1 วัน ของคนว่างงาน กับภารกิจตามหาขนมกุฎีจีน

สวัสดี Pantiper ทุกคนครับผม ยิ้ม คนว่างงานคนเดิมเพิ่มเติมคือวันนี้จะพาไปกินขนมอร่อยๆ กัน สำหรับทริปนี้จริงๆ แล้วไม่ได้ตั้งใจเดินทางไปแต่จู่ๆ ก็นึกอยากกินขนมกุฎจีนขึ้นมา สำหรับใครที่นึกภาพไม่ออกว่ามันคือขนมประเภทไหน? ก็ไปลุยพร้อมกันเลยดีกว่าค้าบบ

สืบเนื่องจากกระทู้ที่แล้วผมพาไปเที่ยวตลาดน้อย (https://pantip.com/topic/36899168/comment23) ถ้าใครยังจำได้ที่บริเวณนั้นจะมีโบสถ์กาลหว่าร์สร้างโดยชาวโปรตุเกสนิกายโรมันคาทอลิกซึ่งได้แยกตัวไปจากชุมชนเดิมในย่านกุฎีจีนนี่เองละครับ การเดินทางไปตามชุมชนต่างๆ ในกรุงเทพนี่ทำให้เรามองเห็นร่องรอยของอดีตที่ความแตกต่างทางความเชื่อและศาสนาสามารถอยู่ร่วมกันได้ อย่างย่านตลาดน้อยจะมีทั้งวัดไทย ศาลเจ้าจีน โบสถ์คริสต์ ส่วนย่านกุฎีจีนนี่มีแถมมัสยิดเพิ่มเข้ามาอีก เอาจริงๆ ถือว่าบ้านเรามีความหลากลายทางวัฒนธรรมน่าเดินเที่ยวไม่แพ้เมืองตามแถบยุโรปเลยนะครับ (ถ้าไม่ติดอากาศที่แสนทรมานผิวหนัง) การเดินทางไปวันนั้นไม่ได้ตั้งตัว คิดได้ว่าอยากไปก็ตรงไปเลย ไม่ได้เตรียมกล้องไปถ่ายด้วย ภาพทั้งหมดเลยถ่ายจากไอโฟน 5 เก่าๆ นี่แหละครับ

การเดินทาง
-ของผมเดินทางไปวันเสาร์ด้วยรถยนต์ส่วนตัว สามารถไปจอดไว้ที่อุทยานเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี เสียค่าจอด 20 บาทหรือลองดูแถวๆ โบสถ์ซางตาครู้สก็รู้สึกจะมีที่จอดได้อยู่นะครับ ไม่เสียค่าจอด แต่แนะนำให้ไปวันเสาร์นะครับ ถ้าวันอื่นๆ คิดว่ารถคงแน่นอยู่เหมือนกัน
-รถเมล์ สายที่คุ้นเคยหลักๆ คือ สาย 8, 73 ครับ ลงใต้สะพานเดินข้ามฝากไปนิดนึง ท่านอื่นมีข้อมูลการเดินทางเพิ่มเติมแนะนำกันได้นะครับ
-BTS สามารถลงสถานีสนามกีฬา ต่อรถเมล์สาย 73 หรือจะลงสถานีสะพานตากสินแล้วต่อเรือด่วนเจ้าพระยาไปขึ้นท่าสะพานพุทธก็ได้เหมือนกันครับ

เริ่มเดินทาง
ผมออกจากบ้านประมาณเก้าโมง ถนนเช้าวันหยุดสุดสัปดาห์นี่มันโล่งสบายใจจริงๆ (แต่ถ้าออกมาสายก็ไม่ต่างจากช่วงโมงเร่งด่วนของวันธรรมดา ฉะนั้น ตื่นเช้าสักนิดจิตชื่นบานนะฮะ) มุ่งหน้าตรงไปยังอุทยานเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี หรืออุทยานสมเด็จย่า สถานที่แห่งนี้ถือเป็นย่านที่สมเด็จย่าเติบโตมาครั้งทรงพระเยาว์ โดยรอบมีต้นไม้น้อยใหญ่มองไปทางไหนก็เขียวสบายตาร่มรื่น บริเวณด้านหน้ามีสวนหย่อม และศาลาเล็กๆ ให้คนในชุนชนมาทำกิจกรรมกัน อย่างวันที่ผมไปก็เห็นเด็กน้อยมานั่งวาดรูปกันเต็มเลย มีอากงอาม่ามารำไทเก๊กด้วย ให้ความรู้สึกอบอุ่นดีครับ ภายในจริงๆ จะมีพิพิธภัณฑ์จัดแสดงเกี่ยวกับพระราชประวัติของสมเด็จย่าแต่วันที่ผมไปเขาปิดปรับปรุง มีบ้านจำลองสมัยที่ท่านเคยประทับอยู่ที่นี่ และมีศูนย์ศิลป์ศรีพิพัฒน์ จัดแสดงงานศิลปะหมุนเวียนอยู่ด้วยครับ ตึกรามอาคารชาวบ้านโดยรอบเก่าใหม่สลับกันไปและที่สำคัญผนังปูนโล่งๆ ถูกแต่งแต้มไปด้วยภาพวาดสีสันสดใสจรรโลงใจปะลำปะเหลือ


จากนั้นผมก็ตั้งใจเดินข้ามฝั่งรอดใต้สะพานพระปกเกล้า สะพานพุทธตรงไปย่านกุฎีจีนทันที เอาจริงๆ ย่านนี้มีอะไรให้เดินดูหลายจุดมากๆ ถ้าดูจากแผนที่น่ารักๆ ที่กรมการท่องเที่ยวและศูนย์ออกแบบและพัฒนาเมืองเขาทำเอาไว้ให้ แต่วันนั้นผมไม่ได้ไปคนเดียว คนข้างๆ เจ้าสำอางค์กลัวแดดจวบกับฝนที่เทลงมาช่วงบ่ายแก่ๆ (อีกแล้ว)  ก็เลยไปได้ไม่กี่จุด ผมเดินเลาะเข้าถนนข้างวัดประยูรวงศาวาสวรวิหาร เลี้ยวขวาเลียบโรงเรียนซางตาครู้สศึกษาก็ปะกับโบสถ์หรือวัดซางตาครู้สสวยงามตระหง่านท้าแดดอยู่ริมน้ำเจ้าพระยา โบสถ์แห่งนี้สร้างขึ้นสมัยกรุงธนบุรีเป็นเมืองหลวงของสยาม โดยพระเจ้าตากสินได้พระราชทานที่ดินบริเวณนี้แก่ชาวโปรตุเกสที่ร่วมทำศึกต้านกองทัพพม่ากับพระองค์ คำว่าซางตาครู้ส นี่หมายถึง มหากางเขนศักดิ์สิทธิ์ครับ ตอนแรกนั้นเป็นโบสถ์ไม้แต่ถูกไฟไหม้เลยสร้างและบูรณะเรื่อยมากระทั่งกลายเป็นโบสถ์สไตล์อิตาเลียนอย่างที่เห็นในตอนนี้นั่นเอง และเช่นเคยโบสถ์ปิด อดเข้าไปดูข้างใน ไม่เป็นไรไปต่อ ฮาๆๆ

เดินเลาะเข้าไปในซอยข้างๆ โบสถ์เราก็ได้มาเยือนย่านกะดีจีน หรือกุฎีจีนกันอย่างแท้จริงแล้วครับ ประวัติของย่านนี้จริงๆ มีหลายตำนานเลยครับ ถ้าใครอยากรู้รายละเอียดต้องไปที่นี่เลย พิพิธภัณฑ์บ้านกุฎีจีน พิพิธภัณฑ์เอกชนปากซอยกุฎีจีน 7 ซึ่งเจ้าของนั้นเป็นหนึ่งใน 16 ตระกูลที่สืบเชื้อสายมาจากทหารโปรตุเกส ตัวอาคารเป็นลักษณะบ้านไม้สามชั้น ด้านล่างเป็นคาเฟ่กึ่งไม้กึ่งปูน ต้นไม้เยอะอีกแล้วครับท่าน ร่มรื่นอากาศเย็นสบาย มีอาหารทั้งคาวหวานและเครื่องดื่มให้เติมพลังเพิ่มความสดชื่นสำหรับมื้อเที่ยง พออิ่มได้ที่ก็ลุยต่อ ด้านบนอีกสองชั้นเป็นที่จัดแสดงประวัติความเป็นมาของชุมชนกุฎีจีนแห่งนี้ ที่นี่ทำให้ผมมีความรู้เพิ่มเติมคือ ชาวโปรตุเกสเป็นตะวันตกชาติแรกที่เข้ามาในแผ่นดินของเรา คำว่าฝรั่งมาจากภาษาอาหรับ ขนมไทยที่หวานฉ่ำจำพวกทองหยิบ ทองหยอด ฝอยทอง ขนมหม้อแกง ขนมผิง ลูกชุบ ล้วนมีต้นตำรับมาจากเท้าทองกีบม้า หรือ Marie de Gimard หญิงสาวชาวโปรตุเกส หรือพวกผักผลไม้อย่างพริก ฟักทอง น้อยหน่า น้อยโหน่ง พวกนี้ก็มาจากโปรตุเกส ดูแล้วอยากจะลองไปชิมต้นตำรับที่นู้นเลยครับว่าของเขาจะรสชาติแบบไหน

พอตื่นตะลึกกับประวัติศาสตร์ที่ทำให้ได้ความรู้เพิ่มพูนมากขึ้นแล้วเราก็ไปที่เป้าหมายหลักของผมในวันนี้ครับ ร้านขนมฝรั่ง ธนูสิงห์ ^///^ ต้นตำรับขนมโบราณจากโปรตุเกส เค้กชิ้นแรกของคนไทย อายุกว่า 200 ปี เข้าซอยกุฎีจีน 7 ไปร้านอยู่ซ้ายมือ เป็นบ้านเก่าหลังเล็กๆ ครับ ตัวร้านไม่ได้ใหญ่โตอะไรมากมาย คิดว่าน่าจะเป็นบ้านดั่งเดิมไม่ได้มีการปรับปรุงเพิ่มเติม รับคนได้น่าจะไม่เกิน 10 ที่ กลิ่นขนมหอมอบอวลไปทั่วเลยครับ ผมเข้าไปในร้านแอบงงๆ จริงๆ ไม่รู้ว่าเขายุ่งกันอยู่หรือว่าอะไร แต่เจ้าของร้านทักทายด้วยคำถามว่ารับอะไรค่ะ เราคนไม่เคยมาก็แอบงงนิดนึงครับ เพราะไม่รู้ว่าในร้านมีเมนูอะไรบ้าง ถ้ายิ้มหวานพูดเพราะกว่านี้อีกหน่อยจะเยี่ยมมากๆ เลย ยิ้ม ผมสั่งขนมกุฎจีน 2 ชิ้น ทีนี้เจ้าของร้านก็เริ่มโอเค บอกว่ารอสักครู่เดี๋ยวจะเอาร้อนๆ มาให้นะคะ อ่าาา...ค่อยใจชื้นขึ้นมาหน่อย นั่งรอสักพักขนมก็มาเสริฟ์ หน้าตาอาจจะต่างจากที่หลายๆ คนเคยเห็นตามตลาดทั่วไป แต่ทันทีที่ตักคำแรกเข้าปากนี่ตัวลอยเลยครับทุกคนนนนน คือกรอบนอก นุ่มใน หวานละมุนหอม อุ่นกรุ่นกำลังดี ผมนี่ตากระพริบเคลิ้มสมใจยากเลยครับ เฮ้ออออ! ไม่เสียแรงที่มากินถึงถิ่นจริงๆ สำหรับที่นี่เขายังคงความโบราณอยู่คือ ใช้ส่วนผสมง่ายๆ แค่แป้ง ไข่ น้ำตาล ไม่ใส่ผงฟู ไม่ใช้วัตถุกันเสีย ตีให้เข้ากันจนขึ้นแล้วเอาไปอบ ถ้าแบบดังเดิมก็จะไม่มีหน้า แต่ถ้าอยากมีอะไรเคี้ยวกรุบๆ เขาก็จะใส่ลูกเกด ลูกพลับ ชิ้นฝัก แล้วโรยหน้าด้วยน้ำตาล โอยยย ตายๆ อร่อยมากจริงๆ ร้านเปิด 08.00 - 17.00 น. ใครสนใจไปชิมโลดค้าบบบ พอสมใจอยากฝนก็เทลงมาเป็นอันจบทริปแอบอิ่มท้องกันไป

สำหรับใครที่สนใจอยากลองมาเที่ยวย่านนี้ จริงๆ มีจุดสำคัญอื่นๆ ให้ได้เยี่ยมชมอีกมากมายเลย อย่างอาคารสำนักงานเทศกิจที่เมื่อก่อนเป็นเคยเป็นศาลาว่าการจังหวัดธนบุรี วัดประยูรวงศาวาสวรวิหารที่มีจุดเยี่ยมชมภายในวัดมากมาย ทั้งพระบรมธาตุมหาเจดีย์ซึ่งได้รับรางวัลอนุรักษ์ศิลปสถาปัตยกรรมดีเด่นปี 2553 พระวิหารที่ประดิษฐานพระพุทธนาคพระพุทธรูปสมัยสุโขทัย เขามอ ภูเขาจำลอง วัดกัลยาณมิตรวรมหาวิหาร และมัสยิดบางหลวง มัสยิดเก่าแก่ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 3 ถือเป็นอีกย่านที่น่าสนใจมากๆ เลย วันหยุดหน้าไปจิบน้ำชายามบ่ายกับขนมฝรั่งหอมหวานย่านกุฎีจีนก็เป็นแผนที่ไม่เลวเลยนะครับ
งบประมาณ
ค่าจอดรถ 20 บาท
อาหารกลางวัน 160 บาท
ขนมฝรั่งกุฎีจีนชิ้นเล็ก 2 ชิ้น 40 บาท
เครื่องดื่ม 40 บาท
ค่าเดินทางคร่าวๆ 100 บาท
= 360 บาท/ 2 คน
ปล.ค่าใช้จ่ายคร่าวๆ นะครับ เที่ยวกรุงเทพไม่จำเป็นต้องใช้เงินเยอะถ้าอึดพอ 555+
แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่