เห็นว่าน่าสนใจ ได้COPY บทความนี้มาลองอ่านดูครับเนื้อหาน่าสนใจมากเลย
ขอสงวนนามเจ้าของบทความนะครับ อททนหน่อนนะยาวพอควร
+++++ กิเลสเป็นโพธิหรือโพธิเป็นกิเลส? +++++
“มีสติในธรรมปัจจุบัน” วลีนี้มีความหมายอธิบายแล้วยาวเลย แต่ที่แน่ๆ คือ ไม่ใช่การไปกำหนดสติให้อยู่กับลมหายใน ณ ปัจจุบัน
อะไร แบบกำหนดเอานั้น มันเป็นอุปทาน เป็นอดีต ไม่ใช่ปัจจุบันนะ ถามว่าทำไมไม่ใช่? คือ เวลาเราตั้งใจจะทำสิ่งใดก่อนที่จะทำมันจริง
พอลงมือทำจริงปั้บ สิ่งที่เราตั้งใจไว้มันคืออดีตละ แต่ถ้าเราไม่ได้ตั้งใจ ทำเลย ณ ปัจจุบัน มโนกรรมนี้ก็เป็นแบบปัจจุบัน
ถ้าเราทำแบบปัจจุบันไม่เป็น เราตั้งท่ารออยู่เรื่อยๆ จะทำอะไรทีต้องตั้ง ต้องเจตนา ต้องกำหนดก่อน ทุกอย่างจะเป็นอดีตหมด
ไม่สดใหม่ ไม่สดใส ไม่เกิดดับปัจจุบัน ก็ไม่ใช่ธรรมปัจจุบัน หลายคนยังไม่ได้อยู่กับธรรมปัจจุบันจริง คำว่า อยู่กับธรรมปัจจุบัน
ไม่ได้แปลว่าเราจะคิดเรื่องอดีตหรืออนาคตไม่ได้นะ ถ้าเรามีความคิดไปในอดีตณ ปัจจุบันตอนนี้ ความคิดไปยังอดีตมันก็เกิดปัจจุบัน
มันก็คือ “ธรรมปัจจุบัน” เหมือนกัน เพราะมันไม่ใช่ของจากอดีตจริงๆ แต่มันเป็น “ความคิดปัจจุบัน” ของเราที่เกิด ณ ปัจจุบัน
เพียงแต่เนื้อหาเรื่องราวเป็นเรื่องอดีต เท่านั้นเอง หลายคนไปพยายามดับความคิดที่เกี่ยวข้องในอดีตและอนาคตให้หมด
เพื่อบีบบังคับตัวเองให้มีแต่ปัจจุบัน แบบนั้นไม่ใช่นะ ไม่เป็นธรรมะ ธรรมชาติ ไปตั้งท่ากำหนดปัจจุบันมากเกินไป
คำว่า “สติปัจจุบัน” นั้น จะเกิดดับพร้อมธรรมปัจจุบันนี่ละ ไม่อาจตั้งท่ารอไว้ก่อนได้ ไม่อาจวางแผนไว้ล่วงหน้าได้
สิ่งที่เกิดจะสดใหม่ของจริง ของแท้ ไม่ใช่อาสวะของหมักดองมาจากอดีต หากยังตั้งท่าจะทำอะไรดีๆ มันก็ไม่ใช่ความดีละ
มันเป็นกิเลสอาสวะ ความอยากจะดี อยากเป็นคนดี อยากได้ความดี ฯลฯ เห็นไหม? คำว่า “อาสวะ” ของหมักดอง มันเกิดแบบนี้
หลายคนคิดว่ามันเป็นความดีอยู่เลย ไม่ใช่ความดี มันเป็นกิเลสอาสวะ ความอยากดี อยากเป็นคนดี กิเลสตัณหาทั้งนั้น
หลายคนคิดว่าฉันทำความดีตั้งใจทำสิ่งที่ดีแล้วอุปทานไปเองทั้งหมดนะ มันคือ “กิเลสตัณหา” ความอยากดีอยากเป็นคนดี
พูดแบบนี้ไม่ใช่ห้ามทำดีนะ แต่กำลังบอกให้ “ทำความดีที่แท้จริง” ไม่ใช่ “ทำกิเลสอาสวะความอยากดี”
หลายคนไปทำกิเลสอาสวะ (ความอยากดี) แต่ยังไม่ได้ทำความดีจริงๆ แล้วชอบเอามาพูด มาอวดอ้าง
มาเถียงเอาชนะคนอื่นเขาอีกว่า “ฉันทำดี” ใครอย่ามาว่าฉันนะ ใครว่าฉันมันคือคนเลว อิจฉาฉันละสิ
มาจ้องจับผิดฉันทำไม เป็นมารละสิ บลาๆๆๆๆ ฯลฯ
นี่ละ อำนาจของกิเลสอาสวะมันเล่นงาน มันทำให้คนเราเตลิดหลงดี ติดดี มีดีเป็นอัตตาตัวตนกันแบบนี้เอง
ถ้ายังไม่รู้จักความดีที่แท้จริง สิ่งที่ทำมันก็มายาการ เฟคๆ เป็น “ผู้ดีจอมปลอม” เป็นงักปุ้กคุ้งกันไปหมดเลย 555
การมีสติในธรรมปัจจุบันนี้ พูดง่ายแต่ทำยาก หาคนทำได้จริงน้อยมาก อะไรที่เกิดปัจจุบันก็มีสติอยู่กับมันนั้นละ
เกิดปั้บมีสติเท่าทันเลย พอมันดับปั้บสติก็เท่าทันมันอีก สิ่งใหม่เกิดมาแทนที่ สติก็ทำงานเท่าทันมันอีก แบบนี้ก็ใช้ได้
แต่หลายคนไม่ใช่ไง หลายคนไปตั้งท่าเอา วางแผนเอา ตั้งเจตนาเอา กำหนดเอา ฯลฯ ไปก่อนทั้งนั้น ฉันจะไปวัดนั้น
เขามีพระดี กิเลสอาสวะความอยากเจอพระดีมันก็เกิด ไม่ได้ห้ามกิเลส มีกิเลสได้ ใช้กิเลสเป็นโพธิได้
แต่หลายคนมันไม่เป็นโพธิ มันเป็นอาสวะ เป็นของหมักดองอยู่เรื่อยๆ แทนที่จะเป็นโพธิกิเลส ก็เป็นอาสวะกิเลส
วนอยู่อารมณ์จิตเดิมๆ อยู่อย่างนั้นเอง เพราะจิตมันชินทางเดิมๆ อารมณ์เดิมๆ มันไม่มีประสบการณ์กับทางใหม่ๆ
มรรคใหม่ๆ มันก็ไปทางเดิมของมัน เก็จมั้ย? เหมือนคุณอยากทำความดีอะไรก็แล้วแต่ คุณมักคิดไว้ก่อนว่า “อันนี้คือความดี”
คิดปั้บ มันก็มีอุปทานไปเองว่ามันคือความดีปุ้บเลย จากนั้นพอไปทำ มันเป็นอดีตไปแล้ว เป็นของหมักดองไปแล้ว
มันก็คือ “อาสวะกิเลส” ความอยากดี อยากเป็นคนดี อยากทำความดี เห็นกิเลสในความดีนี้ไหม?
ทำแทบตายมันก็วนอยู่อารมณ์นี้ ไม่ออกจากอารมณ์จิตนี้ได้ ไปทางนี้อยู่ตลอด ไอ้เราก็ด่ามัน ให้สติมัน
ให้มันมาทางใหม่ มันจะได้ไปทาง “ความดีที่แท้จริง” เสียที มันก็ไม่ฟังเราละ มันก็ดื้อรั้นไปทางเดิมๆ ของมัน
กูดีอยู่แล้ว กูจะทำความดี อย่ามาขวางกู แกเป็นมาร กูต้องทำความดีให้ได้ ฯลฯ เอาเข้าไปนั่น 5555
เราไปให้สติมัน เลยกลายเป็นมารในสายตามันไปเลย เอ้า ช่างหัว

มัน ใครอยากมองเป็นมารเป็นอะไรก็ช่าง
มันดีว่ะ สนุกดี อิอิ กลับมาที่ “กิเลสเป็นโพธิ” กันใหม่ ถามว่า ทำความดีแล้วไม่เป็นความดีแท้จริง
กลายเป็นอาสวะกิเลส ของหมักดอง เป็นขยะไป ทำไมเป็นเช่นนั้น? ก็นี่แหละ พยายามจะอธิบายให้อาสวะกิเลสเป็นเหมือนดั่ง
โคลนตมหล่อเลี้ยงดอกบัวให้เกิด (กิเลส->โพธิ) แต่หลายคนไม่เข้าใจสักที ไปตั้งท่ากำหนดเอา อยากจะเป็นโพธิแล้วมันเลย
กลายเป็นอาสวะกิเลสแทน (โพธิ->กิเลส) เหมือนล้อธรรมจักรหมุนผิดทางแทนที่จะหมุนไปทางกิเลสเป็นโพธิ
ก็หมุนไปทางโพธิเป็นกิเลสซะนั่น ทีนี้เข้าใจหรือยังว่ามันพลาดไปตรงไหน? เพราะเอาโพธิมาเป็นตัวตั้ง
มันเลยกลายเป็นกิเลสอาสวะ (กิเลสตัณหาความอยากเป็นโพธิ) เราไม่ได้เอากิเลสของเราจริงๆ มาเป็นตัวตั้ง
เช่น ชายบอก เฮ้ย กูไม่ได้อยากทำดีอะไรนะ เห็นคนๆ นั้นแล้วอยากมี sex กูไปหามันเลย แต่พอไปเจอมันจริงๆ แล้ว
กลายเป็นว่ากูเปย์ เลี้ยงมันเฉยเลย แต่ก็ช่างมัน ไม่ได้มี sex ช่างหัว

มัน กูก็พอใจละ มีความสุขแค่ตรงนี้ก็เอาว่ะ
แบบนี้ไง กิเลสเป็นโพธิ เริ่มต้นจากกิเลสธรรมดาๆ นี่เลย กิเลสของจริงไหม? อยากจริงหรือไม่? ถ้าอยากจริงๆ อย่าโกหกตัวเอง
กิเลสเกิดสดๆ เอามันสดๆ เกิดดับสดๆ ไม่มีหมักดอง มันก็ไม่เกิด “อาสวะ” !
กิเลสเป็นโพธิ เกิดดับ ณ ปัจจุบัน ไม่หมักดองเป็นอาสวะนะ
+++++ กิเลสเป็นโพธิหรือโพธิเป็นกิเลส? +++++
ขอสงวนนามเจ้าของบทความนะครับ อททนหน่อนนะยาวพอควร
+++++ กิเลสเป็นโพธิหรือโพธิเป็นกิเลส? +++++
“มีสติในธรรมปัจจุบัน” วลีนี้มีความหมายอธิบายแล้วยาวเลย แต่ที่แน่ๆ คือ ไม่ใช่การไปกำหนดสติให้อยู่กับลมหายใน ณ ปัจจุบัน
อะไร แบบกำหนดเอานั้น มันเป็นอุปทาน เป็นอดีต ไม่ใช่ปัจจุบันนะ ถามว่าทำไมไม่ใช่? คือ เวลาเราตั้งใจจะทำสิ่งใดก่อนที่จะทำมันจริง
พอลงมือทำจริงปั้บ สิ่งที่เราตั้งใจไว้มันคืออดีตละ แต่ถ้าเราไม่ได้ตั้งใจ ทำเลย ณ ปัจจุบัน มโนกรรมนี้ก็เป็นแบบปัจจุบัน
ถ้าเราทำแบบปัจจุบันไม่เป็น เราตั้งท่ารออยู่เรื่อยๆ จะทำอะไรทีต้องตั้ง ต้องเจตนา ต้องกำหนดก่อน ทุกอย่างจะเป็นอดีตหมด
ไม่สดใหม่ ไม่สดใส ไม่เกิดดับปัจจุบัน ก็ไม่ใช่ธรรมปัจจุบัน หลายคนยังไม่ได้อยู่กับธรรมปัจจุบันจริง คำว่า อยู่กับธรรมปัจจุบัน
ไม่ได้แปลว่าเราจะคิดเรื่องอดีตหรืออนาคตไม่ได้นะ ถ้าเรามีความคิดไปในอดีตณ ปัจจุบันตอนนี้ ความคิดไปยังอดีตมันก็เกิดปัจจุบัน
มันก็คือ “ธรรมปัจจุบัน” เหมือนกัน เพราะมันไม่ใช่ของจากอดีตจริงๆ แต่มันเป็น “ความคิดปัจจุบัน” ของเราที่เกิด ณ ปัจจุบัน
เพียงแต่เนื้อหาเรื่องราวเป็นเรื่องอดีต เท่านั้นเอง หลายคนไปพยายามดับความคิดที่เกี่ยวข้องในอดีตและอนาคตให้หมด
เพื่อบีบบังคับตัวเองให้มีแต่ปัจจุบัน แบบนั้นไม่ใช่นะ ไม่เป็นธรรมะ ธรรมชาติ ไปตั้งท่ากำหนดปัจจุบันมากเกินไป
คำว่า “สติปัจจุบัน” นั้น จะเกิดดับพร้อมธรรมปัจจุบันนี่ละ ไม่อาจตั้งท่ารอไว้ก่อนได้ ไม่อาจวางแผนไว้ล่วงหน้าได้
สิ่งที่เกิดจะสดใหม่ของจริง ของแท้ ไม่ใช่อาสวะของหมักดองมาจากอดีต หากยังตั้งท่าจะทำอะไรดีๆ มันก็ไม่ใช่ความดีละ
มันเป็นกิเลสอาสวะ ความอยากจะดี อยากเป็นคนดี อยากได้ความดี ฯลฯ เห็นไหม? คำว่า “อาสวะ” ของหมักดอง มันเกิดแบบนี้
หลายคนคิดว่ามันเป็นความดีอยู่เลย ไม่ใช่ความดี มันเป็นกิเลสอาสวะ ความอยากดี อยากเป็นคนดี กิเลสตัณหาทั้งนั้น
หลายคนคิดว่าฉันทำความดีตั้งใจทำสิ่งที่ดีแล้วอุปทานไปเองทั้งหมดนะ มันคือ “กิเลสตัณหา” ความอยากดีอยากเป็นคนดี
พูดแบบนี้ไม่ใช่ห้ามทำดีนะ แต่กำลังบอกให้ “ทำความดีที่แท้จริง” ไม่ใช่ “ทำกิเลสอาสวะความอยากดี”
หลายคนไปทำกิเลสอาสวะ (ความอยากดี) แต่ยังไม่ได้ทำความดีจริงๆ แล้วชอบเอามาพูด มาอวดอ้าง
มาเถียงเอาชนะคนอื่นเขาอีกว่า “ฉันทำดี” ใครอย่ามาว่าฉันนะ ใครว่าฉันมันคือคนเลว อิจฉาฉันละสิ
มาจ้องจับผิดฉันทำไม เป็นมารละสิ บลาๆๆๆๆ ฯลฯ
นี่ละ อำนาจของกิเลสอาสวะมันเล่นงาน มันทำให้คนเราเตลิดหลงดี ติดดี มีดีเป็นอัตตาตัวตนกันแบบนี้เอง
ถ้ายังไม่รู้จักความดีที่แท้จริง สิ่งที่ทำมันก็มายาการ เฟคๆ เป็น “ผู้ดีจอมปลอม” เป็นงักปุ้กคุ้งกันไปหมดเลย 555
การมีสติในธรรมปัจจุบันนี้ พูดง่ายแต่ทำยาก หาคนทำได้จริงน้อยมาก อะไรที่เกิดปัจจุบันก็มีสติอยู่กับมันนั้นละ
เกิดปั้บมีสติเท่าทันเลย พอมันดับปั้บสติก็เท่าทันมันอีก สิ่งใหม่เกิดมาแทนที่ สติก็ทำงานเท่าทันมันอีก แบบนี้ก็ใช้ได้
แต่หลายคนไม่ใช่ไง หลายคนไปตั้งท่าเอา วางแผนเอา ตั้งเจตนาเอา กำหนดเอา ฯลฯ ไปก่อนทั้งนั้น ฉันจะไปวัดนั้น
เขามีพระดี กิเลสอาสวะความอยากเจอพระดีมันก็เกิด ไม่ได้ห้ามกิเลส มีกิเลสได้ ใช้กิเลสเป็นโพธิได้
แต่หลายคนมันไม่เป็นโพธิ มันเป็นอาสวะ เป็นของหมักดองอยู่เรื่อยๆ แทนที่จะเป็นโพธิกิเลส ก็เป็นอาสวะกิเลส
วนอยู่อารมณ์จิตเดิมๆ อยู่อย่างนั้นเอง เพราะจิตมันชินทางเดิมๆ อารมณ์เดิมๆ มันไม่มีประสบการณ์กับทางใหม่ๆ
มรรคใหม่ๆ มันก็ไปทางเดิมของมัน เก็จมั้ย? เหมือนคุณอยากทำความดีอะไรก็แล้วแต่ คุณมักคิดไว้ก่อนว่า “อันนี้คือความดี”
คิดปั้บ มันก็มีอุปทานไปเองว่ามันคือความดีปุ้บเลย จากนั้นพอไปทำ มันเป็นอดีตไปแล้ว เป็นของหมักดองไปแล้ว
มันก็คือ “อาสวะกิเลส” ความอยากดี อยากเป็นคนดี อยากทำความดี เห็นกิเลสในความดีนี้ไหม?
ทำแทบตายมันก็วนอยู่อารมณ์นี้ ไม่ออกจากอารมณ์จิตนี้ได้ ไปทางนี้อยู่ตลอด ไอ้เราก็ด่ามัน ให้สติมัน
ให้มันมาทางใหม่ มันจะได้ไปทาง “ความดีที่แท้จริง” เสียที มันก็ไม่ฟังเราละ มันก็ดื้อรั้นไปทางเดิมๆ ของมัน
กูดีอยู่แล้ว กูจะทำความดี อย่ามาขวางกู แกเป็นมาร กูต้องทำความดีให้ได้ ฯลฯ เอาเข้าไปนั่น 5555
เราไปให้สติมัน เลยกลายเป็นมารในสายตามันไปเลย เอ้า ช่างหัว
มันดีว่ะ สนุกดี อิอิ กลับมาที่ “กิเลสเป็นโพธิ” กันใหม่ ถามว่า ทำความดีแล้วไม่เป็นความดีแท้จริง
กลายเป็นอาสวะกิเลส ของหมักดอง เป็นขยะไป ทำไมเป็นเช่นนั้น? ก็นี่แหละ พยายามจะอธิบายให้อาสวะกิเลสเป็นเหมือนดั่ง
โคลนตมหล่อเลี้ยงดอกบัวให้เกิด (กิเลส->โพธิ) แต่หลายคนไม่เข้าใจสักที ไปตั้งท่ากำหนดเอา อยากจะเป็นโพธิแล้วมันเลย
กลายเป็นอาสวะกิเลสแทน (โพธิ->กิเลส) เหมือนล้อธรรมจักรหมุนผิดทางแทนที่จะหมุนไปทางกิเลสเป็นโพธิ
ก็หมุนไปทางโพธิเป็นกิเลสซะนั่น ทีนี้เข้าใจหรือยังว่ามันพลาดไปตรงไหน? เพราะเอาโพธิมาเป็นตัวตั้ง
มันเลยกลายเป็นกิเลสอาสวะ (กิเลสตัณหาความอยากเป็นโพธิ) เราไม่ได้เอากิเลสของเราจริงๆ มาเป็นตัวตั้ง
เช่น ชายบอก เฮ้ย กูไม่ได้อยากทำดีอะไรนะ เห็นคนๆ นั้นแล้วอยากมี sex กูไปหามันเลย แต่พอไปเจอมันจริงๆ แล้ว
กลายเป็นว่ากูเปย์ เลี้ยงมันเฉยเลย แต่ก็ช่างมัน ไม่ได้มี sex ช่างหัว
แบบนี้ไง กิเลสเป็นโพธิ เริ่มต้นจากกิเลสธรรมดาๆ นี่เลย กิเลสของจริงไหม? อยากจริงหรือไม่? ถ้าอยากจริงๆ อย่าโกหกตัวเอง
กิเลสเกิดสดๆ เอามันสดๆ เกิดดับสดๆ ไม่มีหมักดอง มันก็ไม่เกิด “อาสวะ” !
กิเลสเป็นโพธิ เกิดดับ ณ ปัจจุบัน ไม่หมักดองเป็นอาสวะนะ