“ปลากะพงขาว ราวท้อง จัมโบ้”

กระทู้สนทนา

ถ้าเอ่ยถึง ปลากะพง หลายคนคงรู้จักดี แต่ก็ยังมี อีกหลายคนที่ยังคงไม่ทราบว่า ปลากะพงที่มีเนื้ออร่อยนั้น
ต้องมาจากแหล่งทะเล หรือแหล่งธรรมชาติที่ปลาอาศัยหากิน เช่น บริเวณปากแม่น้ำ ป่าโกงกาง
พื้นที่น้ำกร่อยและพื้นที่ทะเลเต็มตัว
ในตลาดบ้านเรา หรือบนห้างซุปเปอร์มาเก็ต ที่มักมีปลากะพงวางจำหน่าย ล้วนแล้วแต่มาจาก “การเลี้ยง”
ทั้งสิ้น มีการเลี้ยงทั้งบ่อดิน และ ในกระชัง เริ่มตั้งแต่ชายทะเลบางขุนเทียนไล่ไปจนถึงมหาชัย เลยไปถึงนราธิวาส
ล้วนแล้วแต่มีเกษตรกรที่มีอาขีพเลี้ยง ปลาเก๋า ปลากะพงขาว แทบทุกพื้นที่
แถบบางประกง จนถึงตราด ก็มีปริมาณบ่อเลี้ยง จำนวนมหาศาล ปริมาณปลาที่จับส่งมีวันละหลายสิบตัน
มีทั้งจับแบบเป็นๆมีชีวิต และการจับตายน๊อคน้ำแข็ง  เกษตรกรมักจะเลี้ยงปลาให้ได้ขนาดน้ำหนัก 7ขีดจนถึง1โล
ราคาปลามีชีวิตขนาด7 - 8 ขีด จะมีราคาขายที่ดีกว่า ปลาที่มีขนาดกิโล เพราะเป็นที่นิยมของร้านอาหาร
ปลาตาย ก็จะมีราคาถูกกว่าปลาเป็น จะถูกวางขายในตลาด ให้เราได้ซื้อมาปรุงกิน
เกษตรกรใช้เวลาการเลี้ยงต่างกันไปแล้วแต่ความชำนาญ โดยเริ่มตั้งแต่ซื้อลูกปลาจากแหล่งเพาะพันธ์ลูกปลาขาย
มีขนาดตั้งแต่ใบมะขาม ไปจนถึง 8-9 นิ้ว ปลากะพงถือเป็นสัตว์นักล่า แต่เมื่อมาอยู่ในบ่อหรือฟาร์ม พฤติกรรมจะเปลื่ยนไป
อาหารเม็ดต่างๆถูกสร้างมาเพื่อให้เป็นอาหารของปลาเลี้ยง บ้างก็นิยมซื้อปลาสด ปลาเหยื่อให้เป็นอาหาร
ปลากะพงจึงมีกลิ่นเฉพาะ และกลิ่นที่เนื้อ แตกต่างกันไป ตามท้องที่ และอาหารที่ได้รับ รวมถึงสภาพน้ำนท้องที่นั้นๆ
มีส่วนสำคัญที่ทำให้ กลิ่นของปลา มีกลิ่นสาป หรือกลิ่นโคลน
เรียกได้ว่าพอซื้อปลากะพงมาทอดหรือแกง ครั้นพอได้กลิ่น ก็แทบจะไม่อยากกิน
ปลากะพงมีหนังที่อ่อนนุ่ม และกลิ่นที่เกิดมักเกิดที่หนังของปลา ปลาชนิดนี้มีเมือกที่มีกลิ่นคาว
หากล้างไม่สะอาด มีเมือกค้างก็ทำให้มีกลิ่นปะปนกับอาหารที่ปรุง
ยิ่งเจอปลาไม่สดเข้าไปด้วยยิ่งแล้วใหญ่ คาวรับไม่ไหวจริงๆ
ทางที่ดีควรเลือกปลาสดใหม่ ตาใสแวว ลำตัวแข็ง เหงือกแดงสด ก็จะเบาใจในเรื่องกลิ่นได้บ้าง
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่