คุ้มสยองขวัญ บทนำ

กระทู้สนทนา



เรื่องนี้เขียนโดยนัก(อยาก)เขียน 2 คน เราเขียนร่วมกัน,เนื้อเรื่องเดียวกัน,พล็อตเดียวกัน แต่สลับกันเขียน จะลงเว้นกันทุกๆ 4-5 วัน ภายใต้นามปากกา... เปลวลิขิต (เปลวอัคคี+ลายลิขิต) นะคะคุณผู้อ่าน

ก่อนถึงเกมถุงมือนักเขียนอันน่าระทึกใจ ข่าวว่ามีถึงสามสิบกว่าท่านเลยทีเดียว ลองมาทายง่ายๆ ดูก่อนดีไหมคะคุณผู้อ่านที่รักว่าใครเขียนประโยคไหน ใครเขียนบทบรรยายไหน ขอบคุณทุกกำลังใจที่มีให้เราสองคนนะคะ^^




คุ้มสยองขวัญ



โดย เปลวลิขิต


บทนำ



“เอ็งเห็นเหมือนข้าเห็นมั๊ย ไอ้มิ่ง”

เสียงชายรูปร่างผอมเอ่ยถามชายหนุ่มอีกคนข้างๆ “เห็น” ชายร่างบึกบึนเอ่ยตอบเบาๆ

สองสหายมองสบตากันในความมืดสลัว ก่อนจะหันไปทางฟากที่พวกเขากำลังเฝ้าจับตาดูอยู่ แสงจันทร์ครึ่งใบยามราตรีอย่างเช่นคืนนี้ ช่วยให้มองเห็นภาพในระยะกว่าสิบเมตรได้แค่เพียงเลาๆ มิ่งกะพริบตาถี่ด้วยท่าทีไม่อยากเชื่อกับสิ่งที่เห็น หน้าอกด้านซ้ายเต้นตุบตับเหมือนหัวใจกำลังสูบฉีดเลือดผิดปกติ เขาเพ่งสายตามองแสงสว่างดวงนั้นเคลื่อนไหวอย่างใจจดใจจ่อ ...ไม่อยากจะเชื่อเลย...

ยิ่งมองยิ่งใจเต้น ดวงไฟไหวโยกเหมือนลอยอยู่บนพื้นสูงเกือบเมตรนั้น ทำให้มิ่งขนลุกซู่ขึ้นมาเฉยๆ มันกำลังเคลื่อนตัวไปข้างหน้า บางครั้งมองเห็นลูกไฟดวงกลมผลุบๆโผล่ๆ ขึ้นลงเป็นบางระยะเหมือนกับมีอะไรมาบังแสงไว้ แปลกมากที่ดวงไฟส่องสว่างดวงนั้นไม่ช่วยให้มองเห็นสิ่งที่พามันลอยได้แต่อย่างใด ถ้ามีคนถือดวงไฟ ชายหนุ่มสองสหายต้องมองเห็นคนถือแล้วอย่างแน่นอน

“ตามข้ามาเลยไอ้มิ่ง” เทิดผู้เป็นเพื่อนสนิทเอ่ยขึ้นก่อนจะแหวกกิ่งไม้ในความมืดนำหน้า

ต้องตามเอ็งไปอยู่แล้ว... มิ่งไม่รอช้า เพราะเขาไม่ปัญญาอ่อนยืนขนลุกซู่ๆ รออยู่ตรงนี้คนเดียวอย่างแน่นอน ชายเสื้อและแขนของเทิดหักปลายกิ่งไม้แห้งดังเปาะแปะนำหน้า มิ่งนึกขอบใจเพื่อนอยู่ในใจที่ช่วยเบิกทางให้เขาตามหลังคล่องตัวขึ้น

“เดี๋ยวๆๆ นั่งลงก่อนเว้ย” เพื่อนผู้นำหน้าหันมาบอกเบาๆ พร้อมกับย่อตัวลง ทำให้มิ่งต้องนั่งยองๆ ลงตาม ดวงไฟที่เห็นข้างหน้าห่างกว่าสิบเมตรดับมืดลงเสียเฉยๆ

“รึนางซ่อนกลิ่นมันจะรู้ว่ามีคนสะกดรอยตามวะเทิด” มิ่งเอ่ยถามอย่างใจคอไม่สู้ดี

“ไม่รู้ซี ข้าก็มองเห็นอย่างที่เอ็งเห็น แล้วเอ็งจะมาถามหาหอกอะไรวะ” นํ้าเสียงหงุดหงิดของคู่หูทำให้มิ่งเงียบไปทันที

เขาพยายามเขม้นมองอีก แต่ก็มองไม่เห็นใครในรัศมีแสงสว่างเลย ถ้าเป็นอย่างนั้น ก็แล้วเจ้าดวงไฟลูกกลมๆ นั้นมันลอยได้อย่างไรกัน ก่อนหน้านี้พวกเขาย่องตามผู้หญิงคนหนึ่งมาตั้งแต่ท้ายหมู่บ้าน ครั้นพอเข้าเขตแนวป่าละเมาะสองข้างทาง อยู่ๆ เงาตะคุ่มของผู้หญิงคนนั้นก็หายไป ปรากฏให้เห็นเป็นแสงสว่างดวงกลมขึ้นมาแทน

หรือว่าร่างผู้หญิงคนนั้นกลับกลายไปเป็นลูกไฟส่องแสงอย่างที่พวกเขาเห็นเมื่อครู่ พอคิดได้อย่างนั้น เส้นขนของมิ่งก็ลุกตั้งชันไปทั้งตัว ก่อนจะนึกไปถึงเรื่องราวในหมู่บ้านที่ผ่านมา

คุ้มริมผา... หมู่บ้านแสนสงบสุขมาแต่ไหนแต่ไรเริ่มมีเหตุการณ์แปลกประหลาดถี่ขึ้นแทบจะทุกวัน แรกๆ ก็เพียงหมู หมา กา ไก่ เป็ด ที่ล้มตายอย่างหาสาเหตุไม่ได้ และหลังจากตายลงก็จะถูกกระซวกกินเครื่องใน โดยทิ้งซากเนื้อสดเอาไว้อย่างไม่แยแส ทั้งๆที่มันน่าจะเป็นอาหารอันโอชะสำหรับตัวปริศนาอะไรสักอย่าง ตัวอะไรซึ่งคนในหมู่บ้านต่างโยนความผิดไปให้ผีสางนางไม้ รวมไปถึงภูตผีปีศาจ และแม้กระทั่งผีปอบ ผีกระสือ

นึกถึงตรงนี้ ไอ้หนุ่มร่างบึกบึนที่ชื่อมิ่งก็สะดุ้งเยือกขึ้น เขานึกไปถึงใบหน้าผีปอบ ผีกระสือ ภาพในหัวปรากฏเป็นใบหน้านวลเนียนของผู้หญิงเจ้าของชื่อซ่อนกลิ่นขึ้นมา เมื่อยามที่เขาเดินสวนทางกับเธอในเวลากลางวัน ...มันเป็นไปได้เหรอ...

“คิดอะไรของเอ็งอยู่วะ ข้าบอกให้ก้มหัวก็ก้มสิวะไอ้มิ่ง” เสียงเอ็ดจากคนข้างๆ ปลุกให้มิ่งรู้สึกตัวอย่างปุบปับ

เสียงแกรกกรากของรองเท้าแตะดังฝ่าผิวลูกรังมาทางพวกเขา ชายหนุ่มสองสหายก้มหน้าลงแทบแนบกับพื้นชนิดที่ไม่ต้องบอกกล่าวกัน เสียงนั้นร่นระยะเข้ามาหาทุกที แต่แล้วก็หยุดเงียบไปในระยะห่างไม่กี่เมตร มิ่งกับเทิดกลั้นหายใจ

อะไรกันนักกันหนา... คราวนี้เป็นเทิดที่นึกหวนไปเห็นซากศพสัตว์เลี้ยงถูกแหวกกินเครื่องในเต็มลานหน้าบ้านตัวเองในเช้าวันหนึ่ง...คืนนี้มันคงไม่ใช่คิวของข้าที่จะถูกแหกอกหรอกนะ... นึกแล้วอยากจะลุกขึ้นประจัญหน้ากันกับนางซ่อนกลิ่นเสียให้รู้แล้วรู้รอด แต่มือหนาจากเพื่อนร่างบึกบึนกดไหล่ของเขาเอาไว้เสียก่อน

“จุ๊ ๆ ๆ” มิ่งแตะนิ้วชี้กับริมฝีปากส่งเสียงเบาๆ พอได้ยินกันสองคน

ลมเย็นยามค่ำคืนพัดวูบหวิว สองสหายขนลุกเกรียว แต่ยังมีสติเพ่งมองเรี่ยพื้นไปยังข้างหน้า ดวงไฟสว่างจ้าปรากฏขึ้นอีกครั้ง คราวนี้ชายหนุ่มทั้งสองได้เห็นคนถือตะเกียงน้ำมันก๊าดสมใจแล้ว ใบหน้านั้นนวลผ่อง ผมยาวสยายคลุมแผ่นหลัง ปากเธอสีแดงระเรื่อ ทว่าแววตาภายใต้เงาไฟหมองลึก และกำลังมองมายังพวกเขาทั้งสองคน  ...นางซ่อนกลิ่น...

นึกว่าจะขาดใจตายเสียแล้ว ถ้าหากค้างคาวตัวหนึ่งไม่ตีปีกบินพรึบขึ้นเสียก่อน ผู้หญิงคนถือตะเกียงน้ำมันก๊าดแหงนมองเงาตะคุ่มบินแวบหายไป หล่อนหันหลังกลับไปตามทางข้างหน้า พร้อมทั้งลากรองเท้าแตะบดหินกรวดลูกรัง เดินยํ่าห่างออกไปอย่างไม่สนใจใยดีกับสิ่งใด มิ่งกับเทิดปล่อยลมระบายออกปากเป็นทางยาว ทั้งสองยันร่างขึ้นค้อมหัวลงต่ำตามไปอย่างไม่ยอมให้คลาดสายตา



มาถึงแนวป่าท้ายหมู่บ้านในที่สุด มิ่งกับเทิดนั่งพิงลงกับโคนต้นตะแบกคนละฝั่ง สายตาสองสหายยังคงจับจ้องอยู่กับร่างผู้หญิงข้างหน้า ที่ตอนนี้กำลังชูตะเกียงมีแก้วครอบยกสูงขึ้น แสงสว่างส่องกระทบใบหน้านวล มองเห็นดวงตาคมลึกกวาดสายตาไปรอบบริเวณ ชายหนุ่มทั้งสองต่างหดตัวลง แล้วตะเกียงดวงนั้นก็มืดวับไป มีเพียงเสียงยํ่าเศษก้อนหินใหญ่น้อยดังกรวบๆ ให้ได้ยิน

“เอ็งเห็นเหมือนข้าไหมเทิด ข้าเห็นนางซ่อนกลิ่นมันเดินเข้าถํ้าว่ะ”

“เห็นสิวะ ไม่อยากเชื่อเลย มันเป็นสาวเป็นแส้แท้ๆ แต่กล้ามาเดินดึกๆ ดื่นๆ คนเดียว แถมยังหายเข้าไปในถํ้าต้องห้ามนี่อีกด้วย” เทิดเอ่ยขึ้นเหมือนกับละเมออยู่คนเดียว

“ตามเข้าไปดูต่อไหม” มิ่งถาม

“ตามพ่องเอ็งสิ...แค่นี้ข้าก็กลัวจนปวดขี้แล้ว ให้ตามมาดูผีปอบเป็นเพื่อนยังไม่พอ จะให้เข้าไปในถ้ำอาถรรพ์นั่นอีก คืนนี้พอแล้วโว้ย กลับบ้านใครบ้านมัน เอ็งดูสิดู ดูผมบนหัวข้าเสียก่อน นี่ข้ากลัวจนขนหัวตั้ง พรุ่งนี้ถ้าผมข้าร่วงหมดหัวเอ็งเป็นโดนเตะแน่ ไป...กลับ”

เงาร่างสองร่างของคนซุ่มมองล่าถอยไปจากที่ตรงนั้นท่ามกลางแสงซีดของจันทร์ครึ่งดวง ละทิ้งปริศนาที่ยังคาใจไว้เพียงแค่ที่ปากถ้ำ มันเป็นปริศนาทั้งตัวโพรงถ้ำลึกลับเองและหญิงสาวคนที่เพิ่งหายตัวเข้าไปในนั้น...


จบตอน.
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่