......ย้อนเวลากลับไปเมื่อ 6 ปีที่แล้ว เราได้รู้จักกับน้องคนนึง น้องเขาเรียนที่มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งทางภาคเหนือ ระยะทางของเราสองคนค่อนข้างไกลกันมาก เราจึงได้แต่คุยกันผ่านทางโทรศัพท์และfacebook น้องเป็นคนน่ารัก นิสัยดี คุยด้วยแล้วสบายใจ จนเกิดเป็นความรักระหว่างเราสองคน
.......ระยะเวลาผ่านไปและวันนี้ก็มาถึง วันที่เราต้องไปฝึกงานก่อนที่จะเรียนจบ เราเลือกไปฝึกในจังหวัดทางภาคเหนือ และวันที่เรารอคอยก็มาถึง วันที่เราได้เจอกัน คือในใจเราดีใจมาก เขินมาก แต่ภายนอกไม่แสดงออกเลยแม้แต่นิด 5555 น้องมาหาเราที่ที่เราฝึกงาน ตลอดระยะของการฝึกงานคือ 2 เดือนเต็ม เราต้องฝึกงานทุกวัน เสาร์อาทิตย์เราก็ต้องฝึก ซึ่งเราไม่สามารถไปหาน้องได้ น้องจะมาหาเราทุกเสาร์อาทิตย์ มีความสุขมากเมื่อได้เจอ เมื่อได้เห็นรอยยิ้ม เมื่อได้โอบกอดกันในทุกค่ำคืน น้องเป็นคนดูแลดี เอาใจใส่กับทุกเรื่อง ทำให้ในทุกๆอย่าง ซึ่งมันยิ่งทำให้เรารู้สึกรักมาก มากขึ้นในทุกๆวัน
......แต่ในขณะนั้นเรามีแฟนอยู่แล้วซึ่งคบกันก่อนหน้าที่จะคบกับน้องเขา ด้วยความไม่สบายใจ เราจึงตัดสินใจบอกกับน้องเขาไปว่าเรากำลังคบหาอยู่กับคนๆนึงก่อนหน้านี้ น้องนิ่งไปสักพักแล้วน้องก็บอกว่าไม่เป็นไรน้องโอเค คือเราแบบ แมร่งกูนี่โคตรเลวเลย ชั่วมาก หลังจากเหตุการณ์วันนั้นเรายังรู้สึกถึงรักที่มอบให้กันและกันเหมือนเดิม
.......คืนนึงมีเบอร์แปลกโทรเข้ามา ถามว่าเราเป็นใครและพูดกับเราว่า เขาคือแฟนของน้องคนนั้นนะ.... โอเคงั้นก็แสดงว่าเราสองคนก็ต่างมีแฟนเป็นของตัวเอง และต่างคนก็ต่างรับซึ่งกันและกันได้ และทุกอย่างก็ยังดำเนินต่อไป.....กางเกงนักศึกษาขาดน้องก็ซื้อมาให้โดยไม่บอก วันวาเลนไทน์น้องมีกุหลาบมามอบให้ คือซึ้ง คือน้ำตาไหลเลยหละ มันเป็นช่วงเวลาที่ดีและมีความสุขที่สุดกับคำว่าเรารักกัน
.......2 เดือนผ่านไปฝึกงานเสร็จแล้วต้องกับไป ณ ที่ที่เราจากมาจึงทำให้เราต้องใช้ชีวิตห่างไกลกันอีกครั้ง แต่เราก็ติดต่อกัน คุยกันตลอด และน้องก็บอกว่า....น้องเลิกกับแฟนแล้วนะ... มันยิ่งตอกย้ำเราไปอีกว่าเรานี่แมร่งชั่วมาก เวลาเราอยู่แฟนน้องก็จะไม่โทรไม่ทัก ซึ่งเรารู้นะว่าน้องเสียใจ แต่น้องก็แสดงออกให้เราเห็นว่าน้องไม่เป็นไร
......จบการศึกษาเข้ารายงานตัวเข้าทำงานในสังกัดกระทรวงสาธารณสุข เปลี่ยนจากชีวิตนักศึกษา เป็นชีวิตการทำงาน ความคิดเริ่มเปลี่ยน ความเป็นผู้ใหญ่เริ่มมากขึ้น และแน่นอนว่าความรักก็ต้องเข้าสู่ความมั่นคงความจริงใจเช่นกัน เราจึงตัดสินใจบอกเลิกน้องเขาและคบกับแฟนเราที่คบกันมาก่อนน้องเขาเพียงคนเดียว
....ตลอดเวลาที่ผ่านมาคอยถามตัวเองเสมอว่าเราทำอะไรลงไป เราทำร้ายความรู้สึกของคนที่รักเราหมดหัวใจ เราทำให้คนที่ดีที่สุดสำหรับเราต้องร้องไห้ เสียใจ เราแมร่ง


เลย ชั่ว เลว ต่ำตม ทำไมเราเป็นคนแบบนี้ เราเองก็เสียใจนะที่ตัดสินใจแบบนั้น แต่ก็ด้วยเหตุผลหลายๆอย่าง เรื่องนี้จึงเกิดขึ้น
......แต่น้องก็ยังพยายามติดต่อเราอยู่ เราเองที่เป็นฝ่ายหนี ไม่ค่อยตอบ ไม่ค่อยคุย ไม่ค่อยรับโทรศัพท์ ทั้งๆที่ความรักยังไม่จางหายไปจากใจ
.... 2 เมษายน 2555 หน้าที่ของลูกผู้ชายไทยก็มาถึง เราจับได้ใบแดง ทบ.1 แทบล้มทั้งยืน เหมือนวิญญาณลอยออกจากร่าง และน้องก็ยังคงติดต่อโทรหาเราเหมือนเดิม
น้อง : เป็นไง ดำ หรือ แดง
เรา : แดง ทบ.1
น้อง : ล้อเล่นใช่มั้ย ไม่จริงใช่มั้ย
เรา : เรื่องจริง ไม่ได้พูดเล่น ต้องไป 1 พฤษภาคม
น้อง : เสียงเหมือนร้องไห้
เหตุการณ์นี้จึงทำให้เราไม่พยายามหนีน้องอีกต่อไป เราได้คุยกันเยอะขึ้น ได้ทำตามความรู้สึกของตนเอง ความสุขของเราสองคนมันเริ่มกลับมาอีกครั้ง
...... 30 เมษายน เราร่ำลากันผ่านโทรศัพท์ พรุ่งนี้เราต้องไปเป็นทหารแล้วนะ ฝึก 2 เดือนนะ ใช้โทรศัพท์ไม่ได้ เราคงไม่ได้คุยกันเหมือนทุกวันเนาะ บลาๆๆๆๆๆ น้องบอกให้ดูแลตัวเอง น้องเป็นห่วง น้องจะรอ ฝึกเสร็จได้กลับบ้าน ให้โทรหาน้องด้วย บลาๆๆๆๆๆๆๆ น้องเหมือนจะร้องไห้ เราเองก็ร้องแต่ร้องอยู่ข้างใน เช้าวันรุ่งขึ้นชีวิตการทำงานได้เปลี่ยนเป็นชีวิตพลทหารอย่างเต็มรูปแบบ
..... 2 เดือนผ่านไป ฝึกเสร็จแล้วโว๊ยยย ได้กลับบ้านแล้วโว๊ยยยยย ฮิ้ววววว กลับบ้านด้วยหัวเกรียน ตัวดำ ผอมมาก พร้อมเครื่องแต่งกายทหารเต็มรูปแบบ จากคนที่ผิวค่อนๆไปทางขาว รูปร่างอวบๆ เซทผมตลอดเวลาเมื่อออกจากบ้าน แต่สภาพตอนนี้ตรงข้ามกับที่เคยเป็น แม้กระทั่งคนแถวบ้านยังจำไม่ได้ ช่วงนั้นไม่ไปไหนเลย อยู่บ้านอย่างเดียว ฮ่าๆๆๆๆ
....กลับบ้านได้เพียง 2 วัน เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น ...น้องเขาโทรมา...
น้อง : กลับมาบ้านแล้วใช่มั้ย
เรา : ใช่ๆ กลับมาแล้ว รู้ได้ไงอะ นี่ยังไม่ได้บอกใครเลย
น้อง : มาดูปฏิทินที่ห้องสิ ขีดไว้ทุกวัน กลับมาแล้วทำไมไม่โทรหา
เรา : ...............
หลังจากพัก 15 วันก็ต้องกลับเข้าค่ายทหาร ย้ายจากหน่วยฝึกไปอยู่กองร้อย เรื่องระเบียบก็ยังเคร่งคัดอยู่ เหมือนตอนฝึกนั่นแหละ แต่เปลี่ยนจากการฝึกไปรบกับหญ้าฆ่ากับมดแทน
หนึ่งในระเบียบข้อปฏิบัติก็คือ 3 ทุ่ม ต้องปิดไฟนอน ทุกอย่างต้องสงบเงียบ คือต้องนอนอย่างเดียวเท่านั้น ด้วยความที่เวลาเริ่มเริ่มไม่ตรงกันคือน้องต้องเรียน มีกิจกรรม และอื่นๆอีกเยอะแยะมากมายซึ่งเป็นเรื่องปกติของชีวิตนักศึกษา กว่าน้องจะว่างก็หลัง 3 ทุ่ม แล้วน้องก็จะโทรมา ก็ต้องมุดใต้ผ้าห่มแอบคุยโดยใช้เสียงให้เบาที่สุดในระหว่างที่โดนความกดดันตลอดเวลาจากนายสิบเวรที่เดินวนไปมาเพื่อหาคนผิดไปลงโทษตามวินัยของทหาร มันจึงทำให้เราพูดกับน้องด้วยน้ำเสียงดุไปว่า.....บอกแล้วไงว่าอย่าโทรมาหลัง 3 ทุ่ม เขาให้ปิดไฟนอน เข้าใจมั้ย....น้องตอบเพียงว่า...ขอโทษครับ...และหลังจากวันนั้นน้องก็ไม่ติดต่อเรามาอีกเลย
.....กองร้อยเริ่มมีการแจกจ่ายทหารไปอยู่ตามที่ต่างๆตามความถนัด ซึ่งเราได้ถูงส่งไปอยู่ที่หน่วยตรวจโรคซึ่งเป็นอาคารสถานพยาลเล็กๆในค่ายทหาร ซึ่งตรงกับความสามารถ ตรงกับสิ่งที่เราเรียนจบมา เมื่อไปอยู่ที่นั่นระเบียบข้อบังคับต่างๆเริ่มเบาบางลง เริ่มทำอะไนได้มากขึ้น เราจึงโทรหาน้องเขา และบอกถึงสถานการณ์ความเป็นอยู่ ณ ปัจจุบัน...และน้องก็พูดกับเราว่า...พี่ครับ ผมมีแฟนแล้ว ผมเพิ่งคบกันได้ 1 เดือน ตลอดเวลาที่ผมรอพี่ พี่หนีผมตลอด พี่เป็นคนเลือกที่จะจากผมไปเอง เราเลิกติดต่อกันเถอะครับ ผมไม่รู้สึกอะไรแล้ว...เรารู้สึกเหมือนวิญญาณออกจากร่างอีกครั้ง และสายก็ตัดไป...เราตะโกนบอกเพื่อนที่อยู่ด้วยกัน เมิงไปซื้อเบียร์ซื้อเหล้ามาให้กูกินหน่อย ซื้อมาเยอะๆเลยนะ เอาให้เงินหมดนี่เลย เพื่อนบอก ได้ กูจัดให้ คือเราเป็นคนที่ไม่ดื่มของพวกนี้เลยนั่นเป็นครั้งแรก ดื่มเบียร์ไปทั้งหมด 7 ขวดคนเดียว ท่ามกลางเพื่อนทหารนั่งรายล้อมโดยที่พวกมันไม่กินสักนิด เราเมาจนเอาหน้าพาดไปกับชักโครก อวกออกมาหมดใส้หมดพุง โดนมีเพื่อนคอยหิ้วปีกเข้าออกห้องน้ำ และนั่นเป็นการดื่มครั้งแรกและเมาครั้งแรกในชีวิต และเราก็ไม่ได้คุยกันกับน้องเขาอีกเลย
.....ปลดประจำการทหาร กลับเข้าสู่ชีวิตการทำงานอีกครั้ง แฟนเริ่มมีอาการเปลี่ยนไปจนวันนึงเขาก็ทำให้รู้ความจริงที่ว่าตลอดระยะเวลา 1 ปีที่เราไปเป็นทหารหารอยู่นั้น เขามีอะไรกับคนข้างห้องมาโดยตลอด 1 ปีเต็ม แล้วจะอะไรหละ เรา 2 ก็เลิกกัน ก็อกหักสิ เสียใจ ร้องไห้ งานไม่ทำ เวรไม่รับ ขายเวรออกให้หมด ข้าวปลาไม่กิน เอาแต่ร้องไห้ เสาร์อาทิตย์ต้องหาที่ไป อยู่เฉยๆไม่ได้ เป็นแบบนี้อยู่ 2 เดิอนเต็มๆ และคนแรกที่นึกถึง คือ น้องเขานั่นแหละ
....ในขณะที่ร้องไห้ก็กดเบอร์โทรไปหา...
น้อง : ฮาโหล เป็นอะไร ร้องไห้ทำไม เกิดอะไรขึ้น
เรา : เขาทิ้งเราแล้วเขาไม่อยู่แล้วเขาไปแล้วเขาไม่กลับมาอีกแล้ว ฮือๆๆๆๆๆๆๆๆ
น้อง : ปลอบ บลาๆๆๆๆๆๆ
เรา : มาหาเราหน่อย เราไม่ไหวแล้ว เราอยู่แบบนี้ไม่ได้ ฮือๆๆๆ
น้อง : ไปหาไม่ได้ ต้องเรียน บลาๆๆๆๆๆ งั้นเอาอย่างนี้เธอก็มาหาเราละกัน เสาร์อาทิตย์นี้เราจะกลับบ้านพอดี
เรา : โอเคงั้นเราจะไปหาเธอ
.....จากที่ไม่ได้เจอกันมานานแสนนาน จากที่ไม่ได้คุยกันมานานแสนนาน วันนี้จะเป็นการเจอกันอีกครั้ง ในใจก็รู้สึกละอาย รู้สึกกลัว แต่ก็ต้องหน้าด้านเข้าสู้ แบกหน้าเดินเข้าไปหา เด็กน้อยตัวดำๆ ผอมๆ คางแหลมๆ หน้าเทาๆในวันนั้น วันนี้เข้าดูโตขึ้น มีน้ำมีนวล ขาวขึ้น มีบุคลิกที่เป็นผูใหญ่มากขึ้น และเขาก็ทำให้เรารู้สึกได้ว่า เรื่องที่ผ่านมาทั้งหมดเหมือนมันไม่ได้เกิดขึ้น น้องก็ยังคงคอยดูแลและทำทุกอย่างให้เหมือนครั้งเราเคยคบกันทำทุกอย่างให้เราสบายใจให้เรามีความสุขทั้งที่ขณะนั้นน้องยังมีแฟนและเราเพิ่งโดนทิ้งและตั้งแต่นั้นมาเรากับน้องก็ติดต่อกันมาตลอด โดยเราทั้ง 2 คนก็อาจจะมีหายไปบ้าง อาจจะมีคุยกับคนอื่นบ้าง คบกับคนอื่นบ้าง ทะเลาะกันบ้าง ไปมาหากันบ้าง ไม่ว่าจะที่ไหน เมื่อไหร่ เรา 2 คนก็ไม่เคยขาดกันไปได้เลย โดยที่ไม่รู้ว่าสถานะตอนนี้คืออะไร น้องได้พูดกับเราประโยคนึงว่า...ไม่อยากพูดออกไปว่าให้รอ แต่อยากให้รอนะ...คำนี้คำเดียวที่ทำให้เรารอ ทำให้เรามีความหวัง และความคาดหวัง จากวันแรกที่คุยกันจนถึงวันนี้ก็ 6 ปีกว่าๆละเนาะ
......ปัจจุบันเราได้เข้ามาทำงานใน กทม. และน้องก็เข้ามาเรียนต่อในระดับที่สูงขึ้นใน กทม. เช่นเดียวกัน เราจึงมีโอกาสได้เจอกันบ่อยขึ้น ไปเที่ยว กินข้าว ร้องเพลง ดูหนัง แม้กระทั่งนอนกอดกันใต้ผ้าห่มอันแสนอบอุ่น จากแรกที่ผมเคยละเลย ไม่ค่อยสนใจ ไม่ค่อยเอาใจใส่ ปัจจุบันเราทำทุกอย่างที่เราสามารถทำให้น้องได้ เราดูแลกัน ช่วยเหลือกันในทุกๆอย่าง มีความสุขด้วยกันมาตลอด
......สิ้นเดือนสิงหา ต้นเดือนกันยา 2560 ที่ผ่านมา น้องดูแปลกไป ดูให้ความสำคัญในทุกๆเรื่องกับเรามากขึ้น เราจุงใช้วิชาโคนันจนรู้ว่าน้องเลิกกับแฟน ความหวัง ความคาดหวังของคนรอมันมีกำลังใจขึ้นมาอีกครั้ง เรา 2 คนเป็นแบบนี้อยู่แค่ 2 สัปดาห์ ซึ่งเป็นเวลาที่มีความสุขมากที่สุดอีกครั้ง แล้วน้องก็เปลี่ยนไปในทางตรงกันข้าม เราก็ใช้วิชาโคนันอีกครั้งจนได้รู้ว่าน้องเขาคบคนใหม่แล้ว คุยกันมาเป็นปีแล้ว แล้วไงหละก็เสียใจไงเหมือนอกหักอีกครั้งโดยที่เราไม่ได้เป็นอะไรกัน อาการหนักมาก กินเหล้าทุกวัน ร้องไห้ทุกวัน นั่งทำงานอยู่ก็ร้องไห้ คือสุดๆอะ คือไม่สามารถอธิบายออกมาเป็นคำพูดได้ว่ารู้สึกเสียใจมากขนาดไหน เรา 2 คนจึงคุยเรื่องนี้กันอีกครั้ง
เรา : ที่ผ่านมา คือเราก็ทำทุกอย่างแล้ว เปลี่ยนแปลงตัวเองทุกอย่างแล้ว เธอเห็น เธออรู้ เธอสัมผัสมันได้ เราไม่มีโอกาสเลยใช่มั้ย
น้อง : เราเคยให้เธอไปหมดทั้งใจแล้ว เราให้ไม่ได้อีกแล้ว เธอดีกับเรามากนะ มากจนเรารู้สึกละอายใจ ไม่ต้องรอเรานะ ตอนนี้เราไม่ใช่คนเดิมแล้ว ตอนนี้เรา

มาก เรารู้ตัว เธออย่าเอาความรักของเธอมาฝากไว้กับคน

ๆอย่างเราเลยนะถ้ามีคนเข้ามา เราอยากให้เธอเปิดใจ แต่เรากลับไปเป็นเหมือนเดิมไม่ได้แล้วจริงๆ
เรา : ในเมื่อเราทำทุกอย่างแล้ว แต่ไม่ว่าจะยังไง เธอก็ยังยืนยันคำเดิม งั้นเราไปนะ เราไม่ไหวแล้วจริงๆ
น้อง : อย่าไปได้มั้ย เราอยากมีเธออยู่แบบนี้ไปตลอด อย่าหายไป ถ้าเธอรักเรามากขนาดนั้น ถึงเราจะไม่ได้คบกัน เธอก็เก็บเราไว้ในใจก็ได้นะ ทุกคนย่อมมีคนในใจกันทั้งนั้นแหละเราก็มี แต่ในเมื่อมันเป็นไปไม่ได้ในชีวิตจริงเราก็ต้องเก็บเขาไว้ในใจตลอดไป เธอเข้าใจเรามั้ย
เรา : เราเข้าใจ แต่เรายอมรับความจริงไม่ได้ เราเองที่ทำไม่ได้ เธอเข้าใจเรามั้ย
น้อง : เราเข้าใจเธอนะ แต่เราไม่อยากให้เธอไปไหน เราอย่างให้เรา 2 คนเป็นเหมือนเดิม เราเข้าใจกันและกันแล้วเนาะครับ
เรา : .....................
.......ท้ายที่สุด ณ วันนี้ เรารักเขา เขาไม่ได้รักเรา แต่เราทั้งสองก็ทำทุกอย่างเหมือนคนรักกัน ไม่ว่าจะทรมาน จะเสียใจ จะร้องไห้ขนาดไหน ก็ต้องเก็บไว้ข้างใน และใช้เวลาที่เหลืออยู่ด้วยกันให้มีความสุขก็พอ......
#เรารู้ตัวว่าเราผิด
#เราไม่อยากให้ใครต้องเป็นแบบเรา เราจึงมาประจานตัวเองในนี้ รักษาความรักของคุณไว้ให้ดีๆนะ
#เรื่องราวที่เผยแพร่ อาจจะไม่ใช่ทั้งหมด เป็นแค่บางช่วงบางตอนเท่านั้น
#ปัจจุบัน ณ วันนี้น้องเขาก็คบแฟนใหม่อีกแล้ว
#ส่วนเราหนะหรอ ก็ยังรอนะ ก็ยังคาดหวัง ถึงจะรู้ว่ามันไม่มีทางเป็นไปได้ เกลียดตัวเองจริงๆ
#สุดท้ายนี้อยากจะบอกว่า เรารักเธอนะ
ความรัก ความผิด ความคาดหวัง ความเสียใจ การรอคอย
.......ระยะเวลาผ่านไปและวันนี้ก็มาถึง วันที่เราต้องไปฝึกงานก่อนที่จะเรียนจบ เราเลือกไปฝึกในจังหวัดทางภาคเหนือ และวันที่เรารอคอยก็มาถึง วันที่เราได้เจอกัน คือในใจเราดีใจมาก เขินมาก แต่ภายนอกไม่แสดงออกเลยแม้แต่นิด 5555 น้องมาหาเราที่ที่เราฝึกงาน ตลอดระยะของการฝึกงานคือ 2 เดือนเต็ม เราต้องฝึกงานทุกวัน เสาร์อาทิตย์เราก็ต้องฝึก ซึ่งเราไม่สามารถไปหาน้องได้ น้องจะมาหาเราทุกเสาร์อาทิตย์ มีความสุขมากเมื่อได้เจอ เมื่อได้เห็นรอยยิ้ม เมื่อได้โอบกอดกันในทุกค่ำคืน น้องเป็นคนดูแลดี เอาใจใส่กับทุกเรื่อง ทำให้ในทุกๆอย่าง ซึ่งมันยิ่งทำให้เรารู้สึกรักมาก มากขึ้นในทุกๆวัน
......แต่ในขณะนั้นเรามีแฟนอยู่แล้วซึ่งคบกันก่อนหน้าที่จะคบกับน้องเขา ด้วยความไม่สบายใจ เราจึงตัดสินใจบอกกับน้องเขาไปว่าเรากำลังคบหาอยู่กับคนๆนึงก่อนหน้านี้ น้องนิ่งไปสักพักแล้วน้องก็บอกว่าไม่เป็นไรน้องโอเค คือเราแบบ แมร่งกูนี่โคตรเลวเลย ชั่วมาก หลังจากเหตุการณ์วันนั้นเรายังรู้สึกถึงรักที่มอบให้กันและกันเหมือนเดิม
.......คืนนึงมีเบอร์แปลกโทรเข้ามา ถามว่าเราเป็นใครและพูดกับเราว่า เขาคือแฟนของน้องคนนั้นนะ.... โอเคงั้นก็แสดงว่าเราสองคนก็ต่างมีแฟนเป็นของตัวเอง และต่างคนก็ต่างรับซึ่งกันและกันได้ และทุกอย่างก็ยังดำเนินต่อไป.....กางเกงนักศึกษาขาดน้องก็ซื้อมาให้โดยไม่บอก วันวาเลนไทน์น้องมีกุหลาบมามอบให้ คือซึ้ง คือน้ำตาไหลเลยหละ มันเป็นช่วงเวลาที่ดีและมีความสุขที่สุดกับคำว่าเรารักกัน
.......2 เดือนผ่านไปฝึกงานเสร็จแล้วต้องกับไป ณ ที่ที่เราจากมาจึงทำให้เราต้องใช้ชีวิตห่างไกลกันอีกครั้ง แต่เราก็ติดต่อกัน คุยกันตลอด และน้องก็บอกว่า....น้องเลิกกับแฟนแล้วนะ... มันยิ่งตอกย้ำเราไปอีกว่าเรานี่แมร่งชั่วมาก เวลาเราอยู่แฟนน้องก็จะไม่โทรไม่ทัก ซึ่งเรารู้นะว่าน้องเสียใจ แต่น้องก็แสดงออกให้เราเห็นว่าน้องไม่เป็นไร
......จบการศึกษาเข้ารายงานตัวเข้าทำงานในสังกัดกระทรวงสาธารณสุข เปลี่ยนจากชีวิตนักศึกษา เป็นชีวิตการทำงาน ความคิดเริ่มเปลี่ยน ความเป็นผู้ใหญ่เริ่มมากขึ้น และแน่นอนว่าความรักก็ต้องเข้าสู่ความมั่นคงความจริงใจเช่นกัน เราจึงตัดสินใจบอกเลิกน้องเขาและคบกับแฟนเราที่คบกันมาก่อนน้องเขาเพียงคนเดียว
....ตลอดเวลาที่ผ่านมาคอยถามตัวเองเสมอว่าเราทำอะไรลงไป เราทำร้ายความรู้สึกของคนที่รักเราหมดหัวใจ เราทำให้คนที่ดีที่สุดสำหรับเราต้องร้องไห้ เสียใจ เราแมร่ง
......แต่น้องก็ยังพยายามติดต่อเราอยู่ เราเองที่เป็นฝ่ายหนี ไม่ค่อยตอบ ไม่ค่อยคุย ไม่ค่อยรับโทรศัพท์ ทั้งๆที่ความรักยังไม่จางหายไปจากใจ
.... 2 เมษายน 2555 หน้าที่ของลูกผู้ชายไทยก็มาถึง เราจับได้ใบแดง ทบ.1 แทบล้มทั้งยืน เหมือนวิญญาณลอยออกจากร่าง และน้องก็ยังคงติดต่อโทรหาเราเหมือนเดิม
น้อง : เป็นไง ดำ หรือ แดง
เรา : แดง ทบ.1
น้อง : ล้อเล่นใช่มั้ย ไม่จริงใช่มั้ย
เรา : เรื่องจริง ไม่ได้พูดเล่น ต้องไป 1 พฤษภาคม
น้อง : เสียงเหมือนร้องไห้
เหตุการณ์นี้จึงทำให้เราไม่พยายามหนีน้องอีกต่อไป เราได้คุยกันเยอะขึ้น ได้ทำตามความรู้สึกของตนเอง ความสุขของเราสองคนมันเริ่มกลับมาอีกครั้ง
...... 30 เมษายน เราร่ำลากันผ่านโทรศัพท์ พรุ่งนี้เราต้องไปเป็นทหารแล้วนะ ฝึก 2 เดือนนะ ใช้โทรศัพท์ไม่ได้ เราคงไม่ได้คุยกันเหมือนทุกวันเนาะ บลาๆๆๆๆๆ น้องบอกให้ดูแลตัวเอง น้องเป็นห่วง น้องจะรอ ฝึกเสร็จได้กลับบ้าน ให้โทรหาน้องด้วย บลาๆๆๆๆๆๆๆ น้องเหมือนจะร้องไห้ เราเองก็ร้องแต่ร้องอยู่ข้างใน เช้าวันรุ่งขึ้นชีวิตการทำงานได้เปลี่ยนเป็นชีวิตพลทหารอย่างเต็มรูปแบบ
..... 2 เดือนผ่านไป ฝึกเสร็จแล้วโว๊ยยย ได้กลับบ้านแล้วโว๊ยยยยย ฮิ้ววววว กลับบ้านด้วยหัวเกรียน ตัวดำ ผอมมาก พร้อมเครื่องแต่งกายทหารเต็มรูปแบบ จากคนที่ผิวค่อนๆไปทางขาว รูปร่างอวบๆ เซทผมตลอดเวลาเมื่อออกจากบ้าน แต่สภาพตอนนี้ตรงข้ามกับที่เคยเป็น แม้กระทั่งคนแถวบ้านยังจำไม่ได้ ช่วงนั้นไม่ไปไหนเลย อยู่บ้านอย่างเดียว ฮ่าๆๆๆๆ
....กลับบ้านได้เพียง 2 วัน เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น ...น้องเขาโทรมา...
น้อง : กลับมาบ้านแล้วใช่มั้ย
เรา : ใช่ๆ กลับมาแล้ว รู้ได้ไงอะ นี่ยังไม่ได้บอกใครเลย
น้อง : มาดูปฏิทินที่ห้องสิ ขีดไว้ทุกวัน กลับมาแล้วทำไมไม่โทรหา
เรา : ...............
หลังจากพัก 15 วันก็ต้องกลับเข้าค่ายทหาร ย้ายจากหน่วยฝึกไปอยู่กองร้อย เรื่องระเบียบก็ยังเคร่งคัดอยู่ เหมือนตอนฝึกนั่นแหละ แต่เปลี่ยนจากการฝึกไปรบกับหญ้าฆ่ากับมดแทน
หนึ่งในระเบียบข้อปฏิบัติก็คือ 3 ทุ่ม ต้องปิดไฟนอน ทุกอย่างต้องสงบเงียบ คือต้องนอนอย่างเดียวเท่านั้น ด้วยความที่เวลาเริ่มเริ่มไม่ตรงกันคือน้องต้องเรียน มีกิจกรรม และอื่นๆอีกเยอะแยะมากมายซึ่งเป็นเรื่องปกติของชีวิตนักศึกษา กว่าน้องจะว่างก็หลัง 3 ทุ่ม แล้วน้องก็จะโทรมา ก็ต้องมุดใต้ผ้าห่มแอบคุยโดยใช้เสียงให้เบาที่สุดในระหว่างที่โดนความกดดันตลอดเวลาจากนายสิบเวรที่เดินวนไปมาเพื่อหาคนผิดไปลงโทษตามวินัยของทหาร มันจึงทำให้เราพูดกับน้องด้วยน้ำเสียงดุไปว่า.....บอกแล้วไงว่าอย่าโทรมาหลัง 3 ทุ่ม เขาให้ปิดไฟนอน เข้าใจมั้ย....น้องตอบเพียงว่า...ขอโทษครับ...และหลังจากวันนั้นน้องก็ไม่ติดต่อเรามาอีกเลย
.....กองร้อยเริ่มมีการแจกจ่ายทหารไปอยู่ตามที่ต่างๆตามความถนัด ซึ่งเราได้ถูงส่งไปอยู่ที่หน่วยตรวจโรคซึ่งเป็นอาคารสถานพยาลเล็กๆในค่ายทหาร ซึ่งตรงกับความสามารถ ตรงกับสิ่งที่เราเรียนจบมา เมื่อไปอยู่ที่นั่นระเบียบข้อบังคับต่างๆเริ่มเบาบางลง เริ่มทำอะไนได้มากขึ้น เราจึงโทรหาน้องเขา และบอกถึงสถานการณ์ความเป็นอยู่ ณ ปัจจุบัน...และน้องก็พูดกับเราว่า...พี่ครับ ผมมีแฟนแล้ว ผมเพิ่งคบกันได้ 1 เดือน ตลอดเวลาที่ผมรอพี่ พี่หนีผมตลอด พี่เป็นคนเลือกที่จะจากผมไปเอง เราเลิกติดต่อกันเถอะครับ ผมไม่รู้สึกอะไรแล้ว...เรารู้สึกเหมือนวิญญาณออกจากร่างอีกครั้ง และสายก็ตัดไป...เราตะโกนบอกเพื่อนที่อยู่ด้วยกัน เมิงไปซื้อเบียร์ซื้อเหล้ามาให้กูกินหน่อย ซื้อมาเยอะๆเลยนะ เอาให้เงินหมดนี่เลย เพื่อนบอก ได้ กูจัดให้ คือเราเป็นคนที่ไม่ดื่มของพวกนี้เลยนั่นเป็นครั้งแรก ดื่มเบียร์ไปทั้งหมด 7 ขวดคนเดียว ท่ามกลางเพื่อนทหารนั่งรายล้อมโดยที่พวกมันไม่กินสักนิด เราเมาจนเอาหน้าพาดไปกับชักโครก อวกออกมาหมดใส้หมดพุง โดนมีเพื่อนคอยหิ้วปีกเข้าออกห้องน้ำ และนั่นเป็นการดื่มครั้งแรกและเมาครั้งแรกในชีวิต และเราก็ไม่ได้คุยกันกับน้องเขาอีกเลย
.....ปลดประจำการทหาร กลับเข้าสู่ชีวิตการทำงานอีกครั้ง แฟนเริ่มมีอาการเปลี่ยนไปจนวันนึงเขาก็ทำให้รู้ความจริงที่ว่าตลอดระยะเวลา 1 ปีที่เราไปเป็นทหารหารอยู่นั้น เขามีอะไรกับคนข้างห้องมาโดยตลอด 1 ปีเต็ม แล้วจะอะไรหละ เรา 2 ก็เลิกกัน ก็อกหักสิ เสียใจ ร้องไห้ งานไม่ทำ เวรไม่รับ ขายเวรออกให้หมด ข้าวปลาไม่กิน เอาแต่ร้องไห้ เสาร์อาทิตย์ต้องหาที่ไป อยู่เฉยๆไม่ได้ เป็นแบบนี้อยู่ 2 เดิอนเต็มๆ และคนแรกที่นึกถึง คือ น้องเขานั่นแหละ
....ในขณะที่ร้องไห้ก็กดเบอร์โทรไปหา...
น้อง : ฮาโหล เป็นอะไร ร้องไห้ทำไม เกิดอะไรขึ้น
เรา : เขาทิ้งเราแล้วเขาไม่อยู่แล้วเขาไปแล้วเขาไม่กลับมาอีกแล้ว ฮือๆๆๆๆๆๆๆๆ
น้อง : ปลอบ บลาๆๆๆๆๆๆ
เรา : มาหาเราหน่อย เราไม่ไหวแล้ว เราอยู่แบบนี้ไม่ได้ ฮือๆๆๆ
น้อง : ไปหาไม่ได้ ต้องเรียน บลาๆๆๆๆๆ งั้นเอาอย่างนี้เธอก็มาหาเราละกัน เสาร์อาทิตย์นี้เราจะกลับบ้านพอดี
เรา : โอเคงั้นเราจะไปหาเธอ
.....จากที่ไม่ได้เจอกันมานานแสนนาน จากที่ไม่ได้คุยกันมานานแสนนาน วันนี้จะเป็นการเจอกันอีกครั้ง ในใจก็รู้สึกละอาย รู้สึกกลัว แต่ก็ต้องหน้าด้านเข้าสู้ แบกหน้าเดินเข้าไปหา เด็กน้อยตัวดำๆ ผอมๆ คางแหลมๆ หน้าเทาๆในวันนั้น วันนี้เข้าดูโตขึ้น มีน้ำมีนวล ขาวขึ้น มีบุคลิกที่เป็นผูใหญ่มากขึ้น และเขาก็ทำให้เรารู้สึกได้ว่า เรื่องที่ผ่านมาทั้งหมดเหมือนมันไม่ได้เกิดขึ้น น้องก็ยังคงคอยดูแลและทำทุกอย่างให้เหมือนครั้งเราเคยคบกันทำทุกอย่างให้เราสบายใจให้เรามีความสุขทั้งที่ขณะนั้นน้องยังมีแฟนและเราเพิ่งโดนทิ้งและตั้งแต่นั้นมาเรากับน้องก็ติดต่อกันมาตลอด โดยเราทั้ง 2 คนก็อาจจะมีหายไปบ้าง อาจจะมีคุยกับคนอื่นบ้าง คบกับคนอื่นบ้าง ทะเลาะกันบ้าง ไปมาหากันบ้าง ไม่ว่าจะที่ไหน เมื่อไหร่ เรา 2 คนก็ไม่เคยขาดกันไปได้เลย โดยที่ไม่รู้ว่าสถานะตอนนี้คืออะไร น้องได้พูดกับเราประโยคนึงว่า...ไม่อยากพูดออกไปว่าให้รอ แต่อยากให้รอนะ...คำนี้คำเดียวที่ทำให้เรารอ ทำให้เรามีความหวัง และความคาดหวัง จากวันแรกที่คุยกันจนถึงวันนี้ก็ 6 ปีกว่าๆละเนาะ
......ปัจจุบันเราได้เข้ามาทำงานใน กทม. และน้องก็เข้ามาเรียนต่อในระดับที่สูงขึ้นใน กทม. เช่นเดียวกัน เราจึงมีโอกาสได้เจอกันบ่อยขึ้น ไปเที่ยว กินข้าว ร้องเพลง ดูหนัง แม้กระทั่งนอนกอดกันใต้ผ้าห่มอันแสนอบอุ่น จากแรกที่ผมเคยละเลย ไม่ค่อยสนใจ ไม่ค่อยเอาใจใส่ ปัจจุบันเราทำทุกอย่างที่เราสามารถทำให้น้องได้ เราดูแลกัน ช่วยเหลือกันในทุกๆอย่าง มีความสุขด้วยกันมาตลอด
......สิ้นเดือนสิงหา ต้นเดือนกันยา 2560 ที่ผ่านมา น้องดูแปลกไป ดูให้ความสำคัญในทุกๆเรื่องกับเรามากขึ้น เราจุงใช้วิชาโคนันจนรู้ว่าน้องเลิกกับแฟน ความหวัง ความคาดหวังของคนรอมันมีกำลังใจขึ้นมาอีกครั้ง เรา 2 คนเป็นแบบนี้อยู่แค่ 2 สัปดาห์ ซึ่งเป็นเวลาที่มีความสุขมากที่สุดอีกครั้ง แล้วน้องก็เปลี่ยนไปในทางตรงกันข้าม เราก็ใช้วิชาโคนันอีกครั้งจนได้รู้ว่าน้องเขาคบคนใหม่แล้ว คุยกันมาเป็นปีแล้ว แล้วไงหละก็เสียใจไงเหมือนอกหักอีกครั้งโดยที่เราไม่ได้เป็นอะไรกัน อาการหนักมาก กินเหล้าทุกวัน ร้องไห้ทุกวัน นั่งทำงานอยู่ก็ร้องไห้ คือสุดๆอะ คือไม่สามารถอธิบายออกมาเป็นคำพูดได้ว่ารู้สึกเสียใจมากขนาดไหน เรา 2 คนจึงคุยเรื่องนี้กันอีกครั้ง
เรา : ที่ผ่านมา คือเราก็ทำทุกอย่างแล้ว เปลี่ยนแปลงตัวเองทุกอย่างแล้ว เธอเห็น เธออรู้ เธอสัมผัสมันได้ เราไม่มีโอกาสเลยใช่มั้ย
น้อง : เราเคยให้เธอไปหมดทั้งใจแล้ว เราให้ไม่ได้อีกแล้ว เธอดีกับเรามากนะ มากจนเรารู้สึกละอายใจ ไม่ต้องรอเรานะ ตอนนี้เราไม่ใช่คนเดิมแล้ว ตอนนี้เรา
เรา : ในเมื่อเราทำทุกอย่างแล้ว แต่ไม่ว่าจะยังไง เธอก็ยังยืนยันคำเดิม งั้นเราไปนะ เราไม่ไหวแล้วจริงๆ
น้อง : อย่าไปได้มั้ย เราอยากมีเธออยู่แบบนี้ไปตลอด อย่าหายไป ถ้าเธอรักเรามากขนาดนั้น ถึงเราจะไม่ได้คบกัน เธอก็เก็บเราไว้ในใจก็ได้นะ ทุกคนย่อมมีคนในใจกันทั้งนั้นแหละเราก็มี แต่ในเมื่อมันเป็นไปไม่ได้ในชีวิตจริงเราก็ต้องเก็บเขาไว้ในใจตลอดไป เธอเข้าใจเรามั้ย
เรา : เราเข้าใจ แต่เรายอมรับความจริงไม่ได้ เราเองที่ทำไม่ได้ เธอเข้าใจเรามั้ย
น้อง : เราเข้าใจเธอนะ แต่เราไม่อยากให้เธอไปไหน เราอย่างให้เรา 2 คนเป็นเหมือนเดิม เราเข้าใจกันและกันแล้วเนาะครับ
เรา : .....................
.......ท้ายที่สุด ณ วันนี้ เรารักเขา เขาไม่ได้รักเรา แต่เราทั้งสองก็ทำทุกอย่างเหมือนคนรักกัน ไม่ว่าจะทรมาน จะเสียใจ จะร้องไห้ขนาดไหน ก็ต้องเก็บไว้ข้างใน และใช้เวลาที่เหลืออยู่ด้วยกันให้มีความสุขก็พอ......
#เรารู้ตัวว่าเราผิด
#เราไม่อยากให้ใครต้องเป็นแบบเรา เราจึงมาประจานตัวเองในนี้ รักษาความรักของคุณไว้ให้ดีๆนะ
#เรื่องราวที่เผยแพร่ อาจจะไม่ใช่ทั้งหมด เป็นแค่บางช่วงบางตอนเท่านั้น
#ปัจจุบัน ณ วันนี้น้องเขาก็คบแฟนใหม่อีกแล้ว
#ส่วนเราหนะหรอ ก็ยังรอนะ ก็ยังคาดหวัง ถึงจะรู้ว่ามันไม่มีทางเป็นไปได้ เกลียดตัวเองจริงๆ
#สุดท้ายนี้อยากจะบอกว่า เรารักเธอนะ