* กระทู้นี้เขียนขึ้นมา บอกเล่าประสพการณ์ที่ผ่านมา ของตัวผมเอง จากวันนั้นจนถึงวันนี้ ผมต้องใช้เวลา ตะเกียกตะกาย แหวกว่ายอยู่ใน สายนทีแห่งความสุข ระคน ทุกข์นี้ถึง 10ปี เต็มๆ กว่าจะข้ามผ่านพ้นมันมาได้.....และ อยากให้ข้อเขียนนี้เป็นกำลังใจ สำหรับใครก็ตาม ที่อาจกำลัง คิดว่า...
พอกันทีกับการมีชีวิตในชาตินี้... .ได้ลองอ่านดูสักนิดเถอะครับ..
ปีพ.ศ.2545 ชีวิตผมเริ่มต้นด้วยการเป็นพนักงาน มนุษย์เงินเดือนบริษัทแห่งนึง เช่าห้องเล็กๆอยู่คนเดียว ญาติพี่น้อง แตกแยกกันไปคนละทิศละทาง จะว่า เป็นคนหัวเดียวกระเทียมลีบก็ว่าได้...รายได้ก็แค่พอกิน พอใช้ เหลือเก็บบ้างก็น้อยเต็มที...แฟนก็กำลังจีบๆกันอยู่..แต่อุปสักสำคัญคือ ทางบ้านเค้าไม่ชอบ เหตุผล ง่ายๆเลย คือเพราะผมจน. ไม่ถึงกีดกันหรือขั้นห้ามเด็ดขาด.แต่ก็แสดงออกอย่างชัดเจน ว่าไม่เต็มใจต้อนรับ...แต่เราก็ยังดื้อคบกันเรื่อยมา เพราะทำงานอยู่ที่เดียวกัน ..แต่แล้วไม่นาน จู่ๆแฟนผมก็ล้มป่วย ด้วยโรคมะเร็งหลังโพรงจมูก..ต้องเข้ารับการรักษา นอนอยู่โรงพยาบาล เพื่อทำคีโม ต่อเนื่องอยู่เกือบปี..ในระหว่างนี้ ผมไปเยี่ยม ไปดูแลเธอตลอด รู้ทั้งรู้ว่าฝ่ายญาติเค้าไม่ค่อยชอบขี้หน้านัก ก็ยังหน้าด้านไป ใหม่ๆก็แอบไป ..บางครั้ง ต้องไปยืนคอยแอบดู รอจนญาติเค้ากลับกันหมดแล้ว ผมถึงค่อยเข้าไปหา..เห็นเธอแล้ว..ผมสงสารเธอมาก..ผมเธอร่วงหมด ผิวหนังตามหน้าตา ลำคอ ทรวงอกไหม้เป็นคล้ำเป็นผื่นเลย ฟันก็หลุดร่วงไปหลายซี่....ผมก็ทำทุกอย่าง เช่นเช็ดตัว ป้อนอาหาร เช็ดอาเจียน เปลี่ยนชุดที่ใส่ เทฉี่ .ซักผ้า..ตามที่คนรักพึงกระทำให้กัน ..หลังๆทางฝ่ายญาติคงจะรู้เรื่องนี้ อาจจะรู้จากปากแฟนผม หรือพวกพยาบาลเล่าให้ฟังกระมัง..ทางผู้ใหญ่ก็เลยเริ่มอ่อนให้ หลังๆนี่ โทรมาไหว้วานผมเองเลย ให้ช่วยไปดูแล เวลานั้น เวลานี้ให้หน่อย ถ้าเค้าไม่ว่างมา...ก็เป็นอันว่า สุดท้ายก็ยอมรับนั่นแหละ ..
แฟนผมนอนรักษาตัว อยู่7เดือน หมอก็อนุญาติให้กลับบ้านได้..แต่ระยะแรก ต้องกลับมาตรวจทุกๆ 1เดือน และค่อยๆ ทิ้งระยะไปทุกๆ3เดือน...จนกว่าหมอจะมั่นใจว่า หายขาดแล้ว... พอกลับมาอยู่บ้านได้สักพัก เธอขออนุญาติพ่อแม่ ออกมาอยู่กับผม ..ซึ่งแน่นอน ท่านคงไม่ค่อยเต็มใจนักหรอก..แต่งก็ยังไม่ได้แต่ง แต่จะให้แต่ง ผมก็จนปัญญา...แต่ท่านคงสงสารแฟนผมและไม่อยากขัดใจ เลยอนุญาติอย่างเสียไม่ได้...
เมื่อเราเริ่มมาใช้ชีวิตคู่อยู่ด้วยกัน...บอกเลยว่า มันเป็นอะไรที่มีความสุขมาก ..จากที่เคยคิดว่า ชาตินี้ผมคงไม่มีวาสนาได้ลงเอยกันแน่..ตอนนี้เธอค่อยแข็งแรงขึ้น ..จนเกือบจะเรียกได้ว่ากลับมาเป็นปรกติ ..เว้นระยะไปพบหมอเป็น ทุกๆ6เดือน และ ทุกๆ1ปีตามลำดับ.. 3ปีที่อยู่ด้วยกัน เรา2คนทำงานเก็บเงินได้เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ผมลาออกจากบริษัท ออกมาเริ่มทำธุรกิจเล็กๆ ของตัวเอง..จนเก็บเงินได้ 5แสนกว่าบาท เลยคิดจะมีบ้านเป็นของตัวเอง..ก็เลยไปดาวน์บ้านทาวเฮ้าส์ ขนาด2ห้องนอน เล็กๆไว้หลังนึง ..คิดว่าก็คงจะอยู่กันแค่2คนนี่แหละ ชีวิตนี้..เพราะเรื่องอนาคต หมอเคยพูดไว้แล้วว่า..ถ้าคิดจะมีลูก คุณต้องคิดให้ดีๆนะ...เพราะว่าสุขภาพแฟนผม ยังไม่สมบูรณ์100%ดีนัก...เราก็เลย คิดกันว่าเราก็คงอยู่กันตามประสา 2คนตายาย นี่แหละแค่นี้ เลี้ยงหมาเลี้ยงแมวแก้เหงาแทนลูกไปเรื่อยเปื่อย แค่มันสุขพอแล้ว สำหรับผม...
แต่ พอเริ่มเข้าปี พ.ศ.2548 ลางร้ายก็เริ่มมาเยือน..เริ่มจากภรรยาผมเธอเริ่ม บ่นปวดหัว บางครั้งก็หน้ามืด บางครั้งก็มีอาการชา ตามปลายนิ้วมือ นิ้วเท้า..จากนานๆครั้ง มันก็เริ่มถี่ขึ้น..พอไปพบหมอ ตรวจแล้ว หมอก็บอกไม่มีอะไร ส่องกล้องดูในตำแหน่งที่เคยมีก้อนเนื้อก็ไม่พบว่า มันกลับมา...หมอก็ได้แต่แนะนำให้พักผ่อนมากๆ ..ก็เลยให้เธอหยุดงาน เป็นแม่บ้านอยู่กับบ้านเฉยๆ..ผมก็คิดว่าทำแค่นี้ ก็คงไม่มีอะไรให้ต้องกังวลหรอก .ผมก็ลุยงานของผมต่อไป...แต่คนที่รู้ดี ว่ามันไม่ปรกติก็คงเป็น ตัวเธอเองนั่นแหละ แต่ตอนนั้น เธอไม่พูดออกมา คงเป็นเพราะกลัวผมจะเป็นกังวล...
ผ่านไปได้ไม่นาน แล้วจู่ๆวันหนึ่ง เธอก็บอกกับผมว่า เธอท้อง ....โอ้พระเจ้า! บอกตรงๆว่าผมตกใจมาก ..รู้สึกเคื่องเธอนิดๆด้วยที่ไม่ปรึกษาผมก่อน....เพราะตลอดมาเราตกลงกันแล้ว ว่าจะไม่เสี่ยงมีลูก เธอเลยกินยาคุมมาโดยตลอด (ทั้งๆที่ส่วนตัวผมอยากจะมีใจจะขาดก็เถอะ ) ที่ผ่านมาถ้าเวลาคุยกันถึงเรื่องอะไรที่เกี่ยวกับเด็ก เกี่ยวกับลูก ผมก็มักจะพูดเฉไฉหลบเลี่ยงไปทางอื่น ทำเหมือนเหมือนไม่สนใจ หรือชวนเปลี่ยนเรื่องคุยไปเลย แต่เธอคงรู้ความรู้สึกจริงๆของผมดีนั่นแหละ....ผมถามเธอว่าคิดอะไร ทำไมถึงทำแบบนี้?. คำตอบที่ได้คือ ." เค้าสงสารเตงน่ะ...เค้ารู้ดี..ว่าเค้าคงอยู่กับเตง ได้อีกไม่นานหรอก..ถ้าวันหน้าเค้าไม่อยู่ เตงจะได้มีลูกเป็นเพื่อนไง "...ผมพูดอะไรไม่ออก มีแต่น้ำตาเท่านั้นที่มันไหลออกมา ตอนไหนก็ไม่รู้ เราสองคนกอดกัน ร้องไห้อยู่อย่างนั้น นานกว่าครั้งไหนๆที่ผมเคยกอดเธอ
วันรุ่งขึ้น ผมหยุดงาน เรารีบไปโรงพยาบาลแต่เช้า จิตใจตอนนั้นมันมีแต่ความกังวล กลัวไปสารพัดเรื่อง..ภาพอะไรร้ายๆไม่รู้มันโผล่มาจากไหน วิ่งเข้ามาใส่หัวผมเต็มไปหมด ...พอได้พบหมอ ก็โดนติงนิดหน่อย เรื่องสภาวะความพร้อมของผู้เป็นแม่ ..พอผลซาวด์ออกมา อายุครรภ์ได้ 4เดือน ลูกผมเป็นผู้ชาย ดูแล้วเด็กปรกติสมบูรณ์ดี.. แม่ก็อยู่ในเกณฑ์ปรกติดี ก็ทำการฝากครรภ์ เข้ารับการแนะนำ เรื่องการดูแลสุขภาพ เรื่องอาหารการกิน ไปตามระเบียบ รับสมุดนัด แล้วก็กลับบ้าน ** เป็นครั้งแรกที่ผมรู้สึกดีใจ โล่งใจ อย่างที่สุดในชีวิต ..มองออกไปทางไหนรู้สึกโลกมันสดใสสวยงามไปหมด เข้าใจตอนนั้นเลย ไอ้ที่เค้าชอบพูดกัน ว่า อยู่ในทุ่งลาเวนเดอร์ มันเป็นยังไง.. .แต่ ณ.ตอนนั้น ..ผมหารู้ไม่ว่า...เรื่องร้ายแรง เจ็บปวดทรมานใจ จนผมแทบจะเอาชีวิตไม่รอด มันพึ่งจะเริ่มต้นเท่านั้นเอง...
ช่วงเวลาต่อจากนั้น ผมยอมรับเลยว่าผม เห่อลูก เห่อเมีย เหมือนคนบ้า..อ่านมันทุกตำราที่เกี่ยวกับคนท้อง ทำมันทุกเมนู ที่มันกินแล้วดีกับสุขภาพ เรื่องงานทำเท่าที่จำเป็นต้องไปจริงๆ หมอนัดให้ไปซาวด์สัปดาห์ละครั้ง เพราะอยู่ในเกณฑ์ การตั้งครรภ์สภาวะที่ต้องเฝ้าระวัง..ใจผมอยากจะไปซาวด์ทุกวันด้วยซ้ำ ผ่านไป6เดือนนี่...ข้าวของ เครื่องใช้ เสื้อผ้า ของเล่น ของลูก ขนมาเตรียมไว้เต็มบ้าน หมดแล้ว คิดเผื่อไปถึงตอนเดี๋ยวเมียท้องแก่
ออกไปนอกบ้าน ลูกก็ยังอ่อน จะให้ซ้อนมอไซด์ไปกันคงไม่ไหว ..ดูเงินในบัญชีแล้ว ยังมีพอจะแบ่งเอาออกมาซื้อรถเก๋งมือ2 ได้สักคัน ก็ไปจัดมา ..ทุกวันเวลาออกไปทำงาน หายใจเข้า หายใจออก มีแต่หน้าลูกหน้าเมีย ลอยเค้วงไปหมด ต้องแอบกลับมาบ้านก่อนทุกที..เป็นอยู่อย่างนี้จนถึงวันที่ครบกำหนดคลอด แล้ววันที่ผมรอคอย ก็มาถึง ...วันที่ 20ตุลา 2549 ..
กว่าจะข้าม สีทันดร
พอกันทีกับการมีชีวิตในชาตินี้... .ได้ลองอ่านดูสักนิดเถอะครับ..
ปีพ.ศ.2545 ชีวิตผมเริ่มต้นด้วยการเป็นพนักงาน มนุษย์เงินเดือนบริษัทแห่งนึง เช่าห้องเล็กๆอยู่คนเดียว ญาติพี่น้อง แตกแยกกันไปคนละทิศละทาง จะว่า เป็นคนหัวเดียวกระเทียมลีบก็ว่าได้...รายได้ก็แค่พอกิน พอใช้ เหลือเก็บบ้างก็น้อยเต็มที...แฟนก็กำลังจีบๆกันอยู่..แต่อุปสักสำคัญคือ ทางบ้านเค้าไม่ชอบ เหตุผล ง่ายๆเลย คือเพราะผมจน. ไม่ถึงกีดกันหรือขั้นห้ามเด็ดขาด.แต่ก็แสดงออกอย่างชัดเจน ว่าไม่เต็มใจต้อนรับ...แต่เราก็ยังดื้อคบกันเรื่อยมา เพราะทำงานอยู่ที่เดียวกัน ..แต่แล้วไม่นาน จู่ๆแฟนผมก็ล้มป่วย ด้วยโรคมะเร็งหลังโพรงจมูก..ต้องเข้ารับการรักษา นอนอยู่โรงพยาบาล เพื่อทำคีโม ต่อเนื่องอยู่เกือบปี..ในระหว่างนี้ ผมไปเยี่ยม ไปดูแลเธอตลอด รู้ทั้งรู้ว่าฝ่ายญาติเค้าไม่ค่อยชอบขี้หน้านัก ก็ยังหน้าด้านไป ใหม่ๆก็แอบไป ..บางครั้ง ต้องไปยืนคอยแอบดู รอจนญาติเค้ากลับกันหมดแล้ว ผมถึงค่อยเข้าไปหา..เห็นเธอแล้ว..ผมสงสารเธอมาก..ผมเธอร่วงหมด ผิวหนังตามหน้าตา ลำคอ ทรวงอกไหม้เป็นคล้ำเป็นผื่นเลย ฟันก็หลุดร่วงไปหลายซี่....ผมก็ทำทุกอย่าง เช่นเช็ดตัว ป้อนอาหาร เช็ดอาเจียน เปลี่ยนชุดที่ใส่ เทฉี่ .ซักผ้า..ตามที่คนรักพึงกระทำให้กัน ..หลังๆทางฝ่ายญาติคงจะรู้เรื่องนี้ อาจจะรู้จากปากแฟนผม หรือพวกพยาบาลเล่าให้ฟังกระมัง..ทางผู้ใหญ่ก็เลยเริ่มอ่อนให้ หลังๆนี่ โทรมาไหว้วานผมเองเลย ให้ช่วยไปดูแล เวลานั้น เวลานี้ให้หน่อย ถ้าเค้าไม่ว่างมา...ก็เป็นอันว่า สุดท้ายก็ยอมรับนั่นแหละ ..
แฟนผมนอนรักษาตัว อยู่7เดือน หมอก็อนุญาติให้กลับบ้านได้..แต่ระยะแรก ต้องกลับมาตรวจทุกๆ 1เดือน และค่อยๆ ทิ้งระยะไปทุกๆ3เดือน...จนกว่าหมอจะมั่นใจว่า หายขาดแล้ว... พอกลับมาอยู่บ้านได้สักพัก เธอขออนุญาติพ่อแม่ ออกมาอยู่กับผม ..ซึ่งแน่นอน ท่านคงไม่ค่อยเต็มใจนักหรอก..แต่งก็ยังไม่ได้แต่ง แต่จะให้แต่ง ผมก็จนปัญญา...แต่ท่านคงสงสารแฟนผมและไม่อยากขัดใจ เลยอนุญาติอย่างเสียไม่ได้...
เมื่อเราเริ่มมาใช้ชีวิตคู่อยู่ด้วยกัน...บอกเลยว่า มันเป็นอะไรที่มีความสุขมาก ..จากที่เคยคิดว่า ชาตินี้ผมคงไม่มีวาสนาได้ลงเอยกันแน่..ตอนนี้เธอค่อยแข็งแรงขึ้น ..จนเกือบจะเรียกได้ว่ากลับมาเป็นปรกติ ..เว้นระยะไปพบหมอเป็น ทุกๆ6เดือน และ ทุกๆ1ปีตามลำดับ.. 3ปีที่อยู่ด้วยกัน เรา2คนทำงานเก็บเงินได้เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ผมลาออกจากบริษัท ออกมาเริ่มทำธุรกิจเล็กๆ ของตัวเอง..จนเก็บเงินได้ 5แสนกว่าบาท เลยคิดจะมีบ้านเป็นของตัวเอง..ก็เลยไปดาวน์บ้านทาวเฮ้าส์ ขนาด2ห้องนอน เล็กๆไว้หลังนึง ..คิดว่าก็คงจะอยู่กันแค่2คนนี่แหละ ชีวิตนี้..เพราะเรื่องอนาคต หมอเคยพูดไว้แล้วว่า..ถ้าคิดจะมีลูก คุณต้องคิดให้ดีๆนะ...เพราะว่าสุขภาพแฟนผม ยังไม่สมบูรณ์100%ดีนัก...เราก็เลย คิดกันว่าเราก็คงอยู่กันตามประสา 2คนตายาย นี่แหละแค่นี้ เลี้ยงหมาเลี้ยงแมวแก้เหงาแทนลูกไปเรื่อยเปื่อย แค่มันสุขพอแล้ว สำหรับผม...
แต่ พอเริ่มเข้าปี พ.ศ.2548 ลางร้ายก็เริ่มมาเยือน..เริ่มจากภรรยาผมเธอเริ่ม บ่นปวดหัว บางครั้งก็หน้ามืด บางครั้งก็มีอาการชา ตามปลายนิ้วมือ นิ้วเท้า..จากนานๆครั้ง มันก็เริ่มถี่ขึ้น..พอไปพบหมอ ตรวจแล้ว หมอก็บอกไม่มีอะไร ส่องกล้องดูในตำแหน่งที่เคยมีก้อนเนื้อก็ไม่พบว่า มันกลับมา...หมอก็ได้แต่แนะนำให้พักผ่อนมากๆ ..ก็เลยให้เธอหยุดงาน เป็นแม่บ้านอยู่กับบ้านเฉยๆ..ผมก็คิดว่าทำแค่นี้ ก็คงไม่มีอะไรให้ต้องกังวลหรอก .ผมก็ลุยงานของผมต่อไป...แต่คนที่รู้ดี ว่ามันไม่ปรกติก็คงเป็น ตัวเธอเองนั่นแหละ แต่ตอนนั้น เธอไม่พูดออกมา คงเป็นเพราะกลัวผมจะเป็นกังวล...
ผ่านไปได้ไม่นาน แล้วจู่ๆวันหนึ่ง เธอก็บอกกับผมว่า เธอท้อง ....โอ้พระเจ้า! บอกตรงๆว่าผมตกใจมาก ..รู้สึกเคื่องเธอนิดๆด้วยที่ไม่ปรึกษาผมก่อน....เพราะตลอดมาเราตกลงกันแล้ว ว่าจะไม่เสี่ยงมีลูก เธอเลยกินยาคุมมาโดยตลอด (ทั้งๆที่ส่วนตัวผมอยากจะมีใจจะขาดก็เถอะ ) ที่ผ่านมาถ้าเวลาคุยกันถึงเรื่องอะไรที่เกี่ยวกับเด็ก เกี่ยวกับลูก ผมก็มักจะพูดเฉไฉหลบเลี่ยงไปทางอื่น ทำเหมือนเหมือนไม่สนใจ หรือชวนเปลี่ยนเรื่องคุยไปเลย แต่เธอคงรู้ความรู้สึกจริงๆของผมดีนั่นแหละ....ผมถามเธอว่าคิดอะไร ทำไมถึงทำแบบนี้?. คำตอบที่ได้คือ ." เค้าสงสารเตงน่ะ...เค้ารู้ดี..ว่าเค้าคงอยู่กับเตง ได้อีกไม่นานหรอก..ถ้าวันหน้าเค้าไม่อยู่ เตงจะได้มีลูกเป็นเพื่อนไง "...ผมพูดอะไรไม่ออก มีแต่น้ำตาเท่านั้นที่มันไหลออกมา ตอนไหนก็ไม่รู้ เราสองคนกอดกัน ร้องไห้อยู่อย่างนั้น นานกว่าครั้งไหนๆที่ผมเคยกอดเธอ
วันรุ่งขึ้น ผมหยุดงาน เรารีบไปโรงพยาบาลแต่เช้า จิตใจตอนนั้นมันมีแต่ความกังวล กลัวไปสารพัดเรื่อง..ภาพอะไรร้ายๆไม่รู้มันโผล่มาจากไหน วิ่งเข้ามาใส่หัวผมเต็มไปหมด ...พอได้พบหมอ ก็โดนติงนิดหน่อย เรื่องสภาวะความพร้อมของผู้เป็นแม่ ..พอผลซาวด์ออกมา อายุครรภ์ได้ 4เดือน ลูกผมเป็นผู้ชาย ดูแล้วเด็กปรกติสมบูรณ์ดี.. แม่ก็อยู่ในเกณฑ์ปรกติดี ก็ทำการฝากครรภ์ เข้ารับการแนะนำ เรื่องการดูแลสุขภาพ เรื่องอาหารการกิน ไปตามระเบียบ รับสมุดนัด แล้วก็กลับบ้าน ** เป็นครั้งแรกที่ผมรู้สึกดีใจ โล่งใจ อย่างที่สุดในชีวิต ..มองออกไปทางไหนรู้สึกโลกมันสดใสสวยงามไปหมด เข้าใจตอนนั้นเลย ไอ้ที่เค้าชอบพูดกัน ว่า อยู่ในทุ่งลาเวนเดอร์ มันเป็นยังไง.. .แต่ ณ.ตอนนั้น ..ผมหารู้ไม่ว่า...เรื่องร้ายแรง เจ็บปวดทรมานใจ จนผมแทบจะเอาชีวิตไม่รอด มันพึ่งจะเริ่มต้นเท่านั้นเอง...
ช่วงเวลาต่อจากนั้น ผมยอมรับเลยว่าผม เห่อลูก เห่อเมีย เหมือนคนบ้า..อ่านมันทุกตำราที่เกี่ยวกับคนท้อง ทำมันทุกเมนู ที่มันกินแล้วดีกับสุขภาพ เรื่องงานทำเท่าที่จำเป็นต้องไปจริงๆ หมอนัดให้ไปซาวด์สัปดาห์ละครั้ง เพราะอยู่ในเกณฑ์ การตั้งครรภ์สภาวะที่ต้องเฝ้าระวัง..ใจผมอยากจะไปซาวด์ทุกวันด้วยซ้ำ ผ่านไป6เดือนนี่...ข้าวของ เครื่องใช้ เสื้อผ้า ของเล่น ของลูก ขนมาเตรียมไว้เต็มบ้าน หมดแล้ว คิดเผื่อไปถึงตอนเดี๋ยวเมียท้องแก่
ออกไปนอกบ้าน ลูกก็ยังอ่อน จะให้ซ้อนมอไซด์ไปกันคงไม่ไหว ..ดูเงินในบัญชีแล้ว ยังมีพอจะแบ่งเอาออกมาซื้อรถเก๋งมือ2 ได้สักคัน ก็ไปจัดมา ..ทุกวันเวลาออกไปทำงาน หายใจเข้า หายใจออก มีแต่หน้าลูกหน้าเมีย ลอยเค้วงไปหมด ต้องแอบกลับมาบ้านก่อนทุกที..เป็นอยู่อย่างนี้จนถึงวันที่ครบกำหนดคลอด แล้ววันที่ผมรอคอย ก็มาถึง ...วันที่ 20ตุลา 2549 ..