เรื่องมีอยู่ว่า.....
มีชายสองคน เข้ามาทำงานในบริษัทด้วยเหตุผลเดียวกัน เพราะชื่นชมเจ้าของบริษัทที่เป็นอภิมหาเศรษฐีที่ยังหนุ่ม
หลังจากทำงานอย่างหนัก และด้วยความมุมานะ นาย A ซึ่งเป็นคนทะเยอทะยาน ก็ขึ้นสู่ต่ำแหน่งสูงจนเป็นคนสนิทของเจ้านาย
นาย B ซึ่งเป็นคนขยัน และมีความตั้งใจ มองโลกในแง่ดี ก็ขึ้นสู่ตำแหน่ง เป็นคนสนิทของเจ้านายเช่นกัน
วันหนึ่ง หลังจากทั้งสามคนรับประทานอาหารข้างนอกด้วยกัน และกำลังกลับที่ทำงาน รถที่ทั้งสามนั่งมาเกิดอุบัติเหต ทั้งสามคนบาดเจ็บกันไม่น้อย แต่ไม่ถึงกับสาหัส
"ดีแล้ว" เจ้านายพูดออกมาคำเดียว ทั้งสองได้ฟังดังนั้นก็ไม่ได้พูดอะไร
เมื่อทั้งสองทำงานไปสักพัก บริษัทเจริญก้าวหน้าไปอย่างมาก ล้วนแล้วแต่เพราะความสามารถของทีมบริหารใหม่ แต่วันหนึ่ง ก็มีเหตุการณ์เกิดขึ้น
โปรเจคต์ใหญ่ที่ทั้งหมดต่างทุ่มเทกันมา เกิดข้อผิดพลาด ล้มพังไม่เป็นท่า บริษัทเสียหายหนัก จนมูลค่าของบริษัทลดลงไปครึ่งหนึ่ง
นายใหญ่เห็นดังนั้น ก็พูดเพียงคำว่า "ดีแล้ว"
นาย A เริ่มรู้สึกไม่ชอบการกระทำของเจ้านาย ในขณะที่นาย B เริ่มสงสัยคำพูดของเจ้านาย
หลังจากโปรเจคต์พังไม่เป็นท่า บรรดาบริษัทและคู่ค้า ที่ได้รับผลกระทบ ได้ทำการฟ้องร้องให้บริษัทชดใช้ค่าเสียหาย ซึ่งมูลค่านั้น ถึงขั้นทำให้บริษัทล้มละลายได้
เจ้านายพูดอีกเช่นเดิมว่า "ดีแล้ว"
นาย A ทนไม่ไหวกับการกระทำของเจ้านายและสถานการณ์ จึงลาออกจากบริษัท และไปทำงานบริษัทอื่น โดยแทบจะเริ่มใหม่ทั้งหมด เพราะมีตราว่า โปรเจคต์ใหม่ล้มเหลวคามือ
ในขณะที่นาย B ยังคงทำงานอยู่ที่เดิม ด้วยความสงสัยในคำพูดของเจ้านาย จึงเอ่ยปากถาม
"ทำไมทุกครั้ง ที่เกิดเรื่องร้ายๆ ถึงพูดว่า ดีแล้วล่ะครับ"
เจ้านายหนุ่มมองหน้าเขาและยิ้ม ตอบว่า
"ไม่ใช่เรื่องร้ายๆ หรอก เรื่องดีต่างหาก" และเขาก็อธิบายต่อไปว่า
"ตอนพวกเราประสบอุบัติเหตุ ก็ดีแล้ว ที่ไม่บาดเจ็บสาหัส ยังมีชีวิต ฟื้นฟูร่างกาย ฟื้นฟูตัวเองได้"
"ตอนที่โปรเจคต์ล้มเหลว มันดีเพราะว่า เจอข้อผิดพลาดหนักขนาดนี้ ดีกว่าไปเจอตอนที่มันทำไปไกลกว่านี้ เราได้รู้จุดอ่อน ข้อผิดพลาด เพื่อจะได้ไม่ทำอีก"
"ตอนที่บริษัทโดนฟ้อง เพราะมันเป็นช่วงวัดใจ และวัดความสามารถ ว่าทุกคนในบริษัท จะข้ามความลำบากตรงนี้ไปได้หรือไม่ คนที่คิดว่าทำไม่ได้ หรือทนไม่ไหว ก็จะออกไป คนที่ทำได้ ก็จะอยู่แล้วผ่านมันไปได้"
หลังจากนั้นไม่นาน บริษัทก็ได้ทำการประนอมหนี้ เคลียร์ปัญหาทุกอย่าง แล้วเจริญรุ่งโรจน์ยิ่งกว่าเดิม แม้ว่าคนเก่งๆ อย่างนาย A ลาออกจากบริษัทไป ก็
"ดีแล้ว"
นี่คือชีวิตของคนเราครับ มันมีเพียงสิ่งที่เกิดขึ้นมาทั้งนั้น การที่ว่าสิ่งนั้นดี หรือสิ่งนั้นไม่ดี ตัวคนนั่นเองที่เป็นคนตัดสินความให้สิ่งต่างๆ
ถ้าเรามองมันในแง่ไม่ดี เราก็จะส่ายหน้าหนี และมองข้ามสิ่งต่างๆ มากมาย
การมองว่ามันดี จะทำให้เรามองมันอย่างละเอียดอ่อน และเรียนรู้กับมันได้ และตรงนี้นี่เอง ที่จะทำให้เราก้าวไปสู่หนทางที่ต้องการ
เราทำไม่ได้หรอก ก็ "ดีแล้ว" เพราะนั่นบ่งบอกว่า คุณใส่ข้อจำกัดให้ตัวเอง มันคือโซ่ที่ล่ามตัวเองไว้ และตอนนี้ ดี เพราะว่าคุณรู้ตัวแล้ว
เรื่องของชายสองคน
มีชายสองคน เข้ามาทำงานในบริษัทด้วยเหตุผลเดียวกัน เพราะชื่นชมเจ้าของบริษัทที่เป็นอภิมหาเศรษฐีที่ยังหนุ่ม
หลังจากทำงานอย่างหนัก และด้วยความมุมานะ นาย A ซึ่งเป็นคนทะเยอทะยาน ก็ขึ้นสู่ต่ำแหน่งสูงจนเป็นคนสนิทของเจ้านาย
นาย B ซึ่งเป็นคนขยัน และมีความตั้งใจ มองโลกในแง่ดี ก็ขึ้นสู่ตำแหน่ง เป็นคนสนิทของเจ้านายเช่นกัน
วันหนึ่ง หลังจากทั้งสามคนรับประทานอาหารข้างนอกด้วยกัน และกำลังกลับที่ทำงาน รถที่ทั้งสามนั่งมาเกิดอุบัติเหต ทั้งสามคนบาดเจ็บกันไม่น้อย แต่ไม่ถึงกับสาหัส
"ดีแล้ว" เจ้านายพูดออกมาคำเดียว ทั้งสองได้ฟังดังนั้นก็ไม่ได้พูดอะไร
เมื่อทั้งสองทำงานไปสักพัก บริษัทเจริญก้าวหน้าไปอย่างมาก ล้วนแล้วแต่เพราะความสามารถของทีมบริหารใหม่ แต่วันหนึ่ง ก็มีเหตุการณ์เกิดขึ้น
โปรเจคต์ใหญ่ที่ทั้งหมดต่างทุ่มเทกันมา เกิดข้อผิดพลาด ล้มพังไม่เป็นท่า บริษัทเสียหายหนัก จนมูลค่าของบริษัทลดลงไปครึ่งหนึ่ง
นายใหญ่เห็นดังนั้น ก็พูดเพียงคำว่า "ดีแล้ว"
นาย A เริ่มรู้สึกไม่ชอบการกระทำของเจ้านาย ในขณะที่นาย B เริ่มสงสัยคำพูดของเจ้านาย
หลังจากโปรเจคต์พังไม่เป็นท่า บรรดาบริษัทและคู่ค้า ที่ได้รับผลกระทบ ได้ทำการฟ้องร้องให้บริษัทชดใช้ค่าเสียหาย ซึ่งมูลค่านั้น ถึงขั้นทำให้บริษัทล้มละลายได้
เจ้านายพูดอีกเช่นเดิมว่า "ดีแล้ว"
นาย A ทนไม่ไหวกับการกระทำของเจ้านายและสถานการณ์ จึงลาออกจากบริษัท และไปทำงานบริษัทอื่น โดยแทบจะเริ่มใหม่ทั้งหมด เพราะมีตราว่า โปรเจคต์ใหม่ล้มเหลวคามือ
ในขณะที่นาย B ยังคงทำงานอยู่ที่เดิม ด้วยความสงสัยในคำพูดของเจ้านาย จึงเอ่ยปากถาม
"ทำไมทุกครั้ง ที่เกิดเรื่องร้ายๆ ถึงพูดว่า ดีแล้วล่ะครับ"
เจ้านายหนุ่มมองหน้าเขาและยิ้ม ตอบว่า
"ไม่ใช่เรื่องร้ายๆ หรอก เรื่องดีต่างหาก" และเขาก็อธิบายต่อไปว่า
"ตอนพวกเราประสบอุบัติเหตุ ก็ดีแล้ว ที่ไม่บาดเจ็บสาหัส ยังมีชีวิต ฟื้นฟูร่างกาย ฟื้นฟูตัวเองได้"
"ตอนที่โปรเจคต์ล้มเหลว มันดีเพราะว่า เจอข้อผิดพลาดหนักขนาดนี้ ดีกว่าไปเจอตอนที่มันทำไปไกลกว่านี้ เราได้รู้จุดอ่อน ข้อผิดพลาด เพื่อจะได้ไม่ทำอีก"
"ตอนที่บริษัทโดนฟ้อง เพราะมันเป็นช่วงวัดใจ และวัดความสามารถ ว่าทุกคนในบริษัท จะข้ามความลำบากตรงนี้ไปได้หรือไม่ คนที่คิดว่าทำไม่ได้ หรือทนไม่ไหว ก็จะออกไป คนที่ทำได้ ก็จะอยู่แล้วผ่านมันไปได้"
หลังจากนั้นไม่นาน บริษัทก็ได้ทำการประนอมหนี้ เคลียร์ปัญหาทุกอย่าง แล้วเจริญรุ่งโรจน์ยิ่งกว่าเดิม แม้ว่าคนเก่งๆ อย่างนาย A ลาออกจากบริษัทไป ก็
"ดีแล้ว"
นี่คือชีวิตของคนเราครับ มันมีเพียงสิ่งที่เกิดขึ้นมาทั้งนั้น การที่ว่าสิ่งนั้นดี หรือสิ่งนั้นไม่ดี ตัวคนนั่นเองที่เป็นคนตัดสินความให้สิ่งต่างๆ
ถ้าเรามองมันในแง่ไม่ดี เราก็จะส่ายหน้าหนี และมองข้ามสิ่งต่างๆ มากมาย
การมองว่ามันดี จะทำให้เรามองมันอย่างละเอียดอ่อน และเรียนรู้กับมันได้ และตรงนี้นี่เอง ที่จะทำให้เราก้าวไปสู่หนทางที่ต้องการ
เราทำไม่ได้หรอก ก็ "ดีแล้ว" เพราะนั่นบ่งบอกว่า คุณใส่ข้อจำกัดให้ตัวเอง มันคือโซ่ที่ล่ามตัวเองไว้ และตอนนี้ ดี เพราะว่าคุณรู้ตัวแล้ว