ต้องบอกเลยว่า บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ทีมยักษ์ใหญ่แห่งแดนอีสานใต้ของเมืองไทย ได้ติดตลาดฟุตบอลถ้วยสโมสรที่ยิ่งใหญ่ของเอเชียอย่าง เอเอฟซี แชมป์เปี้ยนลีก ไปแล้ว กับศึกยอดทีมแชมป์ทีมอันดับต้นๆ ของลีกฟุตบอลคุณภาพแต่ละประเทศในเอเชียมาปะทะกัน ซึ่งต้องบอกเลยว่าถ้วยนี้มีถ้วยศักดิ์ศรีเทียบเท่า ยูฟ่าแชมป์เปี้ยนลีกของยุโรป
ถึงแม้ในปี 2017 ที่ผ่านมาบุรีรัมย์จะชวดว่าวตั๋วไม่ได้สิทธิ์ไปร่วมแข่งขันถ้วยนี้ไปแบบน่าเสียดาย ด้วยการจบอันดับที่ 4 ของตารางในฤดูกาล 2016 ซึ่งต้องบอกเลยว่าในฤดูกาลนั้นเองบุรีรัมย์ยูไนเต็ดมีการสังคายนาทีมครั้งใหญ่การปรับจูนทีมยังไม่เข้ารูปเข้ารอย รวมไปถึงนักเตะกำลังหลักไม่สมบูรณ์หลายตำแหน่ง ทำให้ฟอร์มเก่งของทีมบุรีรัมย์ตกไปอย่างเห็นได้ชัด และอีกด้วยเหตุผลหนึ่งคือทีมคู่อริตลอดกาลแห่งทางด่วนท่าน้ำนนท์อย่างเมืองทองยูไนเต็ด ฟอร์มร้อนแรงแซงขึ้นมา การเสริมทีมนักเตะทีมในฝันทีมชาติไทยอย่างแข็งแกร่งของเมืองทอง จึงทำให้เมืองทองคว้าตั๋วถ้วยนี้ไปในฐานะแชมป์ไทยลีกฤดูกาล 2016
และเมื่อกลับมาปี 2017 ฤดูกาลนี้เอง ถึงแม้ว่ายังไม่จบฤดูกาล เหลือการแข่งขันอีกเพียง 5 นัด นำเป็นจ่าฝูง 71 แต้ม นำห่างคู่อริอย่างเมืองทองอยู่ 6 แต้ม ก็ตาม
แต่ด้วยศักยภาพของทีมยักษ์ใหญ่ใหญ่บุรีรัมย์ยูไนเต็ด หลายสำนักค่อนข้างฟันธงเอนไปโมเมนตั้มไปทางทีมบุรีรัมย์แล้วว่า ถ้วยแชมป์ไทยลีกจะได้คว้ากลับไปตั้งไว้ที่แกลลอลี่ตู้โชว์ที่แดนอีสานใต้อย่างแน่นอน
เมื่อกลับมองย้อนไปจะเห็นได้ว่า บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด คือ ขาประจำที่มีประสบการณ์ในการลุยศึกถ้วยเอเอฟซีแชมป์เปี้ยนลีกมากที่สุดของสโมสรไทยลีก เกือบทุกปี ตั้งแต่ปี 2012 2013 2014 2015 2016 เป็นความภาคภูมิใจหนึ่งของวงการฟุตบอลไทย ที่ทีมสโมสรตัวแทนจากไทยสามารถมีศักยภาพยืนระยะสู้ทีมลีกชั้นนำได้อย่างต่อเนื่องหลายปีกับถ้วยใบนี้ ซึ่งต้องบอกเลยว่า แต่ละทีมในถ้วยใบนี้ค่อนข้างลงทุนมหาศาลในการซื้อทั้งนักเตะและโค้ชคุณภาพเข้ามาสู่ทีมแทบทั้งนั้น เป็นถ้วยทีมระดับหัวกระทิยอดแชมป์ของแต่ละลีกมาเจอกัน
ด้วยศักยภาพของบุรีรัมย์ยูไนเต็ดที่เติบโตขึ้นทุกปี พัฒนาตั้งแต่รากฐานฟุตบอลเยาวชนไปจนถึงการดันขึ้นไปเล่นชุดใหญ่แบบมืออาชีพ รวมไปถึงเงินหนากระเป๋าหนักสรรหานักเตะต่างชาติพลังแฝงสกิลสูงมาต่อยอดและสามารถปั้นขายไปยังลีกที่สูงกว่าได้ราคางามอย่างชาญฉลาด บริหารจัดการเช่นเดียวกับฟุตบอลสโมสรอาชีพในยุโรป ซึ่งต้องบอกเลยว่าทีมบุรีรัมย์ในอนาคตจะน่ากลัวและแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ มีความพร้อมเกือบทุกด้านเทียบเท่ากับสโมสรยุโรป ทั้งเรื่องสนามสเตเดี้ยม เงินทุน โครงสร้างฟุตบอล ซึ่งต้องบอกเลยว่าไม่มีสโมสรฟุตบอลไหนในเมืองไทยที่ไหนที่จะสามารถเทียบเคียงได้ รวมไปถึงสปอร์นเซอร์ผู้สนับสนุนรายใหญ่ต่างรุมจีบ เป็นแหล่งที่มาของเงินทุนอีกแหล่งที่ช่วยพัฒนาทีม และด้วยแบรนด์บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด เป็นที่รู้จักในวงการฟุตบอลเอเชียมาหลายปีติดต่อกัน ยอมทำให้สปอร์นเซอร์มั่นใจที่จะสนับสนุนบุรีรัมย์ไปด้วย ซึ่งเท่ากับว่าเป็นการเปิดตลาดใหญ่ไปยังเอเชียได้ง่ายเลยก็ว่าได้
ซึ่งแน่นอนว่า บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด มีท่อน้ำเลี้ยงหรือสายป่านเงินทุนที่ทีมสโมสรทีมฟุตบอลในไทยไม่อาจเทียบได้ในระยะยาว ซึ่งรายได้ดังกล่าวยังไม่รวมถึงการขายสินค้าและของที่ระลึกของบุรีรัมย์ในแต่ละปีที่ค่อนข้างทำลายสถิติยอดขายเกือบทุกปี ต้องยอมรับว่าฐานแฟนบอลมีเกือบทั่วประเทศเลยก็ว่าได้ไปที่ไหนก็มักจะเห็นแฟนบอลใส่เสื้อทีมบุรีรัมย์จนชินตากันไปแล้ว และบุรีรัมย์ก็สามารถซื้อนักเตะพรีเมี่ยมราคาแพงได้สบายๆ แน่นอน โดยเฉพาะนักเตะต่างชาติคุณภาพ ต้องยอมรับว่าตัวแปรหรือตัวสร้างความแตกต่างที่สำคัญคือนักเตะต่างชาติ ซึ่งจะเห็นได้ว่าไชนิสซุปเปอร์ลีก ทีมอัครมหาเศรษฐีอย่างกว่างโจวเอเวอร์แกรนด์ ของ เศรษฐีแจ็คหม่า จากจีนมีเงินซื้อนักเตะดังๆ เข้าสู่ทีม และสามารถคว้าแชมป์ถ้วยใบนี้มาได้ สร้างประวัติศาสตร์วงการฟุตบอลจีนที่สโมสรสรจากลีกจีนไม่เคยได้สัมผัสแชมป์ถ้วยใบนี้มาก่อนในรอบหลายปีเลยทีเดียว ซึ่งสโมสรกว่างโจวเอเวอร์แกรนด์ สามารถคว้าแชมป์ได้ 2 สมัย ในปี 2013 และ 2015 ซึ่งเงินทุนก็เป็นตัวแปรสำคัญในการซื้อความสำเร็จได้เช่นกัน
ซึ่งแน่นอนว่าแฟนบอลไทยอาจจะได้เห็นบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ได้แชมป์ถ้วยใบนี้ ก่อนทีมชาติไทยไปบอลโลก เสียอีกแน่นอน
คองกราตูเรชั่น ขอต้อนรับ บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด กลับสู่เอเอฟซีแชมป์เปี้ยนลีก 2018 เส้นทางถ้วยเอเชียอันยิ่งใหญ่ที่คุ้นชิน
ถึงแม้ในปี 2017 ที่ผ่านมาบุรีรัมย์จะชวดว่าวตั๋วไม่ได้สิทธิ์ไปร่วมแข่งขันถ้วยนี้ไปแบบน่าเสียดาย ด้วยการจบอันดับที่ 4 ของตารางในฤดูกาล 2016 ซึ่งต้องบอกเลยว่าในฤดูกาลนั้นเองบุรีรัมย์ยูไนเต็ดมีการสังคายนาทีมครั้งใหญ่การปรับจูนทีมยังไม่เข้ารูปเข้ารอย รวมไปถึงนักเตะกำลังหลักไม่สมบูรณ์หลายตำแหน่ง ทำให้ฟอร์มเก่งของทีมบุรีรัมย์ตกไปอย่างเห็นได้ชัด และอีกด้วยเหตุผลหนึ่งคือทีมคู่อริตลอดกาลแห่งทางด่วนท่าน้ำนนท์อย่างเมืองทองยูไนเต็ด ฟอร์มร้อนแรงแซงขึ้นมา การเสริมทีมนักเตะทีมในฝันทีมชาติไทยอย่างแข็งแกร่งของเมืองทอง จึงทำให้เมืองทองคว้าตั๋วถ้วยนี้ไปในฐานะแชมป์ไทยลีกฤดูกาล 2016
และเมื่อกลับมาปี 2017 ฤดูกาลนี้เอง ถึงแม้ว่ายังไม่จบฤดูกาล เหลือการแข่งขันอีกเพียง 5 นัด นำเป็นจ่าฝูง 71 แต้ม นำห่างคู่อริอย่างเมืองทองอยู่ 6 แต้ม ก็ตาม
แต่ด้วยศักยภาพของทีมยักษ์ใหญ่ใหญ่บุรีรัมย์ยูไนเต็ด หลายสำนักค่อนข้างฟันธงเอนไปโมเมนตั้มไปทางทีมบุรีรัมย์แล้วว่า ถ้วยแชมป์ไทยลีกจะได้คว้ากลับไปตั้งไว้ที่แกลลอลี่ตู้โชว์ที่แดนอีสานใต้อย่างแน่นอน
เมื่อกลับมองย้อนไปจะเห็นได้ว่า บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด คือ ขาประจำที่มีประสบการณ์ในการลุยศึกถ้วยเอเอฟซีแชมป์เปี้ยนลีกมากที่สุดของสโมสรไทยลีก เกือบทุกปี ตั้งแต่ปี 2012 2013 2014 2015 2016 เป็นความภาคภูมิใจหนึ่งของวงการฟุตบอลไทย ที่ทีมสโมสรตัวแทนจากไทยสามารถมีศักยภาพยืนระยะสู้ทีมลีกชั้นนำได้อย่างต่อเนื่องหลายปีกับถ้วยใบนี้ ซึ่งต้องบอกเลยว่า แต่ละทีมในถ้วยใบนี้ค่อนข้างลงทุนมหาศาลในการซื้อทั้งนักเตะและโค้ชคุณภาพเข้ามาสู่ทีมแทบทั้งนั้น เป็นถ้วยทีมระดับหัวกระทิยอดแชมป์ของแต่ละลีกมาเจอกัน
ด้วยศักยภาพของบุรีรัมย์ยูไนเต็ดที่เติบโตขึ้นทุกปี พัฒนาตั้งแต่รากฐานฟุตบอลเยาวชนไปจนถึงการดันขึ้นไปเล่นชุดใหญ่แบบมืออาชีพ รวมไปถึงเงินหนากระเป๋าหนักสรรหานักเตะต่างชาติพลังแฝงสกิลสูงมาต่อยอดและสามารถปั้นขายไปยังลีกที่สูงกว่าได้ราคางามอย่างชาญฉลาด บริหารจัดการเช่นเดียวกับฟุตบอลสโมสรอาชีพในยุโรป ซึ่งต้องบอกเลยว่าทีมบุรีรัมย์ในอนาคตจะน่ากลัวและแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ มีความพร้อมเกือบทุกด้านเทียบเท่ากับสโมสรยุโรป ทั้งเรื่องสนามสเตเดี้ยม เงินทุน โครงสร้างฟุตบอล ซึ่งต้องบอกเลยว่าไม่มีสโมสรฟุตบอลไหนในเมืองไทยที่ไหนที่จะสามารถเทียบเคียงได้ รวมไปถึงสปอร์นเซอร์ผู้สนับสนุนรายใหญ่ต่างรุมจีบ เป็นแหล่งที่มาของเงินทุนอีกแหล่งที่ช่วยพัฒนาทีม และด้วยแบรนด์บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด เป็นที่รู้จักในวงการฟุตบอลเอเชียมาหลายปีติดต่อกัน ยอมทำให้สปอร์นเซอร์มั่นใจที่จะสนับสนุนบุรีรัมย์ไปด้วย ซึ่งเท่ากับว่าเป็นการเปิดตลาดใหญ่ไปยังเอเชียได้ง่ายเลยก็ว่าได้
ซึ่งแน่นอนว่า บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด มีท่อน้ำเลี้ยงหรือสายป่านเงินทุนที่ทีมสโมสรทีมฟุตบอลในไทยไม่อาจเทียบได้ในระยะยาว ซึ่งรายได้ดังกล่าวยังไม่รวมถึงการขายสินค้าและของที่ระลึกของบุรีรัมย์ในแต่ละปีที่ค่อนข้างทำลายสถิติยอดขายเกือบทุกปี ต้องยอมรับว่าฐานแฟนบอลมีเกือบทั่วประเทศเลยก็ว่าได้ไปที่ไหนก็มักจะเห็นแฟนบอลใส่เสื้อทีมบุรีรัมย์จนชินตากันไปแล้ว และบุรีรัมย์ก็สามารถซื้อนักเตะพรีเมี่ยมราคาแพงได้สบายๆ แน่นอน โดยเฉพาะนักเตะต่างชาติคุณภาพ ต้องยอมรับว่าตัวแปรหรือตัวสร้างความแตกต่างที่สำคัญคือนักเตะต่างชาติ ซึ่งจะเห็นได้ว่าไชนิสซุปเปอร์ลีก ทีมอัครมหาเศรษฐีอย่างกว่างโจวเอเวอร์แกรนด์ ของ เศรษฐีแจ็คหม่า จากจีนมีเงินซื้อนักเตะดังๆ เข้าสู่ทีม และสามารถคว้าแชมป์ถ้วยใบนี้มาได้ สร้างประวัติศาสตร์วงการฟุตบอลจีนที่สโมสรสรจากลีกจีนไม่เคยได้สัมผัสแชมป์ถ้วยใบนี้มาก่อนในรอบหลายปีเลยทีเดียว ซึ่งสโมสรกว่างโจวเอเวอร์แกรนด์ สามารถคว้าแชมป์ได้ 2 สมัย ในปี 2013 และ 2015 ซึ่งเงินทุนก็เป็นตัวแปรสำคัญในการซื้อความสำเร็จได้เช่นกัน
ซึ่งแน่นอนว่าแฟนบอลไทยอาจจะได้เห็นบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ได้แชมป์ถ้วยใบนี้ ก่อนทีมชาติไทยไปบอลโลก เสียอีกแน่นอน