เรื่องนี้เขียนโดยนัก(อยาก)เขียน 2 คน เราเขียนร่วมกัน,เนื้อเรื่องเดียวกัน,พล็อตเดียวกัน แต่สลับกันเขียน จะลงเว้นกันทุกๆ 3-5 วัน ภายใต้นามปากกา... เปลวลิขิต (เปลวอัคคี+ลายลิขิต) นะคะคุณผู้อ่าน
‘เปลวลิขิต’
คุ้มสยองขวัญ
ตอนที่ 1
รถจักรยานยนต์วิบากกลางเก่ากลางใหม่คันหนึ่งวิ่งตะบึงมาตามทางลูกรังทอดยาวคดเคี้ยวไปตามช่องเขา มันเป็นเส้นทางที่ใช้ติดต่อโลกภายนอกเพียงเส้นเดียวของหมู่บ้าน
‘คุ้มริมผา’ หมู่บ้านเล็กๆซึ่งซ่อนตัวเงียบอยู่หลังเขาอันห่างไกลและทุรกันดารมาช้านาน
ชายหนุ่มหน้าตาคมเข้มในชุดทะมัดทะแมงด้วยเสื้อแจ็คเก็ตหนังกับกางเกงยีนส์ มันเป็นเครื่องแบบพร้อมลุยบนอานรถเสมอสำหรับเขา ณ ขณะนี้ เขากำลังพยายามเร่งเครื่องความเร็วรถให้มันพุ่งทะยานผ่านเส้นทางขรุขระเต็มไปด้วยก้อนหินและหลุมบ่อ แต่ก็ไปเร็วไม่ได้อย่างใจนัก สีหน้าของเขาเริ่มเคร่งเครียด สายตาเหลือบมองไปบนท้องฟ้าที่เคยเห็นสว่างเป็นสีน้ำเงินเข้มราวผืนผ้ากำมะหยี่ ตอนนี้มีเมฆสีเทากำลังเคลื่อนตัวมาบดบังแสงตะวันทีละน้อย ทำให้บรรยากาศกลางป่ากลางเขารอบข้างพลันมืดสลัวลงทุกที
...ฝนกำลังจะตก... ชายหนุ่มบนอานรถบอกกับตัวเองในใจ
‘ชานนท์’ครูจิตอาสาหนุ่มผู้พกพาพลังศรัทธาแห่งการสร้างสรรค์ความดีมาเต็มเปี่ยมกำลังวิตกว่า ตัวเองเห็นทีจะต้องขับขี่รถท่ามกลางห่าฝนบนเส้นทางโดดเดี่ยวในป่าในเขาแต่เพียงลำพังเสียแล้วแน่
กระเป๋าเป้สะพายหลัง ยัดเสื้อผ้าเพียงไม่กี่ชุดกับของใช้ส่วนตัวอีกเล็กน้อยจนแน่นคงจะเปียกปอน กระเป๋าอีกใบบรรจุอาหารแห้งมัดติดท้ายรถ ซึ่งนั่นคงไม่เป็นไร เป็นห่วงก็แต่กระเป๋าห้อยข้างตัวรถที่บรรจุพวกหนังสือกับเอกสารจำเป็นหลายอย่าง แต่ก็ยังโชคดีที่มันทำด้วยหนัง อย่างน้อยมันก็กันน้ำฝนไม่ให้ซึมเข้าไปทำลายของสำคัญพวกนั้นได้ในระดับหนึ่ง ก่อนที่เขาจะหาที่หลบฝนข้างหน้าสักแห่งให้ได้
กวาดสายตามองสองข้างทางเปลี่ยวก็เห็นมีแต่ต้นไม้ใหญ่น้อยขึ้นหนาทึบ เต็มไปด้วยหน้าผาและโขดหิน มีบางช่วงเป็นป่าละเมาะและทุ่งหญ้าโล่ง แต่ก็เป็นสภาพเดิมๆ คือไร้ที่กำบัง ไม่อาจใช้หลบสายฝนยามตกเทกระหน่ำได้
...ทำไมถึงต้องตัดสินใจมาลำบากที่นี่นะ... แวบหนึ่งของความหวั่นวิตกส่งเสียงถามเขาในใจ
...ก็เพราะคิดว่าเราพอจะช่วยเหลือเด็กๆที่นี่ได้น่ะสิ... นั่นคือคำตอบจากส่วนลึกในใจของเขาอีกเหมือนกัน
เพราะถึงแม้ชานนท์จะเป็นนักศึกษาจบใหม่ที่ยังไม่มีงานทำจริงจัง แต่ชีวิตก็ไม่ได้เดือดร้อนอะไรมากนัก ฐานะทางบ้านของเขาไม่ถึงขนาดร่ำรวยเป็นมหาเศรษฐี แต่ก็พอมีกินมีใช้ได้อย่างสบาย พ่อแม่ของเขาเคยรับราชการครูและเคยมีบ้านอุปถัมภ์รับดูแลเด็กกำพร้า พี่สาวของเขาเรียนจบสาขาวิชาแพทย์ ทำหน้าที่ช่วยเหลือผู้คนอยู่ในโรงพยาบาล ส่วนพี่ชายทำงานเป็นวิศวกร มีตำแหน่งใหญ่โตอยู่ในกระทรวงหนึ่งของรัฐบาล
ชานนท์ซึ่งเป็นน้องเล็กได้ถูกปลูกฝังให้มีคุณธรรมนำหน้า มากกว่าความกระหายใคร่ในอำนาจลาภยศ หรือเงินทองมาตั้งแต่ยังเล็ก เขาจึงเลือกเรียนทางด้านสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ ด้วยหวังจะเอาวิชาความรู้นี้ไปสานต่อบ้านอุปถัมภ์ของบุพการีนั่นเอง
แต่แล้วพอโรงเรียนไกลปืนเที่ยงอย่าง
‘โรงเรียนคุ้มริมผา’ขาดแคลนครู สาเหตุเพราะบรรดาครูซึ่งเคยมีอยู่เกิดพากันเกษียณอายุราชการไปบ้าง ลาออกบ้าง บางคนก็ขอย้ายออกจากพื้นที่ กระทั่งทั้งโรงเรียนเหลือเพียงครูใหญ่คนเดียวเท่านั้น ที่ท่านถึงกับน้ำตาซึมเมื่อเข้าร้องขอต่อทางการแล้ว แต่ก็ยังไม่ได้รับคำตอบใดๆกลับมา
ท่านบ่ายหน้ามาขอความช่วยเหลือจาก‘พี่สุพจน์’ ผู้เป็น‘หัวหน้าทีมจิตอาสา’ของชานนท์ซึ่งเคยเป็นเพื่อนกันกับท่านมาก่อน ‘พี่สุพจน์’ได้เรียกประชุมเพื่อขอหารือกับน้องๆ พวกเขาต่างพากันลังเล ชานนท์จึงรับอาสามาช่วยสอนหนังสือให้เด็กๆในหมู่บ้านอันแร้นแค้นแห่งนี้เสียเอง ด้วยความตั้งใจอันเต็มเปี่ยม
ทางลูกรังยังทอดยาวราวกับไม่มีที่สิ้นสุด ชาวบ้านซึ่งชานนท์แวะถามทางก่อนเข้าสู่แนวป่าบอกว่า หากพ้นช่วงป่าทึบแล้ว ก็จะถึงหมู่บ้านเป้าหมาย และขณะนี้เขาก็คิดว่าตัวเองกำลังจะพ้นแนวป่าออกมาได้แล้ว แต่ก็เป็นช่วงขณะเม็ดฝนเริ่มโปรยปรายลงมา ฝนหนาเม็ดขึ้น จนกระทั่งตัวเขาเปียกปอน ไม่ได้การ โน่น! เขาเห็นปากถ้ำแห่งหนึ่งอยู่ลึกเข้าไปไม่ไกลจากริมถนนเท่าไหร่นัก ชานนท์ตัดสินใจเลี้ยวรถลงไปหาที่หลบฝนที่นั่นทันที
ปากถ้ำที่หมายตาไว้ไม่ใหญ่โตนัก พอขี่รถมาถึง ชานนท์จอดรถจักรยานยนต์คู่ชีพใกล้กับปากถ้ำ ทิ้งระยะห่างไว้พอประมาณ เขาลงจากรถลูบน้ำฝนออกจากหน้าตา ก่อนสำรวจดูความเสียหายของข้าวของที่อาจถูกน้ำฝนทำลาย พบว่าสิ่งของในสัมภาระทุกใบเปียกชื้น ยกเว้นของซึ่งอยู่ในกระเป๋าหนังใบนั้น
ชายหนุ่มพ่นลมหายใจออกจากปากอย่างโล่งอก ก้มมองนาฬิกาข้อมือที่บอกเวลาว่าบ่ายมากแล้ว ภาวนาให้ฝนหยุดตกก่อนฟ้าจะมืด เขาต้องไปรายงานตัวกับครูใหญ่ที่บ้านพักหลังอาคารโรงเรียนเสียก่อน จากนั้นคงต้องไปแนะนำตัวกับผู้ใหญ่บ้านแล้วถึงค่อยคิดหาที่พัก
...หวังว่า บ้านพักของโรงเรียนน่าจะมีหลายหลังนะ... ชานนท์คิดในใจคนเดียว เมื่อย้อนมาคิดถึงโรงเรียนคุ้มริมผา
ลึกเข้ามาในปากถํ้า ชายหนุ่มถอดเสื้อแจ็คเก็ตหนัง บิดน้ำออกจากชายเสื้อยืดตัวใน เสยผมแล้วสลัดศีรษะไล่น้ำออกจากเส้นผม นึกตำหนิตัวเองอยู่เหมือนกันที่ถอดหมวกกันน็อกออกเพราะอยากได้ลมเย็นปะทะหน้าแท้ๆ ข้างนอกฝนยังตกหนักราวฟ้ารั่ว บรรยากาศมืดมิดรอบข้าง สายฟ้าแลบแปลบปลาบสลับกับเสียงร้องกึกก้อง ฟังคล้ายกับผืนฟ้ากำลังครํ่าครวญรํ่าไห้ไม่มีผิด ฝนไม่มีทีท่าว่าจะหยุดตกในเวลาอันสั้น ชานนท์จึงทรุดตัวนั่งลงบนก้อนหินใหญ่ก้อนหนึ่งเพื่อรอเวลาให้ฝนหยุดตก
นั่งอยู่ครู่หนึ่งชายหนุ่มก็รู้สึกว่า ที่นี่มีบางอย่างดูแปลกๆพิกลๆอย่างบอกไม่ถูก ข้างในถ้ำเงียบเชียบ และคล้ายกับมีสายตาคู่หนึ่งกำลังจ้องมองเขาอยู่ อากาศหนาวเย็นลงอย่างน่าประหลาด ชายหนุ่มชะเง้อมองเข้าไปในถ้ำมืดมิด เมื่อไม่เห็นอะไร เขาก็เหลียวมองสำรวจไปรอบตัว ก่อนชะแง้มองดูสายฝนสาดกระหน่ำข้างนอกถ้ำ
“เอาผ้านี่เช็ดตัวหน่อยไหมจ๊ะ เปียกโชกไปหมดแบบนี้เดี๋ยวจะไม่สบายเอา”
ชายหนุ่มสะดุ้งขึ้นทั้งตัว เมื่อจู่ๆก็มีเสียงนุ่มแต่เย็นเยียบดังขึ้นทางด้านหลัง เขาหันขวับไปมองแล้วก็ต้องตกตะลึง เมื่อพบเข้ากับร่างของหญิงสาวคนหนึ่ง เธอยืนห่างจากเขาเพียงไม่ถึงวา ในมือถือผ้าขนหนูผืนหนึ่งและกำลังยื่นมันมาให้เขา
ครืนนน ‼
ฟ้าคำรามครืนใหญ่ขึ้นอีกครั้ง ตามมาด้วยแสงฟ้าฟาดเปรี้ยงลงที่ไหนสักแห่ง ชานนท์สะดุ้งอีกหน แสงสว่างวาบคราวนี้ส่องให้เห็นใบหน้าขาวเนียนของหญิงสาวลึกลับกำลังยิ้มให้เขา โดยไม่มีท่าทีสะทกสะท้านกับเสียงฟ้าฝนที่พิโรธอยู่ข้างนอกนั่นเลยแม้แต่น้อย
ผู้หญิงที่ไหนเข้ามาอยู่ในถ้ำมืดมิดอย่างนี้...
“คุณ เอ่อ... คุณมาอยู่ในถํ้านี้ได้อย่างไร” ชานนท์รวบรวมความกล้าเอ่ยตะกุกตะกักออกไป
“ฉันก็เพิ่งเข้ามาเมื่อสักครู่เอง”
น้ำเสียงแม้จะเยียบเย็น แต่ชานนท์แน่ใจว่าเขาไม่ได้หูฝาดและตาฝาดกับภาพหญิงสาวตรงหน้าคนนี้แน่ “ขอบคุณครับ” เขารับผ้าขนหนูจากเธอ
ต้องการเช็กว่าตัวเองกำลังฝันไปหรือเปล่า ซึ่งก็ได้คำตอบแล้วว่าไม่ใช่ เพราะผ้าขนนิ่มที่รับมาซับหยาดน้ำนั้น มีกลิ่นหอมของอะไรสักอย่างที่ไม่เคยได้สัมผัสมาเลยในชีวิต ชานนท์ยิ้มให้เธอขณะโปะผ้าขยี้ผมของตัวเอง ใบหน้าสวยนวลเนียนนั้นทำให้เขาขัดเขินไปเหมือนกัน หญิงสาวจ้องสบตากับเขาโดยไม่มีวี่แววเคอะเขินแต่อย่างใด ซึ่งผิดกับเขาเสียจริง
คนอื่นอาจจะมองว่าดวงตาของเธอดูเศร้าสร้อยและเลื่อนลอย ดูเหมือนจะออกไปทางเฉยเมยเสียด้วยซํ้า แต่ชานนท์กลับรู้สึกอีกอย่าง เขารู้สึกเหมือนมีเรื่องราวหลายสิ่งหลายอย่างซ่อนอยู่ในแววตาคู่นั้นมากมาย มากมายจนอยากค้นหาว่ามันมีสิ่งใดอยู่บ้าง
แล้วชานนท์ก็ยื่นผ้าคืนให้หญิงสาว
“ขอบคุณครับ” เขาพูดได้แค่ประโยคนี้เสียแล้ว
เปรี้ยง ‼
เสียงฟ้าผ่าแผดลั่นขึ้นอีกครั้ง
ครั้งนี้มันดังอยู่นอกปากถํ้าใกล้ๆนี่เอง ชานนท์ขนลุกเกรียว ไม่ใช่เพราะเสียงฟ้าฟาดนั่น แต่เป็นเพราะเงาวูบไหวจากมือหญิงสาวที่กำลังยื่นมารับผ้าขนหนูของตัวเอง เงามืดสลับกับแสงจ้าเพียงชั่วครู่ดูคล้ายกับแขนของหญิงสาวบิดเบี้ยวและยืดยาวขึ้นอย่างบอกไม่ถูก วงหน้าขาวซีดไม่มีวี่แววตกอกตกใจกับเสียงฟ้าพิโรธนอกปากถํ้าแต่อย่างใด ผมยาวสยายของเธอปรกใบหน้าครึ่งหนึ่ง มองเห็นดวงตาข้างเดียว จมูกครึ่งเดียว และปากก็ครึ่งเดียวเช่นกัน
ชานนท์ขนลุกซู่ไปทั้งตัว...
จบตอนที่ 1.
คุ้มสยองขวัญ ตอนที่ 1
เรื่องนี้เขียนโดยนัก(อยาก)เขียน 2 คน เราเขียนร่วมกัน,เนื้อเรื่องเดียวกัน,พล็อตเดียวกัน แต่สลับกันเขียน จะลงเว้นกันทุกๆ 3-5 วัน ภายใต้นามปากกา... เปลวลิขิต (เปลวอัคคี+ลายลิขิต) นะคะคุณผู้อ่าน
‘เปลวลิขิต’
คุ้มสยองขวัญ
ตอนที่ 1
รถจักรยานยนต์วิบากกลางเก่ากลางใหม่คันหนึ่งวิ่งตะบึงมาตามทางลูกรังทอดยาวคดเคี้ยวไปตามช่องเขา มันเป็นเส้นทางที่ใช้ติดต่อโลกภายนอกเพียงเส้นเดียวของหมู่บ้าน‘คุ้มริมผา’ หมู่บ้านเล็กๆซึ่งซ่อนตัวเงียบอยู่หลังเขาอันห่างไกลและทุรกันดารมาช้านาน
ชายหนุ่มหน้าตาคมเข้มในชุดทะมัดทะแมงด้วยเสื้อแจ็คเก็ตหนังกับกางเกงยีนส์ มันเป็นเครื่องแบบพร้อมลุยบนอานรถเสมอสำหรับเขา ณ ขณะนี้ เขากำลังพยายามเร่งเครื่องความเร็วรถให้มันพุ่งทะยานผ่านเส้นทางขรุขระเต็มไปด้วยก้อนหินและหลุมบ่อ แต่ก็ไปเร็วไม่ได้อย่างใจนัก สีหน้าของเขาเริ่มเคร่งเครียด สายตาเหลือบมองไปบนท้องฟ้าที่เคยเห็นสว่างเป็นสีน้ำเงินเข้มราวผืนผ้ากำมะหยี่ ตอนนี้มีเมฆสีเทากำลังเคลื่อนตัวมาบดบังแสงตะวันทีละน้อย ทำให้บรรยากาศกลางป่ากลางเขารอบข้างพลันมืดสลัวลงทุกที
...ฝนกำลังจะตก... ชายหนุ่มบนอานรถบอกกับตัวเองในใจ
‘ชานนท์’ครูจิตอาสาหนุ่มผู้พกพาพลังศรัทธาแห่งการสร้างสรรค์ความดีมาเต็มเปี่ยมกำลังวิตกว่า ตัวเองเห็นทีจะต้องขับขี่รถท่ามกลางห่าฝนบนเส้นทางโดดเดี่ยวในป่าในเขาแต่เพียงลำพังเสียแล้วแน่
กระเป๋าเป้สะพายหลัง ยัดเสื้อผ้าเพียงไม่กี่ชุดกับของใช้ส่วนตัวอีกเล็กน้อยจนแน่นคงจะเปียกปอน กระเป๋าอีกใบบรรจุอาหารแห้งมัดติดท้ายรถ ซึ่งนั่นคงไม่เป็นไร เป็นห่วงก็แต่กระเป๋าห้อยข้างตัวรถที่บรรจุพวกหนังสือกับเอกสารจำเป็นหลายอย่าง แต่ก็ยังโชคดีที่มันทำด้วยหนัง อย่างน้อยมันก็กันน้ำฝนไม่ให้ซึมเข้าไปทำลายของสำคัญพวกนั้นได้ในระดับหนึ่ง ก่อนที่เขาจะหาที่หลบฝนข้างหน้าสักแห่งให้ได้
กวาดสายตามองสองข้างทางเปลี่ยวก็เห็นมีแต่ต้นไม้ใหญ่น้อยขึ้นหนาทึบ เต็มไปด้วยหน้าผาและโขดหิน มีบางช่วงเป็นป่าละเมาะและทุ่งหญ้าโล่ง แต่ก็เป็นสภาพเดิมๆ คือไร้ที่กำบัง ไม่อาจใช้หลบสายฝนยามตกเทกระหน่ำได้
...ทำไมถึงต้องตัดสินใจมาลำบากที่นี่นะ... แวบหนึ่งของความหวั่นวิตกส่งเสียงถามเขาในใจ ...ก็เพราะคิดว่าเราพอจะช่วยเหลือเด็กๆที่นี่ได้น่ะสิ... นั่นคือคำตอบจากส่วนลึกในใจของเขาอีกเหมือนกัน
เพราะถึงแม้ชานนท์จะเป็นนักศึกษาจบใหม่ที่ยังไม่มีงานทำจริงจัง แต่ชีวิตก็ไม่ได้เดือดร้อนอะไรมากนัก ฐานะทางบ้านของเขาไม่ถึงขนาดร่ำรวยเป็นมหาเศรษฐี แต่ก็พอมีกินมีใช้ได้อย่างสบาย พ่อแม่ของเขาเคยรับราชการครูและเคยมีบ้านอุปถัมภ์รับดูแลเด็กกำพร้า พี่สาวของเขาเรียนจบสาขาวิชาแพทย์ ทำหน้าที่ช่วยเหลือผู้คนอยู่ในโรงพยาบาล ส่วนพี่ชายทำงานเป็นวิศวกร มีตำแหน่งใหญ่โตอยู่ในกระทรวงหนึ่งของรัฐบาล
ชานนท์ซึ่งเป็นน้องเล็กได้ถูกปลูกฝังให้มีคุณธรรมนำหน้า มากกว่าความกระหายใคร่ในอำนาจลาภยศ หรือเงินทองมาตั้งแต่ยังเล็ก เขาจึงเลือกเรียนทางด้านสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ ด้วยหวังจะเอาวิชาความรู้นี้ไปสานต่อบ้านอุปถัมภ์ของบุพการีนั่นเอง
แต่แล้วพอโรงเรียนไกลปืนเที่ยงอย่าง‘โรงเรียนคุ้มริมผา’ขาดแคลนครู สาเหตุเพราะบรรดาครูซึ่งเคยมีอยู่เกิดพากันเกษียณอายุราชการไปบ้าง ลาออกบ้าง บางคนก็ขอย้ายออกจากพื้นที่ กระทั่งทั้งโรงเรียนเหลือเพียงครูใหญ่คนเดียวเท่านั้น ที่ท่านถึงกับน้ำตาซึมเมื่อเข้าร้องขอต่อทางการแล้ว แต่ก็ยังไม่ได้รับคำตอบใดๆกลับมา
ท่านบ่ายหน้ามาขอความช่วยเหลือจาก‘พี่สุพจน์’ ผู้เป็น‘หัวหน้าทีมจิตอาสา’ของชานนท์ซึ่งเคยเป็นเพื่อนกันกับท่านมาก่อน ‘พี่สุพจน์’ได้เรียกประชุมเพื่อขอหารือกับน้องๆ พวกเขาต่างพากันลังเล ชานนท์จึงรับอาสามาช่วยสอนหนังสือให้เด็กๆในหมู่บ้านอันแร้นแค้นแห่งนี้เสียเอง ด้วยความตั้งใจอันเต็มเปี่ยม
ทางลูกรังยังทอดยาวราวกับไม่มีที่สิ้นสุด ชาวบ้านซึ่งชานนท์แวะถามทางก่อนเข้าสู่แนวป่าบอกว่า หากพ้นช่วงป่าทึบแล้ว ก็จะถึงหมู่บ้านเป้าหมาย และขณะนี้เขาก็คิดว่าตัวเองกำลังจะพ้นแนวป่าออกมาได้แล้ว แต่ก็เป็นช่วงขณะเม็ดฝนเริ่มโปรยปรายลงมา ฝนหนาเม็ดขึ้น จนกระทั่งตัวเขาเปียกปอน ไม่ได้การ โน่น! เขาเห็นปากถ้ำแห่งหนึ่งอยู่ลึกเข้าไปไม่ไกลจากริมถนนเท่าไหร่นัก ชานนท์ตัดสินใจเลี้ยวรถลงไปหาที่หลบฝนที่นั่นทันที
ปากถ้ำที่หมายตาไว้ไม่ใหญ่โตนัก พอขี่รถมาถึง ชานนท์จอดรถจักรยานยนต์คู่ชีพใกล้กับปากถ้ำ ทิ้งระยะห่างไว้พอประมาณ เขาลงจากรถลูบน้ำฝนออกจากหน้าตา ก่อนสำรวจดูความเสียหายของข้าวของที่อาจถูกน้ำฝนทำลาย พบว่าสิ่งของในสัมภาระทุกใบเปียกชื้น ยกเว้นของซึ่งอยู่ในกระเป๋าหนังใบนั้น
ชายหนุ่มพ่นลมหายใจออกจากปากอย่างโล่งอก ก้มมองนาฬิกาข้อมือที่บอกเวลาว่าบ่ายมากแล้ว ภาวนาให้ฝนหยุดตกก่อนฟ้าจะมืด เขาต้องไปรายงานตัวกับครูใหญ่ที่บ้านพักหลังอาคารโรงเรียนเสียก่อน จากนั้นคงต้องไปแนะนำตัวกับผู้ใหญ่บ้านแล้วถึงค่อยคิดหาที่พัก
...หวังว่า บ้านพักของโรงเรียนน่าจะมีหลายหลังนะ... ชานนท์คิดในใจคนเดียว เมื่อย้อนมาคิดถึงโรงเรียนคุ้มริมผา
ลึกเข้ามาในปากถํ้า ชายหนุ่มถอดเสื้อแจ็คเก็ตหนัง บิดน้ำออกจากชายเสื้อยืดตัวใน เสยผมแล้วสลัดศีรษะไล่น้ำออกจากเส้นผม นึกตำหนิตัวเองอยู่เหมือนกันที่ถอดหมวกกันน็อกออกเพราะอยากได้ลมเย็นปะทะหน้าแท้ๆ ข้างนอกฝนยังตกหนักราวฟ้ารั่ว บรรยากาศมืดมิดรอบข้าง สายฟ้าแลบแปลบปลาบสลับกับเสียงร้องกึกก้อง ฟังคล้ายกับผืนฟ้ากำลังครํ่าครวญรํ่าไห้ไม่มีผิด ฝนไม่มีทีท่าว่าจะหยุดตกในเวลาอันสั้น ชานนท์จึงทรุดตัวนั่งลงบนก้อนหินใหญ่ก้อนหนึ่งเพื่อรอเวลาให้ฝนหยุดตก
นั่งอยู่ครู่หนึ่งชายหนุ่มก็รู้สึกว่า ที่นี่มีบางอย่างดูแปลกๆพิกลๆอย่างบอกไม่ถูก ข้างในถ้ำเงียบเชียบ และคล้ายกับมีสายตาคู่หนึ่งกำลังจ้องมองเขาอยู่ อากาศหนาวเย็นลงอย่างน่าประหลาด ชายหนุ่มชะเง้อมองเข้าไปในถ้ำมืดมิด เมื่อไม่เห็นอะไร เขาก็เหลียวมองสำรวจไปรอบตัว ก่อนชะแง้มองดูสายฝนสาดกระหน่ำข้างนอกถ้ำ
“เอาผ้านี่เช็ดตัวหน่อยไหมจ๊ะ เปียกโชกไปหมดแบบนี้เดี๋ยวจะไม่สบายเอา”
ชายหนุ่มสะดุ้งขึ้นทั้งตัว เมื่อจู่ๆก็มีเสียงนุ่มแต่เย็นเยียบดังขึ้นทางด้านหลัง เขาหันขวับไปมองแล้วก็ต้องตกตะลึง เมื่อพบเข้ากับร่างของหญิงสาวคนหนึ่ง เธอยืนห่างจากเขาเพียงไม่ถึงวา ในมือถือผ้าขนหนูผืนหนึ่งและกำลังยื่นมันมาให้เขา
ครืนนน ‼
ฟ้าคำรามครืนใหญ่ขึ้นอีกครั้ง ตามมาด้วยแสงฟ้าฟาดเปรี้ยงลงที่ไหนสักแห่ง ชานนท์สะดุ้งอีกหน แสงสว่างวาบคราวนี้ส่องให้เห็นใบหน้าขาวเนียนของหญิงสาวลึกลับกำลังยิ้มให้เขา โดยไม่มีท่าทีสะทกสะท้านกับเสียงฟ้าฝนที่พิโรธอยู่ข้างนอกนั่นเลยแม้แต่น้อย
ผู้หญิงที่ไหนเข้ามาอยู่ในถ้ำมืดมิดอย่างนี้...
“คุณ เอ่อ... คุณมาอยู่ในถํ้านี้ได้อย่างไร” ชานนท์รวบรวมความกล้าเอ่ยตะกุกตะกักออกไป
“ฉันก็เพิ่งเข้ามาเมื่อสักครู่เอง”
น้ำเสียงแม้จะเยียบเย็น แต่ชานนท์แน่ใจว่าเขาไม่ได้หูฝาดและตาฝาดกับภาพหญิงสาวตรงหน้าคนนี้แน่ “ขอบคุณครับ” เขารับผ้าขนหนูจากเธอ
ต้องการเช็กว่าตัวเองกำลังฝันไปหรือเปล่า ซึ่งก็ได้คำตอบแล้วว่าไม่ใช่ เพราะผ้าขนนิ่มที่รับมาซับหยาดน้ำนั้น มีกลิ่นหอมของอะไรสักอย่างที่ไม่เคยได้สัมผัสมาเลยในชีวิต ชานนท์ยิ้มให้เธอขณะโปะผ้าขยี้ผมของตัวเอง ใบหน้าสวยนวลเนียนนั้นทำให้เขาขัดเขินไปเหมือนกัน หญิงสาวจ้องสบตากับเขาโดยไม่มีวี่แววเคอะเขินแต่อย่างใด ซึ่งผิดกับเขาเสียจริง
คนอื่นอาจจะมองว่าดวงตาของเธอดูเศร้าสร้อยและเลื่อนลอย ดูเหมือนจะออกไปทางเฉยเมยเสียด้วยซํ้า แต่ชานนท์กลับรู้สึกอีกอย่าง เขารู้สึกเหมือนมีเรื่องราวหลายสิ่งหลายอย่างซ่อนอยู่ในแววตาคู่นั้นมากมาย มากมายจนอยากค้นหาว่ามันมีสิ่งใดอยู่บ้าง
แล้วชานนท์ก็ยื่นผ้าคืนให้หญิงสาว
“ขอบคุณครับ” เขาพูดได้แค่ประโยคนี้เสียแล้ว
เปรี้ยง ‼
เสียงฟ้าผ่าแผดลั่นขึ้นอีกครั้ง
ครั้งนี้มันดังอยู่นอกปากถํ้าใกล้ๆนี่เอง ชานนท์ขนลุกเกรียว ไม่ใช่เพราะเสียงฟ้าฟาดนั่น แต่เป็นเพราะเงาวูบไหวจากมือหญิงสาวที่กำลังยื่นมารับผ้าขนหนูของตัวเอง เงามืดสลับกับแสงจ้าเพียงชั่วครู่ดูคล้ายกับแขนของหญิงสาวบิดเบี้ยวและยืดยาวขึ้นอย่างบอกไม่ถูก วงหน้าขาวซีดไม่มีวี่แววตกอกตกใจกับเสียงฟ้าพิโรธนอกปากถํ้าแต่อย่างใด ผมยาวสยายของเธอปรกใบหน้าครึ่งหนึ่ง มองเห็นดวงตาข้างเดียว จมูกครึ่งเดียว และปากก็ครึ่งเดียวเช่นกัน
ชานนท์ขนลุกซู่ไปทั้งตัว...
จบตอนที่ 1.