สวัสดีครับ ผมเป็นหนึ่งในแฟนซีรี่ย์ My Little Pony ที่ได้เข้าไปมีบทบาทสำคัญในการช่วยทีม สหมงคลฟิล์ม ในการเป็นเบื้องหลังของภาพยนตร์เรื่องนี้ (ทั้งส่วนของการเกลาบท และกำกับเสียงพากย์ไทย) และในวันที่ 1 ตุลาคมที่ผ่านมา ก็ได้มีการฉายรอบสื่อไปแล้ว ก็ถึงเวลาแล้วที่ผมจะได้ออกมาเขียนรีวิวภาพยนตร์เรื่องนี้ เพื่อให้ทุกคนคลายข้อสงสัยว่า หนังมันน่าดูขนาดไหน
(** นี่คือมุมมองที่มองเป็น "กลาง" มองตรงๆ และไม่ได้มองในฐานะแฟน แต่ผมมองในฐานะของคนที่ไม่ใช่แฟนโพนี่ด้วยนะครับ **)
ก่อนอื่นเลย ถึงแม้ว่าผมจะดูซีรี่ย์โพนี่อยู่แล้ว แต่ตอนที่ผมดู ผมก็ทิ้งความเป็นซีรี่ย์ และดูให้มันเป็นภาพยนตร์ แม้ว่าบางช่วงของเรื่องมันจะดำเนินเนื้อเรื่องคล้ายซีรี่ย์อยู่บ้าง แต่ความเข้มข้นของเนื้อเรื่องนั้นจะมากกว่าในซีรี่ย์ จนให้อารมณ์เหมือนกำลังอ่านคอมมิคอยู่อย่างไรอย่างนั้น (ซึ่งเนื้อเรื่องของคอมมิคจะมีความพีคเยอะกว่าในซีรี่ย์)
ตัวภาพนั้นมีการทำแตกต่างจากต้นฉบับที่ใช้ FLASH และภาพออกมาเป็น 2D แต่ตัวภาพยนตร์นั้นเป็น 3D เลยทำให้ความละเอียดของภาพยนตร์ทำออกมามีคุณภาพสูงกว่าในซีรี่ย์ และให้อารมณ์เหมือนกับดูหนังแอนิเมชั่น CG ที่คล้ายกับแฟนๆ ทำ ที่ทำออกมาได้ไหลเนียน แต่มองโดยรวม จะให้อารมณ์เหมือน 2D ตามต้นฉบับ
แม้ว่าตัวภาพยนตร์จะมีเหตุการณ์ต่อจากซีรี่ย์ แต่ตัวหนังก็ออกแบบมาให้คนที่ไม่เคยดูมาก่อนสามารถดูได้ แต่จุดอ่อนของหนังเรื่องนี้นั่นก็คือ ด้วยเวลาที่จำกัด และตัวละครที่เยอะมากๆ เลบทำให้การเล่าเรื่องตัวละครทำออกมาสั้น ตัวละครใหม่หลายตัวที่ปรากฎในฉบับภาพยนตร์แทบจำชื่อไมได้เลย แต่สามารถจำบุคลิคออกมาได้ทั้งหมดแทน และทำให้ตัวละครใหม่ที่ปรากฎตัวออกมา คนดูจะไม่รู้จักเท่าไหร่
อีกปัญหาก็คือ แม้ว่าตัวหนังจะออกแบบมาให้คนที่ไม่เคยดูโพนี่มาก่อนดูได้ แต่ควรมีความรู้พื้นฐานบ้าง เพราะหนังเล่าเรื่องไปค่อนข้างต่อเนื่อง คนดูจะจำตัวละครเด่นๆ ได้ไม่กี่ตัว และจะไม่เข้าใจมุขที่หนังแทรกเข้ามา เพราะมักจะเป็นมุขที่ทำให้แฟนๆ เก๊ตกัน อย่างไรก็ตาม แม้ว่าตัวหนังจะไม่ได้มีมุขตลกฮาโป๊กแตก แต่การดำเนินเนื้อเรื่องที่ลื่นไหล มีทั้งจุดขึ้นจุดลงที่ลงตัว ประกอบกับภาพที่สวยงามมากๆ จะทำให้คนดู ดูได้ต่อเนื่อง โดยเฉพาะจุดพีคของเรื่องที่มากันแบบแทบหยุดหายใจ
แม้ว่าตัวหนังจะยังคงเป็นสูตรสำเร็จที่หากันได้ง่ายมากตามหนังแอนิเมชั่นทั่วไป แต่สิ่งที่หนังสอดแทรกเข้ามานั่นก็คือเนื้อหาที่เป็นทั้งคติที่ดี สะท้อนในมุมมองที่ให้เด็กดูได้คิดตาม ในขณะที่ผู้ใหญ่เองก็สามารถมองแล้วย้อนดูตัวเองได้ ยังเป็นหนังที่เต็มไปด้วยคำว่า มิตรภาพ ตามคอนเชปของซีรี่ย์เดิม แต่ทั้งนี้ สำหรับคนที่ไปดู หากไม่ใช่แฟนๆ การ์ตูนเรื่องนี้ นอกจากบทเพลงที่ไพเราะและตัวละครบางตัวแล้ว ตัวหนังมีจุดน่าจดจำน้อยมาก มันเป็นหนังที่คนดู ดูแล้วจะชอบ ตามไปดูในซีรี่ย์ต่อรึเปล่าก็อีกเรื่อง เพราะตัวหนังมันจบสมบูรณ์ของมันอยู่แล้ว
ส่วนเรื่องสำหรับคนไหนที่กังวลเกี่ยวกับบทแปลไทย และเสียงไทยนั้น ผมเข้าใจนะครับว่าหลายคนกังวล เพราะที่ผ่านมา เราก็เห็นแล้วว่าเป็นยังไง ด้วยเหตุผลนี้ ผมเลยทำทุกอย่าง ในเวลาที่จำกัดมากๆ และที่ผมสามารถทำได้ ในการเกลาและทำให้เสียงพากย์ออกมาดีที่สุดเท่าที่ทำได้ ผมบอกตรงๆ ว่า มันไม่ "100 %" (ใจจริงอยากแก้อีกด้วยซํ้า แต่ทำไม่ได้แล้ว) ดังนั้นเรื่องบทแปล ไม่ต้องห่วง ผมจัดเต็มให้ระดับหนึ่ง เพราะคนแปลดั้งเดิม แปลดีอยู่แล้ว โดยเฉพาะเพลงที่ยังฟังได้รื่นหูและราบรื่น เข้าใจความหมายที่เรื่องต้องการจะสื่อ แต่ที่พีคที่สุดก็คือ เพลงร้องไทยเพลงสุดท้ายหนัง ที่ทำออกมาแทบจะเหมือนกับเพลงใน Lion king เลยทีเดียว จนหลายคนคิดด้วยซํ้าว่าเหมือนทีมดิสนีย์มาทำเอง (หลายคนในโรง บอกเป็นเสียงเดียวกันว่า เพลงดีมาก)
My Little Pony The Movie อาจจะเป็นหนังที่ทำเอาใจแฟนๆ และพยายามโปรโมทกับคนดูกลุ่มใหม่ที่ไม่เคยดูโพนี่มาก่อน แต่ด้วยการที่มันเป็นหนังแอนิเมชั่นสูตรสำเร็จ ทำให้ความเข้มข้นของเนื้อเรื่องยังเทียบชั้นกับหนังใหญ่ๆ ไม่ได้ แต่เนื้อเรื่องยังทรงคุณค่ากว่าหนังแอนิเมชั่นหลายเรื่อง ทำให้เรื่องนี้มีอารมณ์ใกล้เคียงกับหนังดิสนีย์ได้สบายๆ
และยังคงเป็นหนังที่บอกเล่าความหมายของคำว่า "เพื่อน" และ "มิตรภาพ" ได้อย่างงดงามจนสามารถดูได้ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ครับ
ปล. คนไหนที่กลัวว่าตอนไปดู เด็กจะเสียงดัง รอบสื่อนี้ มีเด็กไปดูเยอะมาก (เป็นโรงที่ใหญ่ที่สุดในไทย) มีเสียงเด็กพูดคุยออกมาบ้าง แต่ 90 % คือเงียบ แล้วเด็กนั่งดูกันเรียบร้อยมาก ซึ่งทั้งหมดนี้ต้องยกความดีความงามให้การดำเนินเนื้อเรื่องที่มันสะกดเด็กเอาไว้ได้ ดังนั้นไม่ต้องกังวลเรื่องนั้นครับ
ปล.2 ผมใส่เป็น SR เพราะผมเป็นคนอยู่เบื้องหลัง และได้ไปในงานรอบสื่อ นะครับ
[SR] รีวิวภาพยนตร์ My Little Pony The Movie 2017 (ไม่สปอย)
สวัสดีครับ ผมเป็นหนึ่งในแฟนซีรี่ย์ My Little Pony ที่ได้เข้าไปมีบทบาทสำคัญในการช่วยทีม สหมงคลฟิล์ม ในการเป็นเบื้องหลังของภาพยนตร์เรื่องนี้ (ทั้งส่วนของการเกลาบท และกำกับเสียงพากย์ไทย) และในวันที่ 1 ตุลาคมที่ผ่านมา ก็ได้มีการฉายรอบสื่อไปแล้ว ก็ถึงเวลาแล้วที่ผมจะได้ออกมาเขียนรีวิวภาพยนตร์เรื่องนี้ เพื่อให้ทุกคนคลายข้อสงสัยว่า หนังมันน่าดูขนาดไหน
(** นี่คือมุมมองที่มองเป็น "กลาง" มองตรงๆ และไม่ได้มองในฐานะแฟน แต่ผมมองในฐานะของคนที่ไม่ใช่แฟนโพนี่ด้วยนะครับ **)
ก่อนอื่นเลย ถึงแม้ว่าผมจะดูซีรี่ย์โพนี่อยู่แล้ว แต่ตอนที่ผมดู ผมก็ทิ้งความเป็นซีรี่ย์ และดูให้มันเป็นภาพยนตร์ แม้ว่าบางช่วงของเรื่องมันจะดำเนินเนื้อเรื่องคล้ายซีรี่ย์อยู่บ้าง แต่ความเข้มข้นของเนื้อเรื่องนั้นจะมากกว่าในซีรี่ย์ จนให้อารมณ์เหมือนกำลังอ่านคอมมิคอยู่อย่างไรอย่างนั้น (ซึ่งเนื้อเรื่องของคอมมิคจะมีความพีคเยอะกว่าในซีรี่ย์)
ตัวภาพนั้นมีการทำแตกต่างจากต้นฉบับที่ใช้ FLASH และภาพออกมาเป็น 2D แต่ตัวภาพยนตร์นั้นเป็น 3D เลยทำให้ความละเอียดของภาพยนตร์ทำออกมามีคุณภาพสูงกว่าในซีรี่ย์ และให้อารมณ์เหมือนกับดูหนังแอนิเมชั่น CG ที่คล้ายกับแฟนๆ ทำ ที่ทำออกมาได้ไหลเนียน แต่มองโดยรวม จะให้อารมณ์เหมือน 2D ตามต้นฉบับ
แม้ว่าตัวภาพยนตร์จะมีเหตุการณ์ต่อจากซีรี่ย์ แต่ตัวหนังก็ออกแบบมาให้คนที่ไม่เคยดูมาก่อนสามารถดูได้ แต่จุดอ่อนของหนังเรื่องนี้นั่นก็คือ ด้วยเวลาที่จำกัด และตัวละครที่เยอะมากๆ เลบทำให้การเล่าเรื่องตัวละครทำออกมาสั้น ตัวละครใหม่หลายตัวที่ปรากฎในฉบับภาพยนตร์แทบจำชื่อไมได้เลย แต่สามารถจำบุคลิคออกมาได้ทั้งหมดแทน และทำให้ตัวละครใหม่ที่ปรากฎตัวออกมา คนดูจะไม่รู้จักเท่าไหร่
อีกปัญหาก็คือ แม้ว่าตัวหนังจะออกแบบมาให้คนที่ไม่เคยดูโพนี่มาก่อนดูได้ แต่ควรมีความรู้พื้นฐานบ้าง เพราะหนังเล่าเรื่องไปค่อนข้างต่อเนื่อง คนดูจะจำตัวละครเด่นๆ ได้ไม่กี่ตัว และจะไม่เข้าใจมุขที่หนังแทรกเข้ามา เพราะมักจะเป็นมุขที่ทำให้แฟนๆ เก๊ตกัน อย่างไรก็ตาม แม้ว่าตัวหนังจะไม่ได้มีมุขตลกฮาโป๊กแตก แต่การดำเนินเนื้อเรื่องที่ลื่นไหล มีทั้งจุดขึ้นจุดลงที่ลงตัว ประกอบกับภาพที่สวยงามมากๆ จะทำให้คนดู ดูได้ต่อเนื่อง โดยเฉพาะจุดพีคของเรื่องที่มากันแบบแทบหยุดหายใจ
แม้ว่าตัวหนังจะยังคงเป็นสูตรสำเร็จที่หากันได้ง่ายมากตามหนังแอนิเมชั่นทั่วไป แต่สิ่งที่หนังสอดแทรกเข้ามานั่นก็คือเนื้อหาที่เป็นทั้งคติที่ดี สะท้อนในมุมมองที่ให้เด็กดูได้คิดตาม ในขณะที่ผู้ใหญ่เองก็สามารถมองแล้วย้อนดูตัวเองได้ ยังเป็นหนังที่เต็มไปด้วยคำว่า มิตรภาพ ตามคอนเชปของซีรี่ย์เดิม แต่ทั้งนี้ สำหรับคนที่ไปดู หากไม่ใช่แฟนๆ การ์ตูนเรื่องนี้ นอกจากบทเพลงที่ไพเราะและตัวละครบางตัวแล้ว ตัวหนังมีจุดน่าจดจำน้อยมาก มันเป็นหนังที่คนดู ดูแล้วจะชอบ ตามไปดูในซีรี่ย์ต่อรึเปล่าก็อีกเรื่อง เพราะตัวหนังมันจบสมบูรณ์ของมันอยู่แล้ว
ส่วนเรื่องสำหรับคนไหนที่กังวลเกี่ยวกับบทแปลไทย และเสียงไทยนั้น ผมเข้าใจนะครับว่าหลายคนกังวล เพราะที่ผ่านมา เราก็เห็นแล้วว่าเป็นยังไง ด้วยเหตุผลนี้ ผมเลยทำทุกอย่าง ในเวลาที่จำกัดมากๆ และที่ผมสามารถทำได้ ในการเกลาและทำให้เสียงพากย์ออกมาดีที่สุดเท่าที่ทำได้ ผมบอกตรงๆ ว่า มันไม่ "100 %" (ใจจริงอยากแก้อีกด้วยซํ้า แต่ทำไม่ได้แล้ว) ดังนั้นเรื่องบทแปล ไม่ต้องห่วง ผมจัดเต็มให้ระดับหนึ่ง เพราะคนแปลดั้งเดิม แปลดีอยู่แล้ว โดยเฉพาะเพลงที่ยังฟังได้รื่นหูและราบรื่น เข้าใจความหมายที่เรื่องต้องการจะสื่อ แต่ที่พีคที่สุดก็คือ เพลงร้องไทยเพลงสุดท้ายหนัง ที่ทำออกมาแทบจะเหมือนกับเพลงใน Lion king เลยทีเดียว จนหลายคนคิดด้วยซํ้าว่าเหมือนทีมดิสนีย์มาทำเอง (หลายคนในโรง บอกเป็นเสียงเดียวกันว่า เพลงดีมาก)
My Little Pony The Movie อาจจะเป็นหนังที่ทำเอาใจแฟนๆ และพยายามโปรโมทกับคนดูกลุ่มใหม่ที่ไม่เคยดูโพนี่มาก่อน แต่ด้วยการที่มันเป็นหนังแอนิเมชั่นสูตรสำเร็จ ทำให้ความเข้มข้นของเนื้อเรื่องยังเทียบชั้นกับหนังใหญ่ๆ ไม่ได้ แต่เนื้อเรื่องยังทรงคุณค่ากว่าหนังแอนิเมชั่นหลายเรื่อง ทำให้เรื่องนี้มีอารมณ์ใกล้เคียงกับหนังดิสนีย์ได้สบายๆ
และยังคงเป็นหนังที่บอกเล่าความหมายของคำว่า "เพื่อน" และ "มิตรภาพ" ได้อย่างงดงามจนสามารถดูได้ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ครับ
ปล. คนไหนที่กลัวว่าตอนไปดู เด็กจะเสียงดัง รอบสื่อนี้ มีเด็กไปดูเยอะมาก (เป็นโรงที่ใหญ่ที่สุดในไทย) มีเสียงเด็กพูดคุยออกมาบ้าง แต่ 90 % คือเงียบ แล้วเด็กนั่งดูกันเรียบร้อยมาก ซึ่งทั้งหมดนี้ต้องยกความดีความงามให้การดำเนินเนื้อเรื่องที่มันสะกดเด็กเอาไว้ได้ ดังนั้นไม่ต้องกังวลเรื่องนั้นครับ
ปล.2 ผมใส่เป็น SR เพราะผมเป็นคนอยู่เบื้องหลัง และได้ไปในงานรอบสื่อ นะครับ