สนช.มติเอกฉันท์รับหลักการร่าง พ.ร.ป.ว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ ประธาน กรธ. ระบุให้อาวุธและเครื่องมือสามารถปกป้องตนเองจากการถูกละเมิดศาลได้ พร้อมกลไกให้ศาลรัฐธรรมนูญทำงานได้รวดเร็วมากขึ้น
28 ก.ย. 2560 รายงานข่าวระบุว่าการประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) วันนี้ (28 ก.ย.60)
พรเพชร วิชิตชลชัย ประธาน สนช.ทำหน้าที่ประธานการประชุม โดยมีวาระสำคัญเพื่อพิจารณาร่าง พ.ร.ป.ว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ ที่คณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) เป็นผู้เสนอ
โดยที่ประชุม สนช.มีมติเอกฉันท์รับหลักการร่าง พ.ร.ป.ดังกล่าว ด้วยคะแนน 198 เสียง งดออกเสียง 3 เสียง พร้อมตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญเพื่อพิจารณาร่างกฎหมาย 22 คน กำหนดกรอบการทำงาน 50 วัน แปรญัตติภายใน 7 วัน
มีชัย ฤชุพันธุ์ ประธาน กรธ. ชี้แจงว่า ร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญฉบับนี้เป็นฉบับที่ 7 ที่เสนอต่อ สนช. ในการจัดทำร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้ดำเนินการตามมาตรา 77 อย่างครบถ้วน และส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาพร้อมนำกลับมาปรับปรุงตามข้อติติงของศาลรัฐธรรมนูญ แม้บางเรื่อง กรธ.จะไม่เห็นด้วยกับบางประเด็น แต่ก็ไม่ขัดข้อง เช่น เรื่องการจัดตั้งศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งไม่อยากให้นำมาใส่ไว้ในกฎหมาย กรธ.จึงได้ตัดหมวดนี้ออกไป แต่ส่วนที่ กรธ.ไม่ได้ปรับตามข้อเสนอของศาลรัฐธรรมนูญ คือ การขอให้เติมข้อความว่า ศาลรัฐธรรมนูญมีอำนาจใช้มาตรการชั่วคราวกับองค์กรต่าง ๆ ในประเทศ แต่ กรธ.เห็นว่า หากศาลรัฐธรรมนูญจะลงไปวินิจฉัยเองว่าเรื่องต่าง ๆ ถูกต้องหรือไม่ อาจทำให้เป็นปัญหา เกิดวิกฤติและอันตรายในประเทศได้ เพราะในทางปฏิบัติ ศาลรัฐธรรมนูญจะดำเนินการเหมือนศาลอาญาและศาลแพ่งไม่ได้
“ยืนยันว่าร่างกฎหมายลูกทุกร่างที่เกี่ยวกับองค์กรอิสระ กรธ.ใช้หลักเดียวกัน คือ ผู้ที่มีคุณสมบัติครบถ้วนตามรัฐธรรมนูญให้ดำรงตำแหน่งอยู่ต่อไป ยกเว้นมีเหตุพิเศษอื่น เช่น กรณีของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ที่ให้พ้นจากตำแหน่งทุกคน เนื่องจากต้องเป็นไปตามหลักสากล และ กรธ.ไม่เห็นด้วยที่จะกำหนดว่า เมื่อมีตุลาการศาลรัฐธรรมนูญพ้นจากตำแหน่งกรณีครบวาระ จะไม่ให้มีการสรรหาตุลาการศาลรัฐธรรมนูญใหม่จนกว่าจะมี ส.ส. เพราะเห็นว่าน่าจะไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ อีกทั้งขณะนี้มี สนช.ทำหน้าที่แทน ส.ส.และ ส.ว.อยู่แล้ว แต่หาก สนช.จะปรับเปลี่ยนประเด็นต่าง ๆ ในภายหลัง กรธ.ก็ไม่ขัดข้อง” มีชัย กล่าว
ประธาน กรธ. กล่าวด้วยว่า นอกจากนี้ สาระสำคัญยังกำหนดให้ศาลรัฐธรรมนูญมีหน้าที่หลักในการพิจารณาคดีว่าด้วยความชอบของรัฐธรรมนูญในกฎหมายต่าง ๆ การดูแลองค์กรที่ปฏิบัติหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญว่ามีความขัดแย้งกับรัฐธรรมนูญหรือไม่ ตลอดจนปัญหาคุณสมบัติของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองและหน้าที่ใหม่ของรัฐธรรมนูญปี 2560 คือให้คำปรึกษาข้อสงสัยขององค์กรที่ต้องปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญได้ก่อนที่จะเกิดข้อพิพาทระหว่างองค์กร เพื่อแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นจนบานปลายในอดีต ซึ่งกำหนดให้มีตุลาการ 9 คน มีองค์ประกอบตามที่รัฐธรรมนูญกำหนด โดยต้องมีจำนวนไม่ต่ำกว่า 7 คนทำหน้าที่
ขณะที่
กิตติศักดิ์ รัตนวราหะ สมาชิก สนช. อภิปรายสนับสนุนร่างกฎหมายดังกล่าว เพราะเห็นว่าศาลรัฐธรรมนูญต้องมีอยู่อย่างเข้มแข็งต่อไป เนื่องจากที่ผ่านมา ศาลรัฐธรรมนูญเป็นองค์กรที่ทำให้บ้านเมืองผ่านวิกฤติไปได้ และเชื่อว่าการพิจารณาร่างดังกล่าว ได้พิจารณาเพิ่มเติมอย่างเหมาะสมกับสถานการณ์บ้านเมืองเป็นปัจจุบันอย่างดี
ด้าน
มีชัย กล่าวย้ำต่อที่ประชุม สนช.อีกครั้ง ว่า กรธ.ได้ให้อาวุธและเครื่องมือให้แก่ศาลรัฐธรรมนูญไว้แล้ว โดยศาลรัฐธรรมนูญสามารถปกป้องตนเองจากการถูกละเมิดศาลได้ นอกจากนี้ ยังเขียนกลไกให้ศาลรัฐธรรมนูญทำงานได้รวดเร็วมากขึ้นด้วย
ที่มา :
สำนักข่าวไทย
JJNY : สนช.รับหลักการร่าง พ.ร.ป.ศาล รธน. 'มีชัย' จัดเต็มอาวุธ เครื่องมือ เกราะกันถูกละเมิดศาล
28 ก.ย. 2560 รายงานข่าวระบุว่าการประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) วันนี้ (28 ก.ย.60) พรเพชร วิชิตชลชัย ประธาน สนช.ทำหน้าที่ประธานการประชุม โดยมีวาระสำคัญเพื่อพิจารณาร่าง พ.ร.ป.ว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ ที่คณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) เป็นผู้เสนอ
โดยที่ประชุม สนช.มีมติเอกฉันท์รับหลักการร่าง พ.ร.ป.ดังกล่าว ด้วยคะแนน 198 เสียง งดออกเสียง 3 เสียง พร้อมตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญเพื่อพิจารณาร่างกฎหมาย 22 คน กำหนดกรอบการทำงาน 50 วัน แปรญัตติภายใน 7 วัน
มีชัย ฤชุพันธุ์ ประธาน กรธ. ชี้แจงว่า ร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญฉบับนี้เป็นฉบับที่ 7 ที่เสนอต่อ สนช. ในการจัดทำร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้ดำเนินการตามมาตรา 77 อย่างครบถ้วน และส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาพร้อมนำกลับมาปรับปรุงตามข้อติติงของศาลรัฐธรรมนูญ แม้บางเรื่อง กรธ.จะไม่เห็นด้วยกับบางประเด็น แต่ก็ไม่ขัดข้อง เช่น เรื่องการจัดตั้งศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งไม่อยากให้นำมาใส่ไว้ในกฎหมาย กรธ.จึงได้ตัดหมวดนี้ออกไป แต่ส่วนที่ กรธ.ไม่ได้ปรับตามข้อเสนอของศาลรัฐธรรมนูญ คือ การขอให้เติมข้อความว่า ศาลรัฐธรรมนูญมีอำนาจใช้มาตรการชั่วคราวกับองค์กรต่าง ๆ ในประเทศ แต่ กรธ.เห็นว่า หากศาลรัฐธรรมนูญจะลงไปวินิจฉัยเองว่าเรื่องต่าง ๆ ถูกต้องหรือไม่ อาจทำให้เป็นปัญหา เกิดวิกฤติและอันตรายในประเทศได้ เพราะในทางปฏิบัติ ศาลรัฐธรรมนูญจะดำเนินการเหมือนศาลอาญาและศาลแพ่งไม่ได้
“ยืนยันว่าร่างกฎหมายลูกทุกร่างที่เกี่ยวกับองค์กรอิสระ กรธ.ใช้หลักเดียวกัน คือ ผู้ที่มีคุณสมบัติครบถ้วนตามรัฐธรรมนูญให้ดำรงตำแหน่งอยู่ต่อไป ยกเว้นมีเหตุพิเศษอื่น เช่น กรณีของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ที่ให้พ้นจากตำแหน่งทุกคน เนื่องจากต้องเป็นไปตามหลักสากล และ กรธ.ไม่เห็นด้วยที่จะกำหนดว่า เมื่อมีตุลาการศาลรัฐธรรมนูญพ้นจากตำแหน่งกรณีครบวาระ จะไม่ให้มีการสรรหาตุลาการศาลรัฐธรรมนูญใหม่จนกว่าจะมี ส.ส. เพราะเห็นว่าน่าจะไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ อีกทั้งขณะนี้มี สนช.ทำหน้าที่แทน ส.ส.และ ส.ว.อยู่แล้ว แต่หาก สนช.จะปรับเปลี่ยนประเด็นต่าง ๆ ในภายหลัง กรธ.ก็ไม่ขัดข้อง” มีชัย กล่าว
ประธาน กรธ. กล่าวด้วยว่า นอกจากนี้ สาระสำคัญยังกำหนดให้ศาลรัฐธรรมนูญมีหน้าที่หลักในการพิจารณาคดีว่าด้วยความชอบของรัฐธรรมนูญในกฎหมายต่าง ๆ การดูแลองค์กรที่ปฏิบัติหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญว่ามีความขัดแย้งกับรัฐธรรมนูญหรือไม่ ตลอดจนปัญหาคุณสมบัติของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองและหน้าที่ใหม่ของรัฐธรรมนูญปี 2560 คือให้คำปรึกษาข้อสงสัยขององค์กรที่ต้องปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญได้ก่อนที่จะเกิดข้อพิพาทระหว่างองค์กร เพื่อแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นจนบานปลายในอดีต ซึ่งกำหนดให้มีตุลาการ 9 คน มีองค์ประกอบตามที่รัฐธรรมนูญกำหนด โดยต้องมีจำนวนไม่ต่ำกว่า 7 คนทำหน้าที่
ขณะที่ กิตติศักดิ์ รัตนวราหะ สมาชิก สนช. อภิปรายสนับสนุนร่างกฎหมายดังกล่าว เพราะเห็นว่าศาลรัฐธรรมนูญต้องมีอยู่อย่างเข้มแข็งต่อไป เนื่องจากที่ผ่านมา ศาลรัฐธรรมนูญเป็นองค์กรที่ทำให้บ้านเมืองผ่านวิกฤติไปได้ และเชื่อว่าการพิจารณาร่างดังกล่าว ได้พิจารณาเพิ่มเติมอย่างเหมาะสมกับสถานการณ์บ้านเมืองเป็นปัจจุบันอย่างดี
ด้าน มีชัย กล่าวย้ำต่อที่ประชุม สนช.อีกครั้ง ว่า กรธ.ได้ให้อาวุธและเครื่องมือให้แก่ศาลรัฐธรรมนูญไว้แล้ว โดยศาลรัฐธรรมนูญสามารถปกป้องตนเองจากการถูกละเมิดศาลได้ นอกจากนี้ ยังเขียนกลไกให้ศาลรัฐธรรมนูญทำงานได้รวดเร็วมากขึ้นด้วย
ที่มา : สำนักข่าวไทย