ผู้นำที่กลัวการเปลี่ยนแปลง

Case Study: ผู้นำที่กลัวการเปลี่ยนแปลง (1/2)

ผมเชื่อว่าความกลัวการเปลี่ยนแปลงเป็นธรรมชาติอย่างนึงของมนุษย์ โดยเฉพาะการเปลี่ยนแปลงระบบการทำงานให้เป็นระบบใหม่ หลายๆคนดูจะกลัวเป็นพิเศษ คงเพราะความเสี่ยงที่สูงกว่าการเปลี่ยนแปลงด้านอื่นๆ คนที่ชินกับการทำงานแบบเดิมจะเหมือนถูกดึงออกจาก comfort zone ของตัวเอง จนเกิดอาการต่อต้านและแสดงความไม่เห็นด้วยในแบบต่างๆ ซึ่งคนเหล่านั้นมักจะเป็นผู้มีอายุในวัยปลายๆ เด็กรุ่นใหม่อาจจะชินและพร้อมที่จะรับสิ่งใหม่ๆเข้ามามากกว่า วันนี้ผมมีประสบการณ์ส่วนตัวของการตัดสินใจของผู้นำที่กลัวการเปลี่ยนแปลง ที่เข้ามากระทบกับชีวิตของผมอย่างมาก และการตัดสินใจที่ผิดพลาดนี้จะทำให้องค์กรสูญเสียโอกาสต่างๆมากมายมหาศาล อยากจะมาเล่าและแลกเปลี่ยนกันครับ

ก่อนอื่นขออธิบายก่อนครับว่า BIM คืออะไร?
สำหรับผู้ที่ไม่ได้อยู่ในวงการอสังหาริมทรัพย์และออกแบบคงไม่คุ้นกับคำนี้ครับ BIM (Building Information Modeling) (บิม) คือระบบของการสร้าง model โดยการใส่ข้อมูล (information) เข้าไปในทุกๆชิ้นส่วน (element) ที่สร้างขึ้น ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะเป็นตัวบ่งบอกสถานะต่างๆ เช่น ส่วนประกอบ ขนาด วัสดุ ตำแหน่ง ราคา จำนวน ฯลฯ ทำให้การสร้างโมเดล โดยเฉพาะการสร้างสิ่งปลูกสร้าง ง่ายต่อการรวบรวมข้อมูลหรือค้นหาข้อมูล ถ้าเราชี้ไปที่ชิ้นส่วนใดๆ ก็จะมีข้อมูลสำคัญต่างๆที่เกี่ยวข้อง ความแม่นยำและประสิทธิภาพการทำงานจึงสูงขึ้นกว่าการทำแบบเก่ามากๆครับ

นอกจากนี้ระบบ BIM ยังช่วยในการสื่อสารกันระหว่างผู้เกี่ยวข้องต่างๆในโปรเจคให้เป็นภาษาเดียวกัน ในไฟล์เดียวกัน และให้ความสะดวกในการทำงานร่วมกันในทีมอย่างมาก โดยเฉพาะระบบ BIM360 ที่อัพโหลดไฟล์ขึ้น cloud ทำให้ทุกคนสามารถทำงานในไฟล์เดียวกัน ที่ใดก็ได้ เวลาใดก็ได้ กี่คนก็ได้ แม้แต่จะประชุมก็สามารถเห็นmodelไปพร้อมๆกันได้ผ่านcloud ถือเป็น disruptive technology ที่เปลี่ยนการ coordination ให้ทันยุคทันสมัยมากขึ้นเลยทีเดียว

ในด้านการออกแบบ ผู้ออกแบบหรือสถาปนิกก็จะไม่ได้มองเพียง 3-dimension (กว้าง-ยาว-สูง) อีกต่อไปครับ แต่BIM จะเพิ่มอีก2มิติเข้าไป คือ เวลา (4D) และมูลค่า (5D) ทำให้การออกแบบใน BIM สามารถนำ model ที่มีไปวิเคราะห์ในด้านอื่นๆได้ทันทีโดยการกำหนด parameter ต่างๆให้มัน เช่น แสงแดดในแต่ละช่วงวัน ความร้อนเย็นในแต่ละเดือน แรงต้านลมของ structure ที่ใช้ หรือคุมราคาของวัสดุ

เทียบกันกับการออกแบบในสมัยเก่าจะใช้วิธีการเขียนแบบร่าง2D ซึ่งก็ไม่ต่างกับการเขียนในกระดาษถึงแม้จะเขียนด้วยคอมพิวเตอร์ก็ตาม วิธีทำความเข้าใจแบบจึงเป็น2มิติมาโดยตลอด หรือจำเป็นจะต้องใช้โปรแกรม 3D modeling อื่นๆเข้าช่วย ซึ่งนั่นก็หมายถึงการทำงานซ้ำซ้อนที่จะมี errors ต่างๆมากมายตามมา แถมยังขาดข้อมูลสำคัญอื่นๆอีก เลยทำให้ในความเป็นจริงแล้วไม่สามารถใช้ 3D Model นี้ในการสร้างจริง ต้องกลับมาที่แบบร่าง2D อยู่ดี ยิ่งเวลาสื่อสารระหว่างฝ่ายต่างๆ ก็จะเกิดความผิดพลาดได้ง่ายหากไม่ระวัง

จะเห็นได้ว่า BIM เข้ามาเปลี่ยนระบบการทำงานของคนในวงการออกแบบและอสังหาฯให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ลดเวลาทำงาน ลดความผิดพลาด เพิ่มความแม่นยำ และทำให้ทุกฝ่ายเข้าใจตรงกัน แลกเปลี่ยนข้อมูลอย่างรวดเร็วอย่างเห็นได้ชัดเลย ระบบนี้จึงเข้ามาแทนที่ระบบเก่าอย่างรวดเร็วในประเทศที่พัฒนาแล้ว อย่างสหรัฐอเมริกา อังกฤษ เยอรมัน ฝรั่งเศส สแกนดิเนเวีย และสิงคโปร์ ทางรัฐบาลอย่างสิงคโปร์ออกนโยบายว่าทุกสิ่งปลูกสร้างที่ใหญ่กว่า 5,000 ตรม ต้องส่งขออนุญาตก่อสร้างเป็น BIM เท่านั้น ส่วนประเทศอื่นๆก็ค่อยๆปรับเปลี่ยนแบ่งรับแบ่งสู้กันไปครับ

การเปลี่ยนแปลงของระบบการทำงานในบริษัท
ระบบนี้จริงๆก็ไม่ใช่ระบบใหม่อะไร ผมเริ่มใช้มันมาตั้งแต่ปี2006แล้วครับ ตั้งแต่เริ่มเรียนสถาปัตย์ที่สหรัฐอเมริกาก็ถูกบังคับให้ใช้โปรแกรม Revit (เป็นโปรแกรมที่ใช้ระบบ BIM) มาโดยตลอด ในปี2011 ผมได้โอกาสไปทำ internship ที่บริษัทออกแบบโรงพยาบาลแห่งหนึ่งในเมือง Indianapolis รัฐ Indiana ทางบริษัทได้เริ่มใช้ BIM ในการทำงานมาได้เพียงไม่ถึงปี เพื่อนร่วมงานเล่าให้ฟังว่าช่วงแรกๆก็ทำงานกันหนักหน่อย บางโปรเจคก็เกือบไม่ทัน เพราะระบบใหม่มันค่อนข้างยากมาก และขาดคนที่เป็นexpert มาช่วย บริษัทจึงรับ BIM Manager เข้ามาเป็นผู้ดูแลระบบในภายหลัง เมื่อผมเรียนจบปริญญาโทในปี 2012 ก็เริ่มทำงานในบริษัทชื่อดังขนาดใหญ่ที่พึ่งเปลี่ยนนโยบายในการทำโปรเจคที่จะต้องเริ่มจาก BIM ทั้งหมด ทั้งนี้ก็ไม่ใช่เพียงเพราะนโยบายของบริษัทสถาปนิกเพียงอย่างเดียว แต่ทางลูกค้าที่เป็น real estate developer ใหญ่ๆก็เรียกร้องให้ผู้ออกแบบส่งงานเป็น model แบบ BIM เท่านั้น เพราะข้อมูลครบถ้วนและง่ายต่อการทำงานมากกว่าหลายเท่า ในปี2014 ผมได้รับโอกาสมาช่วยออฟฟิศในประเทศไทยที่พึ่งเปิดใหม่สดๆร้อนๆ แต่งานในแถบเอเซียในตอนนั้นยังไม่มีใครสนใจกับการใช้ระบบBIM โดยเฉพาะประเทศจีนที่เน้นแต่แบบร่าง2D หรือที่นักออกแบบจะใช้คำว่า "เขียนแขด" คำว่า "แขด" มาจากโปรแกรมที่ชื่อว่า AutoCAD เมื่อ4ปีที่แล้วคำว่า BIM หรือ Revit ในไทยจึงดูเป็นคำใหม่จากพวก"ฝรั่ง" ที่จะมาเผยแพร่วัฒนธรรมอะไรก็ไม่รู้ ฉันไม่ชอบและไม่สนใจ

จากวันนั้นผ่านมาได้4ปีแล้ว ผมก็ใช้ BIM ของผมต่อไป เพราะจากประสบการณ์11ปีของการใช้งานมันง่ายกว่าสำหรับผม ใครถนัดอย่างอื่นก็ไม่เป็นไร ขอแค่ทำงานสำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดีก็พอ งานส่วนใหญ่โปรแกรม Revit สามารถ export ออกมาเป็น 2D ได้อยู่แล้ว เลยไม่ได้มีปัญหามากมาย และคนในบริษัทหลายคนก็ให้ความสนใจในการใช้โปรแกรมนี้ ผมจึงค่อยๆเริ่ม train เพื่อนร่วมงานในบริษัทมาเรื่อยๆ แต่เนื่องด้วยความยากและซับซ้อนของโปรแกรมจึงทำให้หลายคนยังไม่เป็นเท่าที่ควร ประกอบกับคนที่อยู่ในตำแหน่งผู้นำในองค์กร ไม่พยายามดันให้เกิดขึ้น

แต่แล้วอยู่มาวันหนึ่ง ก็มี director คนใหม่และทีมงาน เข้ามาประจำในออฟฟิศกรุงเทพฯ และมาพร้อมกับความคิดต่อต้านระบบ BIM อย่างเต็มเหนี่ยว เขาเข้ามาด้วย mindset ที่ว่า ผมทำแบบนี้มา30ปี ทำไมผมต้องเปลี่ยนด้วย เขาดึงข้อเสียบางอย่างของระบบใหม่มาพูดต่อต้านและเถียงหัวชนฝา จนต้องมาเดือดร้อนถึงผม ที่จะต้องกลับไปเรียนเขียนแขดและทำโมเดลในโปรแกรมอื่นที่ทีมงานคนอื่นใช้กัน โดยให้เหตุผลว่าผมไม่มึคุณค่ากับบริษัท หากไม่ใช้โปรแกรมที่ทีมของเขาใช้กัน และระบบการทำงานที่เขาใช้มานานนั้นดีที่สุดแล้ว* "อ่าว เห้ย! เดี๋ยวๆๆๆ" ผมคิดในใจ

*(กล่าวคือใช้ Rhino ขึ้น model ใช้ grasshopper คุมระบบ แล้ว export เป็น CAD เขียนเส้น plan, elevation, section แล้ว export เข้า 3dsMax เพื่อ render ใน VRay ฟังดูยุ่งยากไม๊ครับ? ในความเป็นจริงยุ่งกว่านั้นอีกครับเพราะไม่ได้ทำงานแค่คนเดียว คนนึงมีไฟล์เป็นสิบ ทำซัก5คนก็เป็นร้อยไฟล์แล้ว ผมทำใน Revit ทุกอย่างจบในไฟล์เดียว ข้อมูลครบถ้วนและเชื่อมต่อกันทุกอย่าง)

ก็นั่นแหละครับโปรแกรมพวกนี้ผมใช้ไม่เป็นจริงๆ งานเข้าเลยครับ นี่ผมต้องกลับไปทำงานแบบย้อนยุคจริงๆหรอเนี่ย?

เดี๋ยวมาเล่าต่อนะ พักแป๊ป

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่