สวัสดีค่ะทุกๆคนที่เข้ามาอ่านในกระทู้ของเรา วันนี้เราอยากมาเล่าถึงความอึดอัดและความรู้สึกแย่ต่างๆที่เราเจอค่ะ
เชื่อว่าหลายๆคนคงเคยประสบพบเจอกับการทะเลาะกับพ่อแม่ บ่อยครั้งที่เราอาจจะทะเลาะกันในเรื่องไม่เป็นเรื่องหรืออาจจะเป็นเรื่องที่ใหญ่มากๆ เราเป็นคนนึงที่ทะเลาะกับพ่อแม่บ่อยมาก ทั้งความเห็นไม่ตรงกันบ้าง ไม่พอใจในหลายๆอย่างบ้าง หรือเวลาเราทำผิดบ้าง แต่ทุกครั้งมันไม่เคยทำให้เรารู้สึกแย่จนร้องไห้อย่างหนักเหมือนกับครั้งนี้ เรื่องที่เราทะเลาะกับพ่อแม่คือเรื่องเรียนต่อค่ะ...
เราเป็น #Dek61 ค่ะ ตอนนี้ก็เป็นช่วงรับเข้ามหาลัยรอบแรกแล้ว เราอยากเป็นทูตและอยากทำงานในองค์กรระหว่างประเทศมาตั้งแต่ตอนม.ต้น แต่เราแค่ไม่เคยบอกพ่อกับแม่ ตอนม.4 เราบอกว่าเราอยากเรียนหมอ เพราะด้วยความที่เราอยู่ในสังคมเด็กวิทย์ - คณิต เด็กที่แข่งกันเรียน เด็กหลายๆคนฝันอยากเป็นหมอ เราเป็นคนนึงที่ถูกสังคมแบบนั้นพาให้คิดไปว่าเราอยากเรียนสายวิทยาศาสตร์สุขภาพ เราบอกได้เพียงแค่ว่าเราอยากเรียนสายนี้แต่เราตอบตัวเองไม่ได้ว่าเราอยากเรียนคณะอะไร เพราะคณะทางสายนี้มันมีเยอะมาก แต่เมื่อถามถึงสายสังคมและภาษา เรากลับพูดได้อย่างเต็มปากว่าเราอยากเรียนรัฐศาสตร์ สาขาการระหว่างประเทศหรือความสัมพันธ์ระหว่างประเทศนั่นแหละ
เมื่อวานเราคุยกับพ่อแม่ว่าเราอยากเรียนคณะรัฐศาสตร์ การระหว่างประเทศ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มันไม่ใช่ครั้งแรกที่เราคุยกันเรื่องนี้ เราเคยคุยไปหลายรอบมากๆแต่ผลสุดท้ายก็จบที่การทะเลาะกันเหมือนทุกครั้ง พ่อโมโหใส่เรามาก หาว่าเราสิ้นคิดที่จะเรียนคณะนี้ พ่อบอกกับเราว่ามีแต่คนโง่ หาที่ไปไม่ได้ เท่านั้นที่จะเรียนคณะนี้ นอนอยู่บ้านเฉยๆก็เรียนจบ ส่วนแม่เราถามเราว่าทำไมถึงอยากเรียน ทำไมไม่ไปเรียนเศษฐศาสตร์หรือนิติศาสตร์ แม่บอกว่าใจจริงแล้วทั้งเศษฐศาสตร์ นิติศาสตร์หรือจะเป็นรัฐศาสตร์ แม่ก็ไม่อยากให้เรียนทั้งนั้น แต่ถ้าอยากเรียนรัฐศาสตร์ แม่อยากให้เอาเป็นตัวเลือกสุดท้าย ซึ่งต่างจากเราที่เราอยากเรียนคณะนี้เป็นอับดับแรก
พ่อกับแม่ถามเราต่อว่าจบออกมาแล้วจะทำไรกิน เห็นคนแถวบ้านไหม หรือคนที่ทำงานอยู่อบต.ไหม นั่นน่ะจบรัฐศาสตร์ทั้งนั้น ดูสิว่าเขามีกินดีหรอ ดูเขา ที่เขาเรียนเภสัชสิ เขาบ้านหลังใหญ่แค่ไหน คนที่จบรัฐศาสตร์ออกมาบ้านหลังเล็กกว่าบ้านเราด้วยซ้ำ คิดแต่อยากเป็นทูต อยากทำงานกระทรวงการต่างประเทศ เอาแต่คิดตื้นๆ คิดไปไกล เอาแต่ฝันเฟื่อง เรียนมาก็ไม่มีงานทำ เสียเวลาเปล่าๆ
ด้วยความที่อยากเรียนเราทั้งเถียง ทั้งบอก ทั้งบอกเหตุผลว่าทำไมถึงอยากเรียน แต่พ่อกับแม่ก็ไม่มีทางยอมเราเลย เอาแต่ดูถูกเรา บอกว่าครอบครัวเราไม่ได้มีเส้นสาย ไม่มียศยิ่งใหญ่ จะเอาอะไรไปสู้เขา หาว่าที่เราอยากเรียนเพราะเราตามเพื่อน ซึ่งมันไม่ใช่เลย มันคือความชอบของเราเอง เราไม่ได้ตามใคร และไม่มีใครชักจูงด้วยค่ะ เราชอบที่จะเรียนภาษา ชอบที่จะเรียนสังคม ซึ่งต่างจากเพื่อนเราหลายๆคนมาก
แม่เราเริ่มถามเราว่า แล้วทำไมไม่เรียนครู ชอบสังคมก็เรียนครูสังคม ชอบภาษาก็เรียนครูภาษา หรือทำไมไม่ไปเรียนนิเทศ เรียนมนุษย์ เรารู้ตัวเองดีว่าเราสอนใครไม่ได้ เราไม่ชอบทำอะไรซ้ำๆเช่นการสอนคนซ้ำๆ ขึ้นปีการศึกษาใหม่ก็สอนแต่อย่างเดิม เราไม่ชอบอะไรที่มันอยู่กับที่ รอบข้างเรามีแต่คนเป็นครู แม่ก็เป็นครู ลูกพี่ลูกน้องก็เป็นครู เราไม่คิดว่าการเป็นครูมันเหมาะกับเรา อันนี้เราไม่ได้มีเจตนาอะไรที่จะดูถูกอาฃีพครูนะคะ เราเคารพและนับถือคนที่ทำอาฃีพนี้มากๆเพราะต้องมีความอดทนกับเด็กนักเรียน ต้องคอยสั่งสอนคน แต่จากที่เราเห็นถ้าแม่ไม่ทำงานอย่างอื่นด้วยแค่เงินเดือนครูอย่างเดียวมันไม่พอกินแน่ๆ เงินเดือนครูของแม่เรามันเทียบไม่ได้กับงานเสริมที่แม่ทำด้วยซ้ำ
เราเถียงออกไปว่าคนจบครูมีเป็นล้าน มีจนล้น การแข่งขันก็สูง คิดว่ามันไม่ได้ต่างกันเลย พ่อเรากลับบอกว่าแต่ไทยมันมีโรงเรียนเยอะ ยังไงมันก็ต้องได้ทำสักที่สิ แต่จะไปสอบทูต สอบปลัด คิดว่าโอกาสติดมันจะมีแค่ไหนกัน ส่วนคณะนิเทศ เราชอบถ่ายรูปก็จริงแต่มันไม่ได้ตรงสายที่เราหวังอยากจะทำ ถ้าเรียนถ่ายรูปเรียนฟิล์มไป แน่นอนว่าพ่อกับแม่ก็ต้องด่าเราแน่ๆ พ่อกับแม่เราเข้าใจว่าเรียนนิเทศแล้วเหมือนเรียนภาษา เหมือนเรียนมนุษย์ ซึ่งมันไม่ใช่ ส่วนคณะมนุษย์เรามองว่ามันไม่ได้ต่อยอดในสิ่งที่เรารักอีกอย่าง นั่นคือวิชาสังคมศึกษา เราชอบที่จะเรียนเกี่ยวกับการเมือง ความเป็นไปต่างๆของโลก มันไม่ได้นิ่งอยู่กับที่ เพราะโลกเรามันเปลี่ยนไปตลอด ความสัมพันธ์ต่างๆ มันมีมาตลอดตามกาลเวลา อีกอย่างเราจะเรียนมนุษย์ไปทำไมในเมื่อรัฐศาสตร์ การระหว่างประเทศก็เหมือนได้เรียนภาษาอังกฤษไปด้วยอยู่แล้ว แถมยังได้เรียนภาษาที่ 3 อีก ไหนจะด้านสังคม ด้านความสัมพันธ์ ด้านการเมืองการปกครอง เรามองว่ามันได้มากกว่าด้วยซ้ำ
เราชี้แจงไปว่าสิ่งต่างๆที่พ่อกับแม่เสนอมานั้นเราเรียนไม่ได้ ตัวเราเองไม่ชอบที่จะเรียนคณิตศาสตร์ ฟิสิกส์และเคมี แต่ดูคณะที่พ่อกับแม่อยากให้เรียนสิ เภสัชบ้าง วิศวะบ้าง เศษฐศาสตร์บ้าง หรืออะไรก็ตามที่มันไม่ใช่สิ่งที่เราทำได้ดี อาจจะทำได้แย่มากๆเลยด้วยซ้ำ
เราถามพ่อกับแม่กลับว่า ถ้าเราเรียนให้แล้วเราเรียนไม่จบ โดนรีไทร์ ติดเอฟ พ่อแม่จะไม่เสียดายกว่าหรอ ถ้าเราเรียนแล้วเราไม่มีความสุขล่ะ พ่อกับแม่บอกเราแค่ว่า ถ้าเป็นแบบนั้นก็เพราะเราทำใส่แก เราแค่อยากตั้งใจจะเรียนไม่จบเพื่อประชด ซึ่งเราว่ามันเป็นวิธีที่สิ้นคิดมาก มันไม่เกี่ยวกันเลยว่าจะทำใส่หรือไม่ ในเมื่อเรารู้ตัวเราดีว่าเราเรียนไม่ได้ เราไม่รับมันเข้าหัว มันไม่ใช่สิ่งที่เราอยากเอามาประกอบอาชีพเพื่อเลี้ยงดูตัวเอง ทำไมเราถึงจะมีโอกาสไม่จบไม่ได้ล่ะ
เราไม่เข้าใจเลยว่าทำไมต้องยึดติดอยู่แค่ว่าเรียนรัฐศาสตร์ต้องไปสอบปลัดอย่างเดียว เราไม่อยากเป็นปลัด เราแค่อยากทำงานเกี่ยวกับงานระหว่างประเทศ เราเลยที่จะเลือกเรียนสายนี้ อีกอย่างสิ่งที่เราชอบ สิ่งที่เราอยากเรียนมันรวมอยู่ในคณะนี้แล้ว ทำไมเราต้องไปฝืนใจ กัดฟันเรียนในสิ่งที่เราไม่ได้อยากจะเรียน อยากจะเอามันมาใช้เลี้ยงชีวิตเรา เราไม่ได้อยากรวยล้นฟ้า ไม่ได้อยากมีบ้านหลังใหญ่ๆ เราแค่อยากทำงานในสิ่งที่เรารัก ได้ทำตามความฝันก็แค่นั้นเอง
นี่แหละค่ะสิ่งที่เราอยากมาระบาย อยากเล่าให้ทุกคนฟัง เราอยากฝากถึงพ่อกับแม่หลายๆท่านที่ไม่เข้าใจลูก หรือบังคับให้ลูกเรียนในสิ่งที่เขาไม่ได้ชอบนะคะ ว่าสิ่งที่เขาเรียนมันต้องอยู่กับเขาไปตลอดชีวิตเพราะมันมีผลในด้านการทำงาน เรารู้ว่าพ่อแม่ทุกคนหวังดี อยากให้ลูกได้ดี การงานที่มั่นคง ได้เงินเดือนเยอะๆมันดีค่ะ แต่ถ้าลุกคุณไม่มีความสุข เรียนไปทำงานไปวันๆด้วยความทุกข์ กลับบ้านมานอนร้องไห้ คุณคิดว่ามันดีแล้วหรอคะ คำว่าชอบกับเหมาะสมมันอาจจะไปด้วยกันไม่ได้ แต่ถ้ามันเหมาะสมกับแค่ในความคิดของคุณ แต่มันไม่เหมาะสมกับความรู้ความสามารถหรือแม้กระทั่งความชอบของลุกคุณ มันก็ไม่เรียกว่าเป็นความเหมาะสมหรอกนะคะ เราอยากให้พ่อแม่ทุกคนเข้าใจลูกนะคะว่าเมื่อไหร่ที่ลูกบอกว่าอยากเรียนหรืออยากเป็นอะไร นั่นคือเขาอยากให้คุณสนับสนุน อยากให้ได้กำลังใจจากคุณ ไม่มีอะไรเจ็บไปกว่าการโดนพ่อแม่แท้ๆดูถูกสิ่งที่เรารักและดูถูกตัวเราหรอกค่ะ
อันที่จริงมีอีกหลายๆคำพูดที่พ่อกับแม่พูดกับเรานะคะ เช่น เสียดายความรู้เราบ้าง เรียนตั้งจุฬาภรณแต่ดันมาเรียนรัฐศาสตร์ ทำไมไม่ไปเรียนอย่างอื่น มีแต่คนโง่เท่านั้นแหละที่คิดแบบนี้ ทั้งคำดูถูก คำเหยียดหยาม คำสบประมาทต่างๆ ที่เราทะเลาะกันร่วม 1-2 ชม.มันมีมากกว่าที่เล่าในกระทู้นี้อีกค่ะ
(ขอเล่า+ระบาย) เมื่อเราทะเลาะกับพ่อแม่เรื่องการเรียนต่อรัฐศาสตร์เพราะท่านไม่เห็นด้วยกับเรา...
เชื่อว่าหลายๆคนคงเคยประสบพบเจอกับการทะเลาะกับพ่อแม่ บ่อยครั้งที่เราอาจจะทะเลาะกันในเรื่องไม่เป็นเรื่องหรืออาจจะเป็นเรื่องที่ใหญ่มากๆ เราเป็นคนนึงที่ทะเลาะกับพ่อแม่บ่อยมาก ทั้งความเห็นไม่ตรงกันบ้าง ไม่พอใจในหลายๆอย่างบ้าง หรือเวลาเราทำผิดบ้าง แต่ทุกครั้งมันไม่เคยทำให้เรารู้สึกแย่จนร้องไห้อย่างหนักเหมือนกับครั้งนี้ เรื่องที่เราทะเลาะกับพ่อแม่คือเรื่องเรียนต่อค่ะ...
เราเป็น #Dek61 ค่ะ ตอนนี้ก็เป็นช่วงรับเข้ามหาลัยรอบแรกแล้ว เราอยากเป็นทูตและอยากทำงานในองค์กรระหว่างประเทศมาตั้งแต่ตอนม.ต้น แต่เราแค่ไม่เคยบอกพ่อกับแม่ ตอนม.4 เราบอกว่าเราอยากเรียนหมอ เพราะด้วยความที่เราอยู่ในสังคมเด็กวิทย์ - คณิต เด็กที่แข่งกันเรียน เด็กหลายๆคนฝันอยากเป็นหมอ เราเป็นคนนึงที่ถูกสังคมแบบนั้นพาให้คิดไปว่าเราอยากเรียนสายวิทยาศาสตร์สุขภาพ เราบอกได้เพียงแค่ว่าเราอยากเรียนสายนี้แต่เราตอบตัวเองไม่ได้ว่าเราอยากเรียนคณะอะไร เพราะคณะทางสายนี้มันมีเยอะมาก แต่เมื่อถามถึงสายสังคมและภาษา เรากลับพูดได้อย่างเต็มปากว่าเราอยากเรียนรัฐศาสตร์ สาขาการระหว่างประเทศหรือความสัมพันธ์ระหว่างประเทศนั่นแหละ
เมื่อวานเราคุยกับพ่อแม่ว่าเราอยากเรียนคณะรัฐศาสตร์ การระหว่างประเทศ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มันไม่ใช่ครั้งแรกที่เราคุยกันเรื่องนี้ เราเคยคุยไปหลายรอบมากๆแต่ผลสุดท้ายก็จบที่การทะเลาะกันเหมือนทุกครั้ง พ่อโมโหใส่เรามาก หาว่าเราสิ้นคิดที่จะเรียนคณะนี้ พ่อบอกกับเราว่ามีแต่คนโง่ หาที่ไปไม่ได้ เท่านั้นที่จะเรียนคณะนี้ นอนอยู่บ้านเฉยๆก็เรียนจบ ส่วนแม่เราถามเราว่าทำไมถึงอยากเรียน ทำไมไม่ไปเรียนเศษฐศาสตร์หรือนิติศาสตร์ แม่บอกว่าใจจริงแล้วทั้งเศษฐศาสตร์ นิติศาสตร์หรือจะเป็นรัฐศาสตร์ แม่ก็ไม่อยากให้เรียนทั้งนั้น แต่ถ้าอยากเรียนรัฐศาสตร์ แม่อยากให้เอาเป็นตัวเลือกสุดท้าย ซึ่งต่างจากเราที่เราอยากเรียนคณะนี้เป็นอับดับแรก
พ่อกับแม่ถามเราต่อว่าจบออกมาแล้วจะทำไรกิน เห็นคนแถวบ้านไหม หรือคนที่ทำงานอยู่อบต.ไหม นั่นน่ะจบรัฐศาสตร์ทั้งนั้น ดูสิว่าเขามีกินดีหรอ ดูเขา ที่เขาเรียนเภสัชสิ เขาบ้านหลังใหญ่แค่ไหน คนที่จบรัฐศาสตร์ออกมาบ้านหลังเล็กกว่าบ้านเราด้วยซ้ำ คิดแต่อยากเป็นทูต อยากทำงานกระทรวงการต่างประเทศ เอาแต่คิดตื้นๆ คิดไปไกล เอาแต่ฝันเฟื่อง เรียนมาก็ไม่มีงานทำ เสียเวลาเปล่าๆ
ด้วยความที่อยากเรียนเราทั้งเถียง ทั้งบอก ทั้งบอกเหตุผลว่าทำไมถึงอยากเรียน แต่พ่อกับแม่ก็ไม่มีทางยอมเราเลย เอาแต่ดูถูกเรา บอกว่าครอบครัวเราไม่ได้มีเส้นสาย ไม่มียศยิ่งใหญ่ จะเอาอะไรไปสู้เขา หาว่าที่เราอยากเรียนเพราะเราตามเพื่อน ซึ่งมันไม่ใช่เลย มันคือความชอบของเราเอง เราไม่ได้ตามใคร และไม่มีใครชักจูงด้วยค่ะ เราชอบที่จะเรียนภาษา ชอบที่จะเรียนสังคม ซึ่งต่างจากเพื่อนเราหลายๆคนมาก
แม่เราเริ่มถามเราว่า แล้วทำไมไม่เรียนครู ชอบสังคมก็เรียนครูสังคม ชอบภาษาก็เรียนครูภาษา หรือทำไมไม่ไปเรียนนิเทศ เรียนมนุษย์ เรารู้ตัวเองดีว่าเราสอนใครไม่ได้ เราไม่ชอบทำอะไรซ้ำๆเช่นการสอนคนซ้ำๆ ขึ้นปีการศึกษาใหม่ก็สอนแต่อย่างเดิม เราไม่ชอบอะไรที่มันอยู่กับที่ รอบข้างเรามีแต่คนเป็นครู แม่ก็เป็นครู ลูกพี่ลูกน้องก็เป็นครู เราไม่คิดว่าการเป็นครูมันเหมาะกับเรา อันนี้เราไม่ได้มีเจตนาอะไรที่จะดูถูกอาฃีพครูนะคะ เราเคารพและนับถือคนที่ทำอาฃีพนี้มากๆเพราะต้องมีความอดทนกับเด็กนักเรียน ต้องคอยสั่งสอนคน แต่จากที่เราเห็นถ้าแม่ไม่ทำงานอย่างอื่นด้วยแค่เงินเดือนครูอย่างเดียวมันไม่พอกินแน่ๆ เงินเดือนครูของแม่เรามันเทียบไม่ได้กับงานเสริมที่แม่ทำด้วยซ้ำ
เราเถียงออกไปว่าคนจบครูมีเป็นล้าน มีจนล้น การแข่งขันก็สูง คิดว่ามันไม่ได้ต่างกันเลย พ่อเรากลับบอกว่าแต่ไทยมันมีโรงเรียนเยอะ ยังไงมันก็ต้องได้ทำสักที่สิ แต่จะไปสอบทูต สอบปลัด คิดว่าโอกาสติดมันจะมีแค่ไหนกัน ส่วนคณะนิเทศ เราชอบถ่ายรูปก็จริงแต่มันไม่ได้ตรงสายที่เราหวังอยากจะทำ ถ้าเรียนถ่ายรูปเรียนฟิล์มไป แน่นอนว่าพ่อกับแม่ก็ต้องด่าเราแน่ๆ พ่อกับแม่เราเข้าใจว่าเรียนนิเทศแล้วเหมือนเรียนภาษา เหมือนเรียนมนุษย์ ซึ่งมันไม่ใช่ ส่วนคณะมนุษย์เรามองว่ามันไม่ได้ต่อยอดในสิ่งที่เรารักอีกอย่าง นั่นคือวิชาสังคมศึกษา เราชอบที่จะเรียนเกี่ยวกับการเมือง ความเป็นไปต่างๆของโลก มันไม่ได้นิ่งอยู่กับที่ เพราะโลกเรามันเปลี่ยนไปตลอด ความสัมพันธ์ต่างๆ มันมีมาตลอดตามกาลเวลา อีกอย่างเราจะเรียนมนุษย์ไปทำไมในเมื่อรัฐศาสตร์ การระหว่างประเทศก็เหมือนได้เรียนภาษาอังกฤษไปด้วยอยู่แล้ว แถมยังได้เรียนภาษาที่ 3 อีก ไหนจะด้านสังคม ด้านความสัมพันธ์ ด้านการเมืองการปกครอง เรามองว่ามันได้มากกว่าด้วยซ้ำ
เราชี้แจงไปว่าสิ่งต่างๆที่พ่อกับแม่เสนอมานั้นเราเรียนไม่ได้ ตัวเราเองไม่ชอบที่จะเรียนคณิตศาสตร์ ฟิสิกส์และเคมี แต่ดูคณะที่พ่อกับแม่อยากให้เรียนสิ เภสัชบ้าง วิศวะบ้าง เศษฐศาสตร์บ้าง หรืออะไรก็ตามที่มันไม่ใช่สิ่งที่เราทำได้ดี อาจจะทำได้แย่มากๆเลยด้วยซ้ำ
เราถามพ่อกับแม่กลับว่า ถ้าเราเรียนให้แล้วเราเรียนไม่จบ โดนรีไทร์ ติดเอฟ พ่อแม่จะไม่เสียดายกว่าหรอ ถ้าเราเรียนแล้วเราไม่มีความสุขล่ะ พ่อกับแม่บอกเราแค่ว่า ถ้าเป็นแบบนั้นก็เพราะเราทำใส่แก เราแค่อยากตั้งใจจะเรียนไม่จบเพื่อประชด ซึ่งเราว่ามันเป็นวิธีที่สิ้นคิดมาก มันไม่เกี่ยวกันเลยว่าจะทำใส่หรือไม่ ในเมื่อเรารู้ตัวเราดีว่าเราเรียนไม่ได้ เราไม่รับมันเข้าหัว มันไม่ใช่สิ่งที่เราอยากเอามาประกอบอาชีพเพื่อเลี้ยงดูตัวเอง ทำไมเราถึงจะมีโอกาสไม่จบไม่ได้ล่ะ
เราไม่เข้าใจเลยว่าทำไมต้องยึดติดอยู่แค่ว่าเรียนรัฐศาสตร์ต้องไปสอบปลัดอย่างเดียว เราไม่อยากเป็นปลัด เราแค่อยากทำงานเกี่ยวกับงานระหว่างประเทศ เราเลยที่จะเลือกเรียนสายนี้ อีกอย่างสิ่งที่เราชอบ สิ่งที่เราอยากเรียนมันรวมอยู่ในคณะนี้แล้ว ทำไมเราต้องไปฝืนใจ กัดฟันเรียนในสิ่งที่เราไม่ได้อยากจะเรียน อยากจะเอามันมาใช้เลี้ยงชีวิตเรา เราไม่ได้อยากรวยล้นฟ้า ไม่ได้อยากมีบ้านหลังใหญ่ๆ เราแค่อยากทำงานในสิ่งที่เรารัก ได้ทำตามความฝันก็แค่นั้นเอง
นี่แหละค่ะสิ่งที่เราอยากมาระบาย อยากเล่าให้ทุกคนฟัง เราอยากฝากถึงพ่อกับแม่หลายๆท่านที่ไม่เข้าใจลูก หรือบังคับให้ลูกเรียนในสิ่งที่เขาไม่ได้ชอบนะคะ ว่าสิ่งที่เขาเรียนมันต้องอยู่กับเขาไปตลอดชีวิตเพราะมันมีผลในด้านการทำงาน เรารู้ว่าพ่อแม่ทุกคนหวังดี อยากให้ลูกได้ดี การงานที่มั่นคง ได้เงินเดือนเยอะๆมันดีค่ะ แต่ถ้าลุกคุณไม่มีความสุข เรียนไปทำงานไปวันๆด้วยความทุกข์ กลับบ้านมานอนร้องไห้ คุณคิดว่ามันดีแล้วหรอคะ คำว่าชอบกับเหมาะสมมันอาจจะไปด้วยกันไม่ได้ แต่ถ้ามันเหมาะสมกับแค่ในความคิดของคุณ แต่มันไม่เหมาะสมกับความรู้ความสามารถหรือแม้กระทั่งความชอบของลุกคุณ มันก็ไม่เรียกว่าเป็นความเหมาะสมหรอกนะคะ เราอยากให้พ่อแม่ทุกคนเข้าใจลูกนะคะว่าเมื่อไหร่ที่ลูกบอกว่าอยากเรียนหรืออยากเป็นอะไร นั่นคือเขาอยากให้คุณสนับสนุน อยากให้ได้กำลังใจจากคุณ ไม่มีอะไรเจ็บไปกว่าการโดนพ่อแม่แท้ๆดูถูกสิ่งที่เรารักและดูถูกตัวเราหรอกค่ะ
อันที่จริงมีอีกหลายๆคำพูดที่พ่อกับแม่พูดกับเรานะคะ เช่น เสียดายความรู้เราบ้าง เรียนตั้งจุฬาภรณแต่ดันมาเรียนรัฐศาสตร์ ทำไมไม่ไปเรียนอย่างอื่น มีแต่คนโง่เท่านั้นแหละที่คิดแบบนี้ ทั้งคำดูถูก คำเหยียดหยาม คำสบประมาทต่างๆ ที่เราทะเลาะกันร่วม 1-2 ชม.มันมีมากกว่าที่เล่าในกระทู้นี้อีกค่ะ