ระบายประสบการณ์การทำงานในกงสี และชีวิตที่จะเปลี่ยนไป

สวัสดีครับ เพื่อนๆในพันทิพ

ก่อนที่ผมจะเข้าเรื่อง ผมขอเล่าเรื่องชีวิตผมก่อนนะครับ

ผมเป็น 1 ใน พี่น้องของตระกูลนึง ซึ่งจะบอกว่าเป็นพี่ชายคนโตก็ได้ (คือที่บ้านมีพี่ที่โตกว่า แต่เป็นผู้หญิง ซึ่งแต่งงานออกไปละ) และเป็นลูกของลูกชายคนโตอีกที (ธุรกิจที่บ้าน รุ่นผมเป็น Gen 3 ละ ทำมาตั้งแต่รุ่นคุณปู่ เริ่มเป็น Gen 1) พ่อของผมเป็นรุ่นที่ 2 และเป็นคนที่ขยายอาณาจักรของปู่ของผมอีกที ในรุ่น Gen 2 ธุรกิจไปได้ดีมาก (จากที่ได้ยินมา) โดยพ่อผมและคุณอา เป็นแกนหลัก และในครอบครัวพี่น้องของพ่อผม ก็ได้มีการแตก line ธุรกิจ ไปอีกหลายบริษัท (ผมขอเรียก ธุรกิจหลักที่ทำเงินให้ในกงสีมากที่สุด คือ บริษัท A และนอกนั้นเป็น บริษัท B, C และ D ที่เป็นบริษัทในเครือ ไม่ได้สร้างเงินให้กงสีมาก)

แต่แล้ว...ธุรกิจก็มี Cycle ของมัน เมื่อดำเนินการไปได้ด้วยดีมานาน ก็มึจุดที่ร่วงเหมือนกัน ในไม่กี่ปีที่ผ่านมา ซึ่งเป็นช่วงที่ผมใกล้จะเรียนจบพอดี ธุรกิจของกงสีได้ตกต่ำลงอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะ บริษัท A ที่เป็นแกนหลัก เนื่องจากตัวเทรนด์ของตลาดที่คนเริ่มไม่ใช้ในสินค้าของบริษัท A และการตีตลาดจากต่างประเทศ การแข่งขันเรื่องราคาดุเดือดมาก จนบางงานกำไรแทบไม่มี บางงานเริ่มเข้าเนื้อ

หลังจากนั้น 2-3 ปี ตัวผมก็จบจากมหาวิทยาลัย และด้วยความตั้งใจที่อยากจะช่วยงานกงสีเลย ผมจึงไม่ได้ไปทำงานข้างนอก และความฝันที่จะไปเรียนต่อต่างประเทศ ผมจบด้านการบริหารมา จึงได้เข้ามาช่วยดูแลงานต่างๆ แต่บริษัทที่ผมได้ตั้งใจเข้ามาดูแลคือ ตัวบริษัทลูก B C และ D เพราะผมไม่เห็นอนาคตในตัวบริษัท A Cycle มันถึงจุดที่กู้ไม่ได้แล้ว หรือถึงแม้จะกู้ได้ ก็ไม่คุ้ม ทั้งในแง่ลงทุนและกำไรที่จะได้คืนมา

การทำงานในช่วงปีแรก ผมมีความสุขมาก เพราะบริษัทลูกเป็นบริษัทที่พึ่งตั้งใหม่โดยคุณน้าผม บุคลากรส่วนใหญ่เป็นคนรุ่นใหม่ที่พึ่งทำงานได้ไม่นานในองค์กร การแก้ไขและการเปลี่ยนแปลง ยังสามารถทำได้ไม่ยาก ผมได้ใช้วิชาที่เรียนรู้มา วางระบบบริษัทใหม่ มีการจัดประชุมพูดคุยอย่างเป็นระเบียบ ส่งผลให้ยอดขายดีขึ้นเป็นลำดับ แต่แล้วชีวิตของผมก็พลิกผัน...

ในปีถัดมาของการทำงาน ได้มีการเรียกประชุมใหญ่ของฝ่ายกรรมการบริษัททั้งหมด ซึ่งรวมถึงตัวผมเองที่เป็นฝ่ายบริหารของบริษัทลูก การประชุมดำเนินการไปอย่างเคร่งเครียด เนื่องด้วยผลประกอบการที่แย่ลง ของบริษัท A และเป็นเหมือนอู่ข้าวอู่น้ำของกงสี (เดียวจะอธิบายภายหลังว่าทำไมถึงเป็นอู่ข้าวอู่น้ำ) การประชุมจบลงที่ตัวผมโดนย้ายให้ไปทำงานที่บริษัท A และให้ญาติผมที่พึ่งจบมาดูแลแทน

หลังจากที่ได้ยินข้อสรุปที่ตัดสินใจโดยไม่ถามถึงความสมัครใจของผม ตอนนั้นผมพูดไม่ออกไปชั่วขณะ และตัดสินใจแย้งขึ้นมาทันที ว่า ผมขอไม่ทำ เพราะเป็นธุรกิจในรูปแบบที่ผมไม่ชอบ และบรรยากาศต่างๆ ไม่อำนวยให้คนรุ่นใหม่อย่างผมทำ ตรงนี้ต้องบอกก่อนว่า บริษัท A ดำเนินกิจการมายาวนานเกิน 40 ปี เพราะทำมาตั้งแต่รุ่นคุณปู่ ผมพยายามให้เหตุผลต่างๆนาๆ แต่จบลงที่ประโยคเดียวคือ ผมในฐานะพี่ชายคนโต ผมต้องไปทำ

หลังจากนั้นชีวิตผมจากที่เคยราบรื่น พลิกจากหน้ามือเป็นหลังมือทันที บริษัทที่ผมเข้าไปทำ แตกต่างจากที่เคยทำมาหลายชิ้นเชิง ทั้งบุคลากรต่างๆที่อยู่มานาน ทำการร่วมหัวต่อต้าน การวิ่งหางานที่ลำบากเพราะการแข่งขันที่สูง การสร้างระบบที่ไม่ได้รับการร่วมมือใดๆ แต่ที่เป็นปัญหาที่สุดคือ การตัดสินใจที่ผ่านกระบวนการอันยากลำบาก เพราะแต่เดิมที่บริษัทลูก การประชุมจะไม่ผ่านผู้ใหญ่ (กรรมการต่างๆ) แต่จะผ่านคุณน้าและผม การตัดสินใจจึงรวดเร็ว และไม่อ้อมค้อม แต่พอองค์กรใหญ่ มีผลประโยชน์ที่เยอะเข้ามาเกี่ยวข้อง การจะลงมือขยับอะไร จึงเชื่องช้า อีกทั้งมีญาติหลายคนเข้ามาเกี่ยวข้อง ความเกรงใจในองค์กรจึงน้อยลง และเกิดปากเสียงบ่อยๆในการประชุมกัน ถ้าเปรียบเทียบการทำงานในบริษัทลูก ถึงแม้จะทำเงินไม่เยอะเท่าบริษัท A แต่การก้าวหน้าไปได้เร็วกว่าเยอะ และความสนุกที่จะทำต่างกันมาก

แต่จุดที่ผมรับไม่ได้ที่สุด คือผมได้มีการดูรายจ่ายที่หนักเกินจำเป็นในหลายๆอย่าง จึงได้มีการสอบถามทั้งคนในและนอกครอบคัว ในภายหลังจึงมารู้ว่า ที่ต้องเรียกผมกลับเข้ามาทำเพราะรายได้ของบริษัท A เป็นแหล่งสำคัญในการเลี้ยงบุคคลต่างๆในกงสี และตอนนี้ญาติๆผู้ใหญ่หลายคนเริ่มอยากเกษียณหรือไปทำอย่างอื่นกันแล้ว ไม่อยากทำบริษัท A กันเพราะทุกคนรู้ว่าไปไม่รอด แต่ก็ยังต้องรักษาบริษัท A ไว้ ไม่งั้นจะไม่มีเงินให้สมาชิกในครอบครัวใหญ่

ต้องอธิบายเพิ่มเติมครับ ระบบกงสี (ในครอบครัวผมนะ ไม่รู้ที่อื่นเป็นแบบไหน) คือ ระบบที่ใครก็ตามในครอบครัวถ้าทำงานในบริษัท รายได้ทั้งหมดที่หาได้จะรวมเข้าไปในกงสี และจะถูกแบ่งออกมาในรูปแบบเงินเดือนแก่แต่ละคนอีกที และหากใครก็ตามที่ต้องการใช้เงินเพิ่ม เนื่องจากที่ได้จากเงินเดือนไม่พอ สามารถมาเบิกเพิ่มจากกองกลางได้ แต่ระบบนี้มีข้อเสียตรงที่ ความไม่ยุติธรรมจะบังเกิด ถ้าครอบครัวในตระกูลขยายใหญ่ขึ้น เพราะหากมีคนใดคนนึงที่ไม่ทำงานหรือทำงานไม่เท่าคนอื่น ก็สามารถเบิกเงินได้เท่ากันหรือมากกว่าคนอื่นได้ ซึ่งตอนนี้เกิดกับครอบครัวผม เพราะญาติของผม มีหลายคนที่อาศัยกงสีกิน ตัวบุคคลทำงานที่อื่น รายได้ที่ได้เก็บไว้กับตัวเอง แต่รายจ่ายทั้งหมด มาเบิกกับที่บริษัท เช่น ค่าน้ำมัน ค่าอาหาร ค่าเล่าเรียนลูก แม้แต่ซื้อรถส่วนตัวของทั้งตัวเองและภรรยา (ที่ทำงานที่อื่นเช่นกัน) ก็มาเบิกที่กงสีจ่าย

ผมจึงได้ไปเปิดใจกับพ่อของผมที่เป็นหัวหลักของบริษัท ในเรื่องนี้ และเรียกร้องความยุติธรรม เพราะมีญาติคนอื่นที่ทำงานในบริษัท A เช่นกัน ที่ทำงานหนักในการเลี้ยงกงสี แต่ส่วนแบ่งกลับต้องมีการแบ่งให้กับคนอื่น ที่ไม่ได้ทำงานในบริษัท A ซึ่งได้คำตอบอย่างน่าตกใจว่า นี้คือระบบกงสี ถ้าอยากเปลี่ยนให้ไปเปลี่ยนใน Gen ของผม แต่อย่ามาเปลี่ยนตอนที่ Gen นี้ยังอยู่ เพราะเป็นแบบนี้มานานแล้ว เดียวจะมีปัญหากัน

หลังจากนั้นมาสถานการณ์เริ่มแย่ลงเรื่อยๆ พวกญาติผู้ใหญ่ที่ยังทำงานในบริษัท เริ่มจะถดถอยลงจากพลังที่ค่อยๆน้อยลงด้วยอายุ ตัวผมเองหลังจากที่ได้รู้ระบบการทำงานและการแบ่งส่วนแบ่งของผลประโยชน์ที่ไม่เท่าเทียมกัน ทำให้จิดใจที่เคยมีไฟอยากช่วยเริ่มมอดดับลง ผมพยายามที่จะเปิดประเด็นนี้ในที่ประชุม ทุกครั้งที่มีการประชุมภายในครอบครัว แต่โดนปฏิเสธทุกครั้ง จนรู้สึกได้ว่า ญาติบางคนของผมเริ่มไม่คุยกับผม เพราะผมพยายามทำให้สิ่งที่เค้าได้อยู่จะเสียหายไป

จากการพยายามอย่างเต็มที่ แต่ไม่ได้ผล ผมได้ตัดสินใจบางอย่างในชีวิต ที่เปลี่ยนแปลงชีวิตตัวเองอีกครั้ง ผมเริ่มเก็บออมเงินที่ได้มา ทั้งจากการทำงานพิเศษและลงทุนหุ้น ผมได้นำเงินเก็บที่สะสมเรื่อยมา เปิดธุรกิจใหม่ของตนเอง หุ้นกับคนอีก 2 คน โดยที่ไม่ยุ่งกับกงสีเลย เจียดเวลาว่างตอนเลิกงานมาทำงานส่วนตัวนี้

ตอนนี้บริษัทใหม่ของผม อยู่ในช่วงหัดเดิน ก้าวไปข้างหน้าอย่างเล็กๆ แต่อย่างรวดเร็ว ผมถือคตินึงของนักธุรกิจผู้ผมเคารพท่านนึงคือ THINK BIG START SMALL BUT MOVE FAST (คิดใหญ่ เริ่มเล็ก แต่เร็ว) ผมเจอกับอุปสรรคบ้าง แต่สนุกครับ เหนื่อยในสิ่งที่เราอยากทำ ดีกว่าเหนื่อยในสิ่งที่ตนเองไม่ชอบแต่ต้องทำ

ท้ายสุดนี้ ผมขอเป็นกำลังใจให้กับทุกๆคนที่ทำงานในกงสี และเหนื่อยยากกับความไม่เป็นระบบระเบียบภายใน อีกทั้งความไม่ยุติธรรมในองค์กรนะครับ ทุกอย่างมีทางออก และอย่ากลัวที่จะออกมาทำธุรกิจตัวเอง ถ้าเราไม่ก้าวออกมา เราจะไม่พบกับความสำเร็จที่เราใฝ่ฝันครับ

*กระทู้นี้เป็นเรื่องราวที่ผมเขียนไว้ เพื่อเป็นหลักฐานในตัวเอง ที่กล้าก้าวออกมา ทำตามฝันของตนเอง เมื่อใดที่ผมสำเร็จแล้ว ผมจะมาแชร์ประสบการณ์อีกนะครับ คงจะเป็นเรื่องราวตอนที่ผมสำเร็จในธุรกิจบางอย่าง ไม่มากก็น้อย*
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่