จากที่มี พรบ.ภาษีสรรพสามิต 2560 ตัวใหม่ ที่ว่าด้วยเรื่องยาสูบ นั้น ในส่วนของการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตที่บริษัทจะต้องจ่าย
ให้แก่รัฐบาล และเท่าที่ผมศึกษามาคร่าวๆ ซึ่งจากเดิม เป็นการจัดเก็บโดยคำนวณ เป็นอัตราจากราคาประมาณต้นทุน หรือ
ราคาแจ้งนำเข้า และมาจากการคำนวณแบบคิดเป็นมวน โดยดูว่า แบบไหนที่จ่ายภาษีมากกว่า ให้จ่ายตามนั้น
แต่ใน พรบ ยาสูบ 2560 ใหม่นี้ จัดเก็บโดยใช้วิธีคำนวณจากราคาปลีก ในอัตรา 20% สำหรับราคาที่ไม่เกิน60 บาท และ
40% สำหรับราคาที่เกิน 60 บาท ต่อซอง โดยทั้งนี้ได้กำหนดแบ่งเป็น 2 อัตรา ไว้แค่ประมาณ 2 ปี เพราะหลังจากนั้น
จะจัดเก็บในอัตรา 40% เท่ากันหมด
ซึ่งในกรณีแบบนี้แหล่ะ (จัดเก็บ 2 อัตรา) ทำให้เป็นช่องว่างในการหลบเลี่ยงภาษีได้ โดยบางบริษัทอาจจะเลี่ยงโดยการกำหนด
ราคาปลีกไม่ให้เกิน 60 บาท แต่ยังสามารถทำกำไร ได้ไม่ต่างจาก ราคาที่เกิน 60 บาท แต่รัฐบาลจะต้องสูญเสียรายได้จาก
ภาษีสรรพสามิต ไปเป็นจำนวนไม่น้อย
ลองคำนวณให้ดูนะครับ ราคา 70 บาท จัดเก็บ 40% จะได้ 28 บาท จะเหลือเป็นของบริษัทเบื้องต้น 42 บาท
80 40% 32 48
แต่ลองดูตัวนี้ 60 20% 12 48
* หมายเหตุ จัดทำให้ดูในด้านภาษีสรรพสามิตยาสูบในด้านเดียว ซึ่งยังมีภาษีอื่นๆ ที่จะหักอีก แต่ในที่นี้ไม่ขอกล่าวถึง
จากตัวเลขข้างบน ท่านสังเกตเห็นอะไรกันบ้างไหมครับ ถ้ากำหนดราคา 80 บาท กับ ราคา 60 บาท บริษัทยังได้เท่าเดิม
เพิ่มเติมคือ รัฐบาลสูญเสียภาษี ที่พึงจะได้ ไปถึงซองละ 20 บาท แต่ผลดีคือ คนสูบสูบมากขึ้น เพราะถูกลง บริษัทขายมากขึ้น ซึ่งยัง
ขัดกับหลักการของรัฐบาลคือ อยากรณรงค์ให้สูบน้อยลง ราคาแพงขึ้น
จากที่เกริ่นมาข้างบนทั้งหมดนั้น ตอนนี้มีบริษัทนำเข้าบุหรี่ต่างประเทศชั้นนำ ได้ปรับราคาบุหรี่ให้ถูกลง คือ จากเดิม
ซองละ 72 บาทลดเหลือซองละ 60 บาท (คือราคาสูงสุด ในอัตรา 20%) เพื่อเป็นการหลบเลี่ยงภาษี ซึ่งปรับราคาถูกลงจากเดิม
ถึง 12 บาท แต่ก็ยังมีบุหรี่ของไทยยี่ห้อนึง ที่ปรับลดราคาลงด้วย จาก 63 บาท เหลือ 60 บาท แต่ลดจากเดิมไม่มาก
ซึงก็ไม่รู้ว่า มีเหตุมีผลอะไรรองรับหรือไม่แต่การที่ลดราคาลง ถึงซองละ 10 กว่าบาทนั้น เหตุผลด้านต้นทุนคงน้อยกว่า
********การอาศัยช่องว่างตรงนี้ เพื่อหลบเลี่ยงภาษี เป็นหลัก************
ดูเหมือนว่า ไทยเราจะโดนบริษัทใหญ่ต่างประเทศชั้นนำ อาศัยช่องว่างเพื่อเอาเปรียบเรื่องภาษีสรรพสามิตยาสูบ กันนะครับ
ให้แก่รัฐบาล และเท่าที่ผมศึกษามาคร่าวๆ ซึ่งจากเดิม เป็นการจัดเก็บโดยคำนวณ เป็นอัตราจากราคาประมาณต้นทุน หรือ
ราคาแจ้งนำเข้า และมาจากการคำนวณแบบคิดเป็นมวน โดยดูว่า แบบไหนที่จ่ายภาษีมากกว่า ให้จ่ายตามนั้น
แต่ใน พรบ ยาสูบ 2560 ใหม่นี้ จัดเก็บโดยใช้วิธีคำนวณจากราคาปลีก ในอัตรา 20% สำหรับราคาที่ไม่เกิน60 บาท และ
40% สำหรับราคาที่เกิน 60 บาท ต่อซอง โดยทั้งนี้ได้กำหนดแบ่งเป็น 2 อัตรา ไว้แค่ประมาณ 2 ปี เพราะหลังจากนั้น
จะจัดเก็บในอัตรา 40% เท่ากันหมด
ซึ่งในกรณีแบบนี้แหล่ะ (จัดเก็บ 2 อัตรา) ทำให้เป็นช่องว่างในการหลบเลี่ยงภาษีได้ โดยบางบริษัทอาจจะเลี่ยงโดยการกำหนด
ราคาปลีกไม่ให้เกิน 60 บาท แต่ยังสามารถทำกำไร ได้ไม่ต่างจาก ราคาที่เกิน 60 บาท แต่รัฐบาลจะต้องสูญเสียรายได้จาก
ภาษีสรรพสามิต ไปเป็นจำนวนไม่น้อย
ลองคำนวณให้ดูนะครับ ราคา 70 บาท จัดเก็บ 40% จะได้ 28 บาท จะเหลือเป็นของบริษัทเบื้องต้น 42 บาท
80 40% 32 48
แต่ลองดูตัวนี้ 60 20% 12 48
* หมายเหตุ จัดทำให้ดูในด้านภาษีสรรพสามิตยาสูบในด้านเดียว ซึ่งยังมีภาษีอื่นๆ ที่จะหักอีก แต่ในที่นี้ไม่ขอกล่าวถึง
จากตัวเลขข้างบน ท่านสังเกตเห็นอะไรกันบ้างไหมครับ ถ้ากำหนดราคา 80 บาท กับ ราคา 60 บาท บริษัทยังได้เท่าเดิม
เพิ่มเติมคือ รัฐบาลสูญเสียภาษี ที่พึงจะได้ ไปถึงซองละ 20 บาท แต่ผลดีคือ คนสูบสูบมากขึ้น เพราะถูกลง บริษัทขายมากขึ้น ซึ่งยัง
ขัดกับหลักการของรัฐบาลคือ อยากรณรงค์ให้สูบน้อยลง ราคาแพงขึ้น
จากที่เกริ่นมาข้างบนทั้งหมดนั้น ตอนนี้มีบริษัทนำเข้าบุหรี่ต่างประเทศชั้นนำ ได้ปรับราคาบุหรี่ให้ถูกลง คือ จากเดิม
ซองละ 72 บาทลดเหลือซองละ 60 บาท (คือราคาสูงสุด ในอัตรา 20%) เพื่อเป็นการหลบเลี่ยงภาษี ซึ่งปรับราคาถูกลงจากเดิม
ถึง 12 บาท แต่ก็ยังมีบุหรี่ของไทยยี่ห้อนึง ที่ปรับลดราคาลงด้วย จาก 63 บาท เหลือ 60 บาท แต่ลดจากเดิมไม่มาก
ซึงก็ไม่รู้ว่า มีเหตุมีผลอะไรรองรับหรือไม่แต่การที่ลดราคาลง ถึงซองละ 10 กว่าบาทนั้น เหตุผลด้านต้นทุนคงน้อยกว่า
********การอาศัยช่องว่างตรงนี้ เพื่อหลบเลี่ยงภาษี เป็นหลัก************