
สวัสดีครับ กระทู้นี้เราจะมารีวิวการเป็นเด็กในโครงการ Work and Travel 2017 กับอุทยานแห่งชาติ Yellowstone National Park กันนะครับข้อมูลในกระทู้นี้จะพยายามเล่าให้ครบทุกๆด้านตั้งแต่การทำงาน การกินอยู่ การไปเที่ยวในอุทยาน เพื่อเป็นเหมือนบันทึกประสบการณ์การทำงานในต่างแดนของเด็ก WAT หรือสำหรับคนที่อยากจะไปเที่ยว Yellowstone
มาเริ่มกันตั้งแต่จะไปกันก่อนดีกว่า ว่าต้องเตรียมตัวยังไง ทำอะไรบ้างก่อนจะไป Work and Travel
หาจุดประสงค์ของตัวเอง
Work and Travel ถ้าชื่อโครงการตามตัวก็คือ ทำงาน และ เที่ยว เพราะฉะนั้นจุดประสงค์ของโครงการคือ ทำงานและเที่ยวไปด้วยได้พร้อมๆกัน ทีนี้ก่อนจะไปก็ต้องตอบตัวเองให้ได้ว่า เราอยากไป WAT เพื่ออะไร ไปแล้วจะคิดเสียดายเงินรึเปล่า คุ้มค่ามั้ย (สำหรับเรามันคุ้มค่ามากกกกก) ที่ได้แน่ๆคือประสบการณ์ล้วนๆ ภาษากับเงินเป็นเหมือนโบนัส เพราะนี่เป็นการไปต่างแดนไกลบ้านครั้งแรกของเรา (ท่องเที่ยวทั่วไทยมานานแสนนาน ได้ออกนอกประเทศกะเขาซะที) หลังจากเรารู้แล้วว่าเราอยากจะไป Work อยากไปเหยียบ USA กะเขาบ้าง ก็ลองหาข้อมูลคร่าวๆ อ่านรีวิว ดูว่ามีงานประเภทไหนให้ทำ คิดว่าตัวเองพอที่จะทำงานแบบนี้ได้รึเปล่า ภาษาเราจะคุยกับเขารู้เรื่องไหม จากนั้นถ้ามั่นใจแล้วก็มุ่งไปสมัครโครงการกันเลย!
เลือก Agency
Agency คือหน่วยงานที่จะดูแลเราในส่วนของงานเอกสาร การติดต่อขอวีซ่า ตลอดจนการติดต่อกับนายจ้างให้เราก่อนที่เราจะไปทำงานที่อเมริกา ซึ่งในส่วนของ Agency ก็แล้วแต่ละคนจะหาข้อมูล ฟังจากคนที่เคยไป กระทู้นู่นนี่ ส่วนที่เราเลือกคือ O (เดาไม่ยากเนอะ) เพราะว่าคุยกับเพื่อนที่เคยไป Exchange USA คุยไปคุยมาเพื่อนก็บอกว่าจะไป Work ไปด้วยกันมั้ย ก็เลยไปด้วยกันเฉย
พอเราเลือก Agency ได้แล้ว เรากับเพื่อนก็บุกไปถึงตึกสำนักงานกันเลย ตัวเราเองในตอนนั้นก็ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะเจอกับงานอะไรที่ไหน เพราะตอนนั้นคือ แค่อยากไปอเมริกาก็พอแล้ว งานมีอะไรก็ได้ เราทำได้ทั้งนั้น (แต่ที่จริงแล้วมันมีมากกว่านั้น....) พอขึ้นไปถึงที่สำนักงาน เรากับเพื่อนก็บอกกับพี่ๆเขาว่า อยากสมัครโครงการ Work and Travel ต้องทำยังไงบ้าง? เขาจะให้เราสัมภาษณ์ระดับภาษาก่อน เพราะระดับภาษาก็จะมีผลต่องานที่มีให้เลือก (จากที่คิดไว้ว่างานอะไรก็ได้ ทำให้เราต้องมาพะวงกับระดับภาษาตัวเองเลย ยิ่งได้ระดับสูง ตัวเลือกงานก็จะเยอะ) จากนั้นเขาก็จะพาเราเข้าไปในห้องสัมภาษณ์ คำถามก็จะเป็นเกี่ยวกับ ชื่ออะไร เรียนที่ไหน ทำกิจกรรมอะไรบ้าง ทำไมถึงอยากทำงานนี้ ถ้าเจอปัญหาจะจัดการยังไง พอสัมภาษณ์เสร็จ เขาก็จะให้เราออกมารอผล ซึ่งระดับที่เราได้คือ Upper intermediate (ค่อนข้างโล่งใจ) ส่วนเพื่อนเราเป็นเด็กเก่า Exchange ไม่ต้องวัดระดับใหม่เลยได้ Advanced ทีนี้ พี่เขาก็จะให้ เป็นเหมือนหนังสือรายละเอียดสถานที่ทำงานตามรัฐต่างๆในอเมริกา เราก็ต้องเลือกงานที่มีระดับภาษาของเราและของเพื่อน ในตอนนั้นก็จะมาจบกับงานสวนสนุก กับ งานอุทยาน แต่ก็เลือกงานอุทยานไป เพราะเราคิดว่า จบงานไปเที่ยวต่อสวนสนุกได้ แต่อุทยานเที่ยวเป็นเดือนก็ไม่หมด
ทำไมถึงต้องอุทยานแห่งชาติ Yellowstone ?
สำหรับเราตอนนั้นคือได้โพลารอยด์ตัวใหม่ กับ เลนส์กล้องใหม่ ก็เลยเลือกอุทยานเพราะอยากไปเก็บรูปถ่ายสวยๆ บวกกับอุทยานในตัวเลือกที่มีอีกสองที่คือ Glacier สวยมากแต่เต็ม กับ Grand Canyon เราเลือก Yellowstone ซึ่งมีป่าเขาธรรมชาติและสัตว์เยอะแยะมากมาย พออ่านรายละเอียดงานตามระดับภาษาของเรากับเพื่อนที่ไปกันได้คือ Hospitality Crew ซึ่งก็แบ่งออกมาเป็น Housekeeping กับ Kitchen Crew เรทงานเท่ากันคือ $8.75/Hr และบวกกับค่าบ้านที่ถูกมาก อยู่ที่ $22.44/สัปดาห์ ค่าอาหาร 3 มื้อในห้องอาหารพนักงาน $11.51/วัน ที่พักอาหารพร้อมขนาดนี้ เวิคแน่นอน แต่เห็นแอบเขียนไว้มุมเล็กๆว่า Internet อาจจะ low เนื่องจากอยู่บนเขา ก็มีหวั่นๆใจกันเล็กน้อย แต่สุดท้ายก็เลือก Kitchen Crew ไปเพราะคิดว่าทำงานในครัวน่าจะสนุกกว่าเก็บกวาดห้อง บวกกับเป็นสถานที่ท่องเที่ยว คนน่าจะเยอะไม่เหงา (หลายๆคนอาจจะหวัง เรื่อง Second jobs ซึ่งค่อนข้างยากสำหรับที่นี่ แต่การขอ OT เราสามารถพูดคุยกับ Managers ได้) และด้วยความที่อุทยานมันกว้างมากๆ ที่เที่ยวก็คงจะเยอะ เลยจบที่ Yellowstone
* ทั้งนี้ทั้งนั้นการจะได้งาน ขึ้นอยู่กับการจองงานให้ทันด้วยนะ เพราะคนสมัครเยอะ แต่จำนวนงานมีจำกัด

Old Faithful Geyser
สัมภาษณ์งานกับนายจ้าง
หลังจากเรากดจองงานกันได้แล้ว ก็มาถึงจุดที่จะเป็นตัวตัดสินว่าเราจะได้งานจริงๆ นั้นก็คือ การสัมภาษณ์งานกับนายจ้าง ซึ่งจะมีการสัมภาษณ์สองวิธีคือ สัมภาษณ์กับนายจ้างผ่าน Skype กับ สัมภาษณ์กับนายจ้างโดยตรง คือนายจ้างบินมาหาเราเพื่อสัมภาษณ์ที่ไทย พอถึงวันจริง เราก็ไปโรมแรมที่ระบุไว้ในวันนัดสัมภาษณ์งานตั้งแต่เช้า พอไปถึงก็จะมีเรียกเข้าไปแนะแนวการสัมภาษณ์ก่อนสักเล็กน้อย จากนั้นจะมี Agency จากฝั่ง USA เข้ามาอธิบายโครงการ ระหว่างนี้เขาก็จะเรียกเข้าไปสัมภาษณ์ทีละ 15 คน พอถึงคิวเรา ก็จะกับนายจ้างเป็นผู้หญิงสองคน เขาแบ่งกันสัมภาษณ์กันเป็นสองฝั่ง เราพยายามไม่ตื่นเต้น เพื่อที่เวลาตอบคำถามจะได้ไม่ประหม่า และแล้วพอถึงคิว เขาก็เรียกเรากับเพื่อนเข้าไปสัมภาษณ์พร้อมกันเลย (แต่ก็ถามทีละคนอยู่ดี -.-) จากนั้น คำถามที่ลุ้นและรอคอยว่าคำถามแรกก็คือ "ทำไมถึงเลือกบริษัทของเรา ?" ก็ตอบไปตามที่เตรียมตัวมา จากนั้นเขาก็จะถามรายละเอียดส่วนตัวพวกการศึกษา มีเป้าหมายอะไรที่เกี่ยวกับ USA มั้ยย แล้วก็คุยกันเรื่องวันเดินทาง ชุดเครื่องแบบ รองเท้า การอยู่อาศัย แล้วเขาก็จะอธิบายเรื่องเอกสารที่เราต้องเตรียมให้พร้อม จากนั้นพอคุยเรื่องงานที่จะต้องทำ เขาก็จะบอกว่า ในตอนนี้ยังไม่สามารถระบุได้อย่างชัดเจนว่าคุณจะได้ทำงานอะไร แต่เขาก็จะให้เราเขียนระบุเน้นได้ว่าอยากทำงานประเภทไหน แล้วมีหมู่บ้านในใจเฉพาะเจาะจงมั้ยที่อยากไปทำงานใน Yellowstone เรากับเพื่อนก็ เลือกหมู่บ้าน Old faithful ไป เพราะส่วนนึงเพื่อนเราเคยไปเที่ยว และก็คิดว่ามันเป็นหมู่บ้านที่ใหญ่ที่สุด คงจะมีความสะดวกสบายอะไรแน่นอน จากนั้นก็คุยเรื่องวันเดินทางกันเสร็จ ซึ่งตรงนี้เขาจะถามให้ชัดเจนและแน่ใจว่าการไปของเราไม่กระทบกับการเปิดภาคเรียนของเรา หลังจากแน่ใจในรายละเอียดทั้งหมดที่คุย เขาก็บอกกับเราว่า "ทางเรายินดีที่จะได้ร่วมงานกับคุณ" เป็นอันว่า ผ่านสัมภาษณ์
สัมภาษณ์ VISA J-1
หลังจากผ่านสัมภาษณ์งาน ก็มาถึงด่านสุดท้ายนั่นคือ การสัมภาษณ์เพื่อขอรับ Visa J-1 ซึ่งจากที่เคยผ่านๆหู หรืออ่านๆมานั้น Visa ของ USA ดูเป็นอะไรที่หินมากๆ เราก็ค่อนข้างกลัวมาก เพราะสัมภาษณ์หนึ่งครั้งก็มีค่าใช้จ่าย และ ระยะเวลาการจองและรอคิวที่นาน ถ้าไม่ผ่านขึ้นมาจะเป็นเรื่องวุ่นวายแน่ๆ ก็เลยเป็นช่วงที่หากระทู้ที่เกี่ยวสัมภาษณ์ Visa ของ USA เยอะมากๆ พยายามทำการบ้านให้เป็นอย่างดี เพื่อเตรียมพร้อมรับมือ จากนั้นก็รอวันประกาศสัมภาษณ์ Visa จากทาง Agency และพอถึงวันสัมภาษณ์ ก็ไปรับเอกสารที่สำนักงาน Agency ในตอนเช้า ตรวจสอบเช็คเอกสารให้ครบ เรียงลำดับให้ถูก เพื่อไม่ให้เป็นปัญหา โดยหลักๆ ในส่วนของ เอกสารก็จะมี passport ,รูปถ่าย 2x2 นิ้ว, DS-2019 นอกเหนือจากนี้คือเตรียมไปเผื่อเรียก จากนั้นพอถึงเวลานัด ก็ไปที่หน้าสถานทูต มีเพื่อนๆใส่ชุดนศ.ยืนเรียงกันเป็นแถวยาว พอใกล้จะเข้าประตูเขาก็จะแจกบัตรคิวเรา จากนั้นพอเข้าไปด้านในก็ยื่นบัตรคิวคืนให้ จากนั้นจะให้ปิดมือถือและฝากกระเป๋า และให้บัตรสำหรับเอาสัมภาระคืน แล้วเดินเข้าไปรอคิว ระหว่างรอสัมภาษณ์ ก็จะมีแถวให้เข้าไปให้เจ้าหน้าที่เช็คเอกสาร พร้อมแยกเอกสารที่ไม่ได้ใช้ออกมา และให้อ่านใบสิทธิที่เราควรจะได้ **สำคัญมากต้องอ่านให้เรียบร้อย เพราะเขาอาจจะมีถามเรา** พร้อมกรอกใบที่อยู่สำหรับจัดส่ง passport เพราะทางสถานทูตจะเก็บไป
เข้าไปในห้องสัมภาษณ์ก็มีตู้กระจกเรียงกันหลายๆตู้ ระหว่างนี้จะมีแถวยาวมาก ก็รอไปเรื่อยๆ จนถึงคิว **ตรงนี้ต้องคอยฟังเจ้าหน้าที่เรียกว่าช่องไหนว่าง** คนสัมภาษณ์มีทั้งคนไทยและต่างชาติ แต่ที่เราเจอเป็นคนต่างชาติ เขาก็จะขอเอกสารเรา พร้อมให้เราสแกนลายนิ้วมือ ระหว่างที่ตรวจก็จะถามเราด้วยความเร็วแบบที่เราเกือบฟังไม่ทัน เช่น ไปทำอะไร ไปทำที่ไหน เคยไป USA มาก่อนรึเปล่า ถ้ามีปัญหาจะจัดการอย่างไร แล้วรู้เรื่องสิทธิที่จะได้รับมั้ย ณ ตอนนั้นคือตื่นเต้นมากๆ แต่ก็ตอบไปแบบเร็วๆ แล้วก็ผ่านมาได้ด้วยดี เจ้าหน้าที่ก็จะบอกว่า Visa ของคุณได้รับการอนุมัติ ขอให้โชคดี เป็นอันจบสัมภาษณ์ จากนั้นเดินออกจากห้องด้วยความโล่งใจที่ผ่านมาได้ด้วยดี แล้วเราก็จะต้องนำใบที่กรอกเกี่ยวกับที่อยู่ในการจัดส่ง passport คืน ไปให้ที่ไปรษณีย์เป็นอันเสร็จภารกิจ (ซึ่งของทางเรา Agency จะรวบรวมให้ไปส่งที่สำนักงาน)
เตรียมตัวให้พร้อม
จัดการเรื่องจองตั๋วเครื่องบินให้เรียบร้อย ไม่ว่าจะจองเอง หรือ ให้ทาง Agency จัดการให้ จากนั้นช่วงใกล้ๆ จะถึงวันไป ทาง Agency มีจัดแนะแนว การเตรียมตัว พร้อมการทำเอกสารต่างๆ ที่จะต้องไปทำที่ USA ไม่ว่าจะเป็นการรายงานตัวกับหน่วยงาน Agency ของฝั่ง USA การทำ Social Security Number รวมถึงการทำเรื่องขอยื่น Paycheck สำหรับ เงินค่าจ้างใบสุดท้าย ที่โดยปกติ นายจ้างจะส่งกลับมาที่ไทย **กรณีของ Yellowstone ปีนี้ที่เราไป ไม่รู้ว่าปีอื่นเป็นแบบนี้รึเปล่า แต่ของเรา Paycheck ได้ที่ USA ทุกใบ ไม่มีที่ต้องนำมาขึ้นเงินที่ไทย** และการเตรียมสัมภาระ สำหรับที่ทางนายจ้างขอมาเป็นรองเท้าสีดำ พื้นดำ กลายเป็นเรื่องยุ่งของเราอยู่ช่วงนึงที่ต้องตามหารองเท้าที่ทำงานในครัวได้ ไม่ลื่น ส่วนเรื่องยูนิฟอร์ม ทางบริษัทจะมีให้ เราก็ไปเตรียมตัวจัดกระเป๋าแบบฉบับที่คิดว่า เอาไปให้น้อยและง่ายที่สุด ก็เลยใส่แต่ของจำเป็นเสื้อผ้า เสื้อกันหนาว ลองจอน ยา โน้ตบุ๊ค ข้าวของเครื่องใช้ส่วนตัว ส่วนพวกเครื่องอาบน้ำ โลชั่นกันแดด อะไรที่เป็นของเหลวกะไปหาซื้อเอาที่นู่นเพราะกลัวหนัก เลยจบที่เป้หนึ่งใบ กับ ขาตั้งกล้อง (ซึ่งในตอนหลังมารู้ว่าเป็นความคิดที่ผิดมากกกก เพราะเราไม่ได้เอา มาม่าไปด้วยยยยยยยยยย) จากนั้นก็ไปแลกเงินสำหรับใช้จ่ายในช่วงหนึ่งเดือนแรกที่ยังไม่มีเงินค่าจ้าง ตอนนั้นเราแลกไปติดตัว $1000 ระหว่างนั้นก็รีบพยายามจัดการการบ้าน งานที่มหาลัย ติดต่ออาจารย์เรื่องที่ต้องขอสอบก่อน จนทำให้เลื่อนสอบทั้งห้อง (ฮาาา) แล้วก็จองโรงแรมที่ Bozeman,MT สำหรับคืนก่อนที่จะเข้าอุทยาน ตามที่นายจ้างได้แจ้งเรามา เมื่อทุกอย่างพร้อมเรียบร้อยก็นั่งนับเวลารอวันที่จะได้ขึ้นเครื่องออกไปโลดแล่นในต่างแดนเสียที
Work and Travel 2017 - Yellowstone National Park จะเป็นเด็กหินเหลืองนั้นต้องทำตัวยังไง
มาเริ่มกันตั้งแต่จะไปกันก่อนดีกว่า ว่าต้องเตรียมตัวยังไง ทำอะไรบ้างก่อนจะไป Work and Travel
หาจุดประสงค์ของตัวเอง
Work and Travel ถ้าชื่อโครงการตามตัวก็คือ ทำงาน และ เที่ยว เพราะฉะนั้นจุดประสงค์ของโครงการคือ ทำงานและเที่ยวไปด้วยได้พร้อมๆกัน ทีนี้ก่อนจะไปก็ต้องตอบตัวเองให้ได้ว่า เราอยากไป WAT เพื่ออะไร ไปแล้วจะคิดเสียดายเงินรึเปล่า คุ้มค่ามั้ย (สำหรับเรามันคุ้มค่ามากกกกก) ที่ได้แน่ๆคือประสบการณ์ล้วนๆ ภาษากับเงินเป็นเหมือนโบนัส เพราะนี่เป็นการไปต่างแดนไกลบ้านครั้งแรกของเรา (ท่องเที่ยวทั่วไทยมานานแสนนาน ได้ออกนอกประเทศกะเขาซะที) หลังจากเรารู้แล้วว่าเราอยากจะไป Work อยากไปเหยียบ USA กะเขาบ้าง ก็ลองหาข้อมูลคร่าวๆ อ่านรีวิว ดูว่ามีงานประเภทไหนให้ทำ คิดว่าตัวเองพอที่จะทำงานแบบนี้ได้รึเปล่า ภาษาเราจะคุยกับเขารู้เรื่องไหม จากนั้นถ้ามั่นใจแล้วก็มุ่งไปสมัครโครงการกันเลย!
เลือก Agency
Agency คือหน่วยงานที่จะดูแลเราในส่วนของงานเอกสาร การติดต่อขอวีซ่า ตลอดจนการติดต่อกับนายจ้างให้เราก่อนที่เราจะไปทำงานที่อเมริกา ซึ่งในส่วนของ Agency ก็แล้วแต่ละคนจะหาข้อมูล ฟังจากคนที่เคยไป กระทู้นู่นนี่ ส่วนที่เราเลือกคือ O (เดาไม่ยากเนอะ) เพราะว่าคุยกับเพื่อนที่เคยไป Exchange USA คุยไปคุยมาเพื่อนก็บอกว่าจะไป Work ไปด้วยกันมั้ย ก็เลยไปด้วยกันเฉย
พอเราเลือก Agency ได้แล้ว เรากับเพื่อนก็บุกไปถึงตึกสำนักงานกันเลย ตัวเราเองในตอนนั้นก็ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะเจอกับงานอะไรที่ไหน เพราะตอนนั้นคือ แค่อยากไปอเมริกาก็พอแล้ว งานมีอะไรก็ได้ เราทำได้ทั้งนั้น (แต่ที่จริงแล้วมันมีมากกว่านั้น....) พอขึ้นไปถึงที่สำนักงาน เรากับเพื่อนก็บอกกับพี่ๆเขาว่า อยากสมัครโครงการ Work and Travel ต้องทำยังไงบ้าง? เขาจะให้เราสัมภาษณ์ระดับภาษาก่อน เพราะระดับภาษาก็จะมีผลต่องานที่มีให้เลือก (จากที่คิดไว้ว่างานอะไรก็ได้ ทำให้เราต้องมาพะวงกับระดับภาษาตัวเองเลย ยิ่งได้ระดับสูง ตัวเลือกงานก็จะเยอะ) จากนั้นเขาก็จะพาเราเข้าไปในห้องสัมภาษณ์ คำถามก็จะเป็นเกี่ยวกับ ชื่ออะไร เรียนที่ไหน ทำกิจกรรมอะไรบ้าง ทำไมถึงอยากทำงานนี้ ถ้าเจอปัญหาจะจัดการยังไง พอสัมภาษณ์เสร็จ เขาก็จะให้เราออกมารอผล ซึ่งระดับที่เราได้คือ Upper intermediate (ค่อนข้างโล่งใจ) ส่วนเพื่อนเราเป็นเด็กเก่า Exchange ไม่ต้องวัดระดับใหม่เลยได้ Advanced ทีนี้ พี่เขาก็จะให้ เป็นเหมือนหนังสือรายละเอียดสถานที่ทำงานตามรัฐต่างๆในอเมริกา เราก็ต้องเลือกงานที่มีระดับภาษาของเราและของเพื่อน ในตอนนั้นก็จะมาจบกับงานสวนสนุก กับ งานอุทยาน แต่ก็เลือกงานอุทยานไป เพราะเราคิดว่า จบงานไปเที่ยวต่อสวนสนุกได้ แต่อุทยานเที่ยวเป็นเดือนก็ไม่หมด
ทำไมถึงต้องอุทยานแห่งชาติ Yellowstone ?
สำหรับเราตอนนั้นคือได้โพลารอยด์ตัวใหม่ กับ เลนส์กล้องใหม่ ก็เลยเลือกอุทยานเพราะอยากไปเก็บรูปถ่ายสวยๆ บวกกับอุทยานในตัวเลือกที่มีอีกสองที่คือ Glacier สวยมากแต่เต็ม กับ Grand Canyon เราเลือก Yellowstone ซึ่งมีป่าเขาธรรมชาติและสัตว์เยอะแยะมากมาย พออ่านรายละเอียดงานตามระดับภาษาของเรากับเพื่อนที่ไปกันได้คือ Hospitality Crew ซึ่งก็แบ่งออกมาเป็น Housekeeping กับ Kitchen Crew เรทงานเท่ากันคือ $8.75/Hr และบวกกับค่าบ้านที่ถูกมาก อยู่ที่ $22.44/สัปดาห์ ค่าอาหาร 3 มื้อในห้องอาหารพนักงาน $11.51/วัน ที่พักอาหารพร้อมขนาดนี้ เวิคแน่นอน แต่เห็นแอบเขียนไว้มุมเล็กๆว่า Internet อาจจะ low เนื่องจากอยู่บนเขา ก็มีหวั่นๆใจกันเล็กน้อย แต่สุดท้ายก็เลือก Kitchen Crew ไปเพราะคิดว่าทำงานในครัวน่าจะสนุกกว่าเก็บกวาดห้อง บวกกับเป็นสถานที่ท่องเที่ยว คนน่าจะเยอะไม่เหงา (หลายๆคนอาจจะหวัง เรื่อง Second jobs ซึ่งค่อนข้างยากสำหรับที่นี่ แต่การขอ OT เราสามารถพูดคุยกับ Managers ได้) และด้วยความที่อุทยานมันกว้างมากๆ ที่เที่ยวก็คงจะเยอะ เลยจบที่ Yellowstone
* ทั้งนี้ทั้งนั้นการจะได้งาน ขึ้นอยู่กับการจองงานให้ทันด้วยนะ เพราะคนสมัครเยอะ แต่จำนวนงานมีจำกัด
สัมภาษณ์งานกับนายจ้าง
หลังจากเรากดจองงานกันได้แล้ว ก็มาถึงจุดที่จะเป็นตัวตัดสินว่าเราจะได้งานจริงๆ นั้นก็คือ การสัมภาษณ์งานกับนายจ้าง ซึ่งจะมีการสัมภาษณ์สองวิธีคือ สัมภาษณ์กับนายจ้างผ่าน Skype กับ สัมภาษณ์กับนายจ้างโดยตรง คือนายจ้างบินมาหาเราเพื่อสัมภาษณ์ที่ไทย พอถึงวันจริง เราก็ไปโรมแรมที่ระบุไว้ในวันนัดสัมภาษณ์งานตั้งแต่เช้า พอไปถึงก็จะมีเรียกเข้าไปแนะแนวการสัมภาษณ์ก่อนสักเล็กน้อย จากนั้นจะมี Agency จากฝั่ง USA เข้ามาอธิบายโครงการ ระหว่างนี้เขาก็จะเรียกเข้าไปสัมภาษณ์ทีละ 15 คน พอถึงคิวเรา ก็จะกับนายจ้างเป็นผู้หญิงสองคน เขาแบ่งกันสัมภาษณ์กันเป็นสองฝั่ง เราพยายามไม่ตื่นเต้น เพื่อที่เวลาตอบคำถามจะได้ไม่ประหม่า และแล้วพอถึงคิว เขาก็เรียกเรากับเพื่อนเข้าไปสัมภาษณ์พร้อมกันเลย (แต่ก็ถามทีละคนอยู่ดี -.-) จากนั้น คำถามที่ลุ้นและรอคอยว่าคำถามแรกก็คือ "ทำไมถึงเลือกบริษัทของเรา ?" ก็ตอบไปตามที่เตรียมตัวมา จากนั้นเขาก็จะถามรายละเอียดส่วนตัวพวกการศึกษา มีเป้าหมายอะไรที่เกี่ยวกับ USA มั้ยย แล้วก็คุยกันเรื่องวันเดินทาง ชุดเครื่องแบบ รองเท้า การอยู่อาศัย แล้วเขาก็จะอธิบายเรื่องเอกสารที่เราต้องเตรียมให้พร้อม จากนั้นพอคุยเรื่องงานที่จะต้องทำ เขาก็จะบอกว่า ในตอนนี้ยังไม่สามารถระบุได้อย่างชัดเจนว่าคุณจะได้ทำงานอะไร แต่เขาก็จะให้เราเขียนระบุเน้นได้ว่าอยากทำงานประเภทไหน แล้วมีหมู่บ้านในใจเฉพาะเจาะจงมั้ยที่อยากไปทำงานใน Yellowstone เรากับเพื่อนก็ เลือกหมู่บ้าน Old faithful ไป เพราะส่วนนึงเพื่อนเราเคยไปเที่ยว และก็คิดว่ามันเป็นหมู่บ้านที่ใหญ่ที่สุด คงจะมีความสะดวกสบายอะไรแน่นอน จากนั้นก็คุยเรื่องวันเดินทางกันเสร็จ ซึ่งตรงนี้เขาจะถามให้ชัดเจนและแน่ใจว่าการไปของเราไม่กระทบกับการเปิดภาคเรียนของเรา หลังจากแน่ใจในรายละเอียดทั้งหมดที่คุย เขาก็บอกกับเราว่า "ทางเรายินดีที่จะได้ร่วมงานกับคุณ" เป็นอันว่า ผ่านสัมภาษณ์
สัมภาษณ์ VISA J-1
หลังจากผ่านสัมภาษณ์งาน ก็มาถึงด่านสุดท้ายนั่นคือ การสัมภาษณ์เพื่อขอรับ Visa J-1 ซึ่งจากที่เคยผ่านๆหู หรืออ่านๆมานั้น Visa ของ USA ดูเป็นอะไรที่หินมากๆ เราก็ค่อนข้างกลัวมาก เพราะสัมภาษณ์หนึ่งครั้งก็มีค่าใช้จ่าย และ ระยะเวลาการจองและรอคิวที่นาน ถ้าไม่ผ่านขึ้นมาจะเป็นเรื่องวุ่นวายแน่ๆ ก็เลยเป็นช่วงที่หากระทู้ที่เกี่ยวสัมภาษณ์ Visa ของ USA เยอะมากๆ พยายามทำการบ้านให้เป็นอย่างดี เพื่อเตรียมพร้อมรับมือ จากนั้นก็รอวันประกาศสัมภาษณ์ Visa จากทาง Agency และพอถึงวันสัมภาษณ์ ก็ไปรับเอกสารที่สำนักงาน Agency ในตอนเช้า ตรวจสอบเช็คเอกสารให้ครบ เรียงลำดับให้ถูก เพื่อไม่ให้เป็นปัญหา โดยหลักๆ ในส่วนของ เอกสารก็จะมี passport ,รูปถ่าย 2x2 นิ้ว, DS-2019 นอกเหนือจากนี้คือเตรียมไปเผื่อเรียก จากนั้นพอถึงเวลานัด ก็ไปที่หน้าสถานทูต มีเพื่อนๆใส่ชุดนศ.ยืนเรียงกันเป็นแถวยาว พอใกล้จะเข้าประตูเขาก็จะแจกบัตรคิวเรา จากนั้นพอเข้าไปด้านในก็ยื่นบัตรคิวคืนให้ จากนั้นจะให้ปิดมือถือและฝากกระเป๋า และให้บัตรสำหรับเอาสัมภาระคืน แล้วเดินเข้าไปรอคิว ระหว่างรอสัมภาษณ์ ก็จะมีแถวให้เข้าไปให้เจ้าหน้าที่เช็คเอกสาร พร้อมแยกเอกสารที่ไม่ได้ใช้ออกมา และให้อ่านใบสิทธิที่เราควรจะได้ **สำคัญมากต้องอ่านให้เรียบร้อย เพราะเขาอาจจะมีถามเรา** พร้อมกรอกใบที่อยู่สำหรับจัดส่ง passport เพราะทางสถานทูตจะเก็บไป
เข้าไปในห้องสัมภาษณ์ก็มีตู้กระจกเรียงกันหลายๆตู้ ระหว่างนี้จะมีแถวยาวมาก ก็รอไปเรื่อยๆ จนถึงคิว **ตรงนี้ต้องคอยฟังเจ้าหน้าที่เรียกว่าช่องไหนว่าง** คนสัมภาษณ์มีทั้งคนไทยและต่างชาติ แต่ที่เราเจอเป็นคนต่างชาติ เขาก็จะขอเอกสารเรา พร้อมให้เราสแกนลายนิ้วมือ ระหว่างที่ตรวจก็จะถามเราด้วยความเร็วแบบที่เราเกือบฟังไม่ทัน เช่น ไปทำอะไร ไปทำที่ไหน เคยไป USA มาก่อนรึเปล่า ถ้ามีปัญหาจะจัดการอย่างไร แล้วรู้เรื่องสิทธิที่จะได้รับมั้ย ณ ตอนนั้นคือตื่นเต้นมากๆ แต่ก็ตอบไปแบบเร็วๆ แล้วก็ผ่านมาได้ด้วยดี เจ้าหน้าที่ก็จะบอกว่า Visa ของคุณได้รับการอนุมัติ ขอให้โชคดี เป็นอันจบสัมภาษณ์ จากนั้นเดินออกจากห้องด้วยความโล่งใจที่ผ่านมาได้ด้วยดี แล้วเราก็จะต้องนำใบที่กรอกเกี่ยวกับที่อยู่ในการจัดส่ง passport คืน ไปให้ที่ไปรษณีย์เป็นอันเสร็จภารกิจ (ซึ่งของทางเรา Agency จะรวบรวมให้ไปส่งที่สำนักงาน)
เตรียมตัวให้พร้อม
จัดการเรื่องจองตั๋วเครื่องบินให้เรียบร้อย ไม่ว่าจะจองเอง หรือ ให้ทาง Agency จัดการให้ จากนั้นช่วงใกล้ๆ จะถึงวันไป ทาง Agency มีจัดแนะแนว การเตรียมตัว พร้อมการทำเอกสารต่างๆ ที่จะต้องไปทำที่ USA ไม่ว่าจะเป็นการรายงานตัวกับหน่วยงาน Agency ของฝั่ง USA การทำ Social Security Number รวมถึงการทำเรื่องขอยื่น Paycheck สำหรับ เงินค่าจ้างใบสุดท้าย ที่โดยปกติ นายจ้างจะส่งกลับมาที่ไทย **กรณีของ Yellowstone ปีนี้ที่เราไป ไม่รู้ว่าปีอื่นเป็นแบบนี้รึเปล่า แต่ของเรา Paycheck ได้ที่ USA ทุกใบ ไม่มีที่ต้องนำมาขึ้นเงินที่ไทย** และการเตรียมสัมภาระ สำหรับที่ทางนายจ้างขอมาเป็นรองเท้าสีดำ พื้นดำ กลายเป็นเรื่องยุ่งของเราอยู่ช่วงนึงที่ต้องตามหารองเท้าที่ทำงานในครัวได้ ไม่ลื่น ส่วนเรื่องยูนิฟอร์ม ทางบริษัทจะมีให้ เราก็ไปเตรียมตัวจัดกระเป๋าแบบฉบับที่คิดว่า เอาไปให้น้อยและง่ายที่สุด ก็เลยใส่แต่ของจำเป็นเสื้อผ้า เสื้อกันหนาว ลองจอน ยา โน้ตบุ๊ค ข้าวของเครื่องใช้ส่วนตัว ส่วนพวกเครื่องอาบน้ำ โลชั่นกันแดด อะไรที่เป็นของเหลวกะไปหาซื้อเอาที่นู่นเพราะกลัวหนัก เลยจบที่เป้หนึ่งใบ กับ ขาตั้งกล้อง (ซึ่งในตอนหลังมารู้ว่าเป็นความคิดที่ผิดมากกกก เพราะเราไม่ได้เอา มาม่าไปด้วยยยยยยยยยย) จากนั้นก็ไปแลกเงินสำหรับใช้จ่ายในช่วงหนึ่งเดือนแรกที่ยังไม่มีเงินค่าจ้าง ตอนนั้นเราแลกไปติดตัว $1000 ระหว่างนั้นก็รีบพยายามจัดการการบ้าน งานที่มหาลัย ติดต่ออาจารย์เรื่องที่ต้องขอสอบก่อน จนทำให้เลื่อนสอบทั้งห้อง (ฮาาา) แล้วก็จองโรงแรมที่ Bozeman,MT สำหรับคืนก่อนที่จะเข้าอุทยาน ตามที่นายจ้างได้แจ้งเรามา เมื่อทุกอย่างพร้อมเรียบร้อยก็นั่งนับเวลารอวันที่จะได้ขึ้นเครื่องออกไปโลดแล่นในต่างแดนเสียที