขึ้นจากความทุกข์ในครั้งนั้นได้เลย
ทุกคำปลอบใจของเพื่อนเรา ผ่านเข้าหูเรา แต่ไม่เคยลงไปถึงใจ
เราเองก็เป็นผุ้ใหญ่แล้ว ผ่านทุกข์/สุขมามากแล้ว แต่ทำไมคราวนี้จึงไม่สามารถควบคุมสติตัวเอง
เราต้องลุกขึ้นให้ได้ ..ทำยังไงดี .. ทำยังไงดี.. เราถามตัวเองตลอดเวลา
แล้วเราก็ทำในสิ่งที่ไม่เคยคิดจะทำมาก่อน ด้วยการนุ่งขาวห่มขาว แฝงตัวเข้าไปแอบสวดมนต์ทำวัตรเช้า-เย็น และปฎิบัติธรรมรวมกับโยคีในวัดแห่งหนึ่ง
เราไม่สามารถไปบวชเต็มเวลาในขณะนั้นได้ เพราะภาระหน้าที่ และใจที่ยังไม่พร้อม
เรายอมรับว่าตอนนั้น เรากลัวความลำบากในการบวชเนกขัมมะ
เราจึงใช้เวลาแค่3-4 ชม.หลังเลิกงานทุกวัน และเกือบทั้งวัน ในวันเสาร์-อาทิตย์ ไปอยู่ร่วมกับโยคี
ตอนนั้นเราไม่รู้เรื่องหรอกว่าอะไรคือ สติปัฏฐาน เค้าให้นั่งเราก็นั่ง เค้าให้เดินเราก็เดิน ทำๆไปงั้น หวังจะฆ่าเวลาเท่านั้นเอง
ทำไปร้องไห้ไปก็มี ฟุ้งซ่านจนแทบคลั่งก็เคย แต่ก็ตั้งใจปฎิบัติ หวังว่าอะไรๆจะดีขึ้นบ้าง ดีกว่าอยู่บ้านดูทีวี
และคำๆหนึ่งจากแม่ชีก็กินใจเราเหลือเกิน จนปลดเปลื้องเราออกมาจากเมฆหมอกแห่งความเศร้าได้ คือคำว่า ..
“ เสียใจก็ให้รู้ว่าเสียใจ “
..มันเป็นคำที่เปลี่ยนชีวิตเราไปตลอดกาล
หลังจากนั้น เราก็หัดฝึกปฎิบัติธรรมที่บ้าน ไปบวชที่วัดบ้างเมื่อสะสางภาระหน้าที่แล้ว
และฟังธรรมจากยูทูปไม่เคยขาด..
ทุกครั้งที่ฟังธรรม ใจช่างสงบเบาสบายเหลือเกิน มีความสุขอย่างบอกไม่ถูก เมื่อมีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง
มันสว่างสดใส แม้เพียงแค่ในยามจัดดอกไม้บูชาพระบนหิ้ง ใจก็เป็นสุขจนไม่สามารถอธิบายเป็นคำพูดได้แล้ว
มันเป็นสุขลึกๆ สุขแบบเย็นๆ สุขที่ไม่ต้องกลัวใครมาแย่งชิง
มันเป็นสุขที่ไม่มีความบีบคั้น ไม่เต็มไปด้วยความอยากเอาเข้าตัว หรือผลักไสออกจากตัว
มันเป็นแค่เศษเสี้ยวของกระแสความสุข ที่ปุถุชนธรรมดาอย่างเราสัมผัสได้ แล้วสุขจริงๆจะขนาดไหน
ยิ่งไปกว่านั้น ..เมื่อได้เรียนรู้ว่า สมบัติที่มีค่าที่สุดของการเป็นมนุษย์ คือ “ศีลธรรม”
เราก็ไม่รู้สึกด้อยค่าอีกต่อไป ที่มีฐานะเพียงแค่พออยู่พอกิน
เราไม่คิดทะเยอทะยานอยากได้อะไรอีก แต่เรายังทำทุกอย่างด้วยความเต็มใจ ตั้งใจ เพื่อให้มีสติอยู่กับปัจจุบัน
เหมือนชาวสวนผลไม้ ที่ใส่ใจต้นไม้ทุกต้น โดยไม่คาดหวังว่ามันจะออกผลเมื่อไหร่
เราไม่คิดเปรียบเทียบตัวเองกับใคร และไม่อยากเพิ่มทุกข์ให้ใคร
เพราะความศรัทธาในกฎแห่งกรรม
ชีวิตเราถูกขับเคลื่อนด้วยสิ่งนี้ ไม่ใช่ด้วยการตั้งความหวัง เพื่อสมหวังและผิดหวังอีกต่อไปแล้ว..
ทุกวันนี้ เราก็ยังเป็นคนที่ไม่สมหวังอะไรเหมือนเดิม..
เราใช้ชีวิตอย่างคนไม่หวัง แต่ไม่สิ้นหวัง
เรายังร้องไห้ มีน้ำตา เมื่อพบการพลัดพราก สูญสีย
แต่มันเป็นความเสียใจที่ไม่ยืดเยื้อ เพราะเราเยียวยาความเสียใจนั้นได้ด้วยการรู้สึกตัว
..ขอบคุณทุกความดีที่เคยทำ ที่ทำให้เราได้เกิดเป็นมนุษย์ พบพระพุทธศาสนา..
....................................................................................
ความสุขมีเงื่อนไขมาก.. คือความสุขคุณภาพต่ำ
ความสุขมีเงื่อนไขน้อย.. คือความสุขคุณภาพดี
ความสุขไม่มีเงื่อนไข.. คือความสุขสูงสุด
#พระอาจารย์ชยสาโร
แสงสว่างของจิตใจ .. ขอบคุณทุกความทุกข์ที่ทำให้มีวันนี้
เพื่อวันข้างหน้ายามที่ชีวิตเต็มไปด้วยความมืดมิดของอกุศลจิต เราจะกลับมาอ่านอีกครั้ง
และระลึกถึงความสว่างไสวในจิตใจ ว่ามีสภาพเช่นไร
เพื่อจะเตื่อนตัวเองว่า
สุข ทุกข์ ไม่เที่ยง
กุศล อกุศล ไม่เที่ยง..
เราจึงต้องขออภัย หากเราได้สร้างความรำคาญแก่ใครนะคะ
แต่เราก็ยังมีความหวังลึกๆ ว่าเรื่องของเราจะเป็นกำลังใจให้ใครได้บ้าง
อย่างน้อยก็ได้เห็น ว่าชีวิตทุกคนต่างก็มีทุกข์สุขคละเคล้ากันไป
ผิดหวัง และสมหวังเป็นเรื่องธรรมดาที่ต้องเจอ
คุณและเราก็ไม่ได้ต่างอะไรกันเลย..
เราเป็นคนหนึ่ง ที่ได้เดินผ่านความสำเร็จ และล้มเหลวในเวลาใกล้ๆกันเสมอ
เราเคยสอบได้ที่โหล่ของห้อง ตอนม.2 ..โดนล้อเลียนจนอับอาย ถูกส่ายหน้ามองด้วยความผิดหวัง
และสอบได้ที่หนึ่งของห้อง ตอนม.4
เป็นนศ.ที่มีผลการเรียนธรรมดามาก ตอนป.ตรี
และเป็นนศ.ที่เรียนจบเป็นคนแรกของรุ่น เกือบได้ 4.00 ตอนป.โท ..โดนยกยอปอปั้น เป็นนศ. Idol ของรุ่นถัดไป
เราเคยฝืนใจทำงานที่ไม่ชอบมากๆ ขนาดที่ตั้งคำถามตัวเองทุกเช้าว่านี่เรากำลังทำอะไรอยู่ ชีวิตมันน่าเบื่อขนาดนี้เชียวหริอ
และเคยทำงานที่สนุกท้าทาย ได้ลิ้มรสความสำเร็จด้วยการเลื่อนขั้น ได้อยู่ในตำแหน่งงานที่ใฝ่ฝันมานาน คือ ผู้จัดการ
แต่ความสำเร็จนั้นก็พังทลายลงในเวลาเพียงไม่กี่เดือน ด้วยปัจจัยหลายๆอย่าง รวมไปถึงความไม่พร้อมของตัวเราเองด้วย
เราเคยมีความรักที่ดี กับผู้ชายที่อบอุ่น และเข้ากับเราได้ทุกเรื่อง
แต่ความสุขนั้นก็พินาศลง เมื่อพบว่าเราเพียงแค่ถูกหลอก
เค้ามีครอบครัวแล้ว..
เราเคยแต่งงานกับคนที่น่ารัก เพื่อพบว่าไม่นานเราจะมีเหตุให้ต้องแยกจากกันด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่อง
เราผ่านช่วงเวลาของความดีใจเสียใจมามากมาย แต่เราก็ยังอยากจะหวัง เพื่อจะสมหวัง และผิดหวังเรื่องแล้วเรื่องเล่า
ตอนนั้นเราเชื่อว่าชีวิตที่มีค่า คือการที่เราตั้งความหวังไว้อยู่เสมอ และพยายามเพื่อจะสมหวังให้ได้
เราคิดว่าความผิดหวังบ่อยๆของเราจะเป็นภูมิต้านทานความทุกข์ให้เราได้
... แต่มันไม่จริงเลย
ความหวัง และความสำเร็จทำให้ ตัวกูของกูเหนียวแน่นขึ้น เป็นยางเหนียวทำให้เราไม่ปล่อยอะไรง่ายๆ รวมไปถึงความเสียใจด้วย
..วันนึง เมื่อเราเจอทุกข์แสนสาหัสในชีวิต เศร้าเสียใจจนไม่สามารถควบคุมสติตัวเองให้ทำงานได้
เราต้องรีบวิ่งเข้าห้องน้ำทุกๆชั่วโมง เพื่อไปแอบร้องไห้ เพราะเราไม่อยากให้ใครเห็นน้ำตา
เรามีเพื่อนสนิทบ้าง แต่ไม่มีใครสามารถดึงเราให้ลุกขึ้นจากความทุกข์ในครั้งนั้นได้เลย
ทุกคำปลอบใจของเพื่อนเรา ผ่านเข้าหูเรา แต่ไม่เคยลงไปถึงใจ
เราเองก็เป็นผุ้ใหญ่แล้ว ผ่านทุกข์/สุขมามากแล้ว แต่ทำไมคราวนี้จึงไม่สามารถควบคุมสติตัวเอง
เราต้องลุกขึ้นให้ได้ ..ทำยังไงดี .. ทำยังไงดี.. เราถามตัวเองตลอดเวลา
แล้วเราก็ทำในสิ่งที่ไม่เคยคิดจะทำมาก่อน ด้วยการนุ่งขาวห่มขาว แฝงตัวเข้าไปแอบสวดมนต์ทำวัตรเช้า-เย็น และปฎิบัติธรรมรวมกับโยคีในวัดแห่งหนึ่ง
เราไม่สามารถไปบวชเต็มเวลาในขณะนั้นได้ เพราะภาระหน้าที่ และใจที่ยังไม่พร้อม
เรายอมรับว่าตอนนั้น เรากลัวความลำบากในการบวชเนกขัมมะ
เราจึงใช้เวลาแค่3-4 ชม.หลังเลิกงานทุกวัน และเกือบทั้งวัน ในวันเสาร์-อาทิตย์ ไปอยู่ร่วมกับโยคี
ตอนนั้นเราไม่รู้เรื่องหรอกว่าอะไรคือ สติปัฏฐาน เค้าให้นั่งเราก็นั่ง เค้าให้เดินเราก็เดิน ทำๆไปงั้น หวังจะฆ่าเวลาเท่านั้นเอง
ทำไปร้องไห้ไปก็มี ฟุ้งซ่านจนแทบคลั่งก็เคย แต่ก็ตั้งใจปฎิบัติ หวังว่าอะไรๆจะดีขึ้นบ้าง ดีกว่าอยู่บ้านดูทีวี
และคำๆหนึ่งจากแม่ชีก็กินใจเราเหลือเกิน จนปลดเปลื้องเราออกมาจากเมฆหมอกแห่งความเศร้าได้ คือคำว่า ..
“ เสียใจก็ให้รู้ว่าเสียใจ “
..มันเป็นคำที่เปลี่ยนชีวิตเราไปตลอดกาล
หลังจากนั้น เราก็หัดฝึกปฎิบัติธรรมที่บ้าน ไปบวชที่วัดบ้างเมื่อสะสางภาระหน้าที่แล้ว
และฟังธรรมจากยูทูปไม่เคยขาด..
ทุกครั้งที่ฟังธรรม ใจช่างสงบเบาสบายเหลือเกิน มีความสุขอย่างบอกไม่ถูก เมื่อมีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง
มันสว่างสดใส แม้เพียงแค่ในยามจัดดอกไม้บูชาพระบนหิ้ง ใจก็เป็นสุขจนไม่สามารถอธิบายเป็นคำพูดได้แล้ว
มันเป็นสุขลึกๆ สุขแบบเย็นๆ สุขที่ไม่ต้องกลัวใครมาแย่งชิง
มันเป็นสุขที่ไม่มีความบีบคั้น ไม่เต็มไปด้วยความอยากเอาเข้าตัว หรือผลักไสออกจากตัว
มันเป็นแค่เศษเสี้ยวของกระแสความสุข ที่ปุถุชนธรรมดาอย่างเราสัมผัสได้ แล้วสุขจริงๆจะขนาดไหน
ยิ่งไปกว่านั้น ..เมื่อได้เรียนรู้ว่า สมบัติที่มีค่าที่สุดของการเป็นมนุษย์ คือ “ศีลธรรม”
เราก็ไม่รู้สึกด้อยค่าอีกต่อไป ที่มีฐานะเพียงแค่พออยู่พอกิน
เราไม่คิดทะเยอทะยานอยากได้อะไรอีก แต่เรายังทำทุกอย่างด้วยความเต็มใจ ตั้งใจ เพื่อให้มีสติอยู่กับปัจจุบัน
เหมือนชาวสวนผลไม้ ที่ใส่ใจต้นไม้ทุกต้น โดยไม่คาดหวังว่ามันจะออกผลเมื่อไหร่
เราไม่คิดเปรียบเทียบตัวเองกับใคร และไม่อยากเพิ่มทุกข์ให้ใคร
เพราะความศรัทธาในกฎแห่งกรรม
ชีวิตเราถูกขับเคลื่อนด้วยสิ่งนี้ ไม่ใช่ด้วยการตั้งความหวัง เพื่อสมหวังและผิดหวังอีกต่อไปแล้ว..
ทุกวันนี้ เราก็ยังเป็นคนที่ไม่สมหวังอะไรเหมือนเดิม..
เราใช้ชีวิตอย่างคนไม่หวัง แต่ไม่สิ้นหวัง
เรายังร้องไห้ มีน้ำตา เมื่อพบการพลัดพราก สูญสีย
แต่มันเป็นความเสียใจที่ไม่ยืดเยื้อ เพราะเราเยียวยาความเสียใจนั้นได้ด้วยการรู้สึกตัว
..ขอบคุณทุกความดีที่เคยทำ ที่ทำให้เราได้เกิดเป็นมนุษย์ พบพระพุทธศาสนา..
....................................................................................
ความสุขมีเงื่อนไขมาก.. คือความสุขคุณภาพต่ำ
ความสุขมีเงื่อนไขน้อย.. คือความสุขคุณภาพดี
ความสุขไม่มีเงื่อนไข.. คือความสุขสูงสุด
#พระอาจารย์ชยสาโร