"ปลายทาง" เรื่องสั้นจากเสี้ยวชีวิตเพื่อนบ้าน

ปลายทาง

    เสียงเครื่องเล่นวีซีดีรายการตลกจากคณะหมอลำยอดนิยมดังก้องรถโดยสารประจำทางสีส้มกลางเก่ากลางใหม่ ปนไปกับเสียงหัวเราะของผู้โดยสารที่ส่วนใหญ่มักมุ่งหน้าเข้าตัวจังหวัด หญิงสาวร่างเล็กสวมเสื้อสีขาว กางเกงสีน้ำตาล เกือบจะเป็นคนเดียวที่ไม่ได้สนใจภาพบนจอนั้น เธอนั่งนิ่งอยู่ที่เบาะติดทางเดินค่อนไปทางท้ายรถ และเหม่อมองไปนอกหน้าต่างด้วยดวงตาโศกสร้อย ต่อเมื่อกระเป๋ารถเดินมาถึง เธอจึงหยิบเงินส่งให้

     รถชะลอความเร็วเมื่อถึงสี่แยกใหญ่ก่อนจะเลี้ยวขวาเข้าตัวจังหวัด

         “กระโทก…กระโทก” คนขับตะโกน

        ผู้โดยสารสี่ห้าคนลุกขึ้น  ทยอยกันออกมาตามทางเดิน แม่เฒ่าคนหนึ่งจูงเด็กชายฝาแฝดอายุราวสองขวบเนื้อตัวมอมแมม เดินรั้งท้ายเตรียมลงประตูหลัง คนหนึ่งตั้งท่าร้องไห้เพราะเพิ่งตื่นนอน นางจึงก้มลงไปอุ้มขึ้นมา ทำให้อีกคนรบเร้าบ้าง ขณะที่กระเป๋ารถร้องเตือน

         “เร็วๆ หน่อย แม่ใหญ่”

          แม่เฒ่าค่อยเคลื่อนผ่านทางเดินแคบๆ นั้นไปอย่างยากเย็น หลังของเด็กน้อยที่อยู่บนสะเอวของนางเบียดมาถูกใบหน้าของหญิงสาวเสื้อขาว เจ้าหนูหันขวับ ตาแป๋วนั้นจ้องเธออย่างไร้เดียงสา เสียงกระเป๋ารถพูดคุยกับแม่เฒ่าก่อนจะลง ได้ความว่านางจะไปรับยาที่โรงพยาบาล แต่ไม่มีคนดูหลาน จึงต้องพามาด้วย

            หญิงสาวเสื้อขาวลอบถอนใจ น้ำตารื้นขึ้นมาจนขอบตาร้อนผ่าว ภาพลูกชายวัยหกขวบ และลูกสาวที่ยังไม่เต็มสามขวบซ้อนขึ้นมาแจ่มชัด

         “แม่ เย็นนี้กินข้าวบ้านไหม”

          ลูกชายเดินเข้ามาหาก่อนที่เธอจะออกจากบ้านเมื่อเช้านี้ เธอลูบหัวเขา บอกว่าอาจต้องทำงานต่อตอนค่ำ

          “นายกินก่อนเถอะ”
      
          เธอเมินประตูห้องนอนที่เปิดอ้า พ่อของเขายังไม่ตื่นเพราะเมื่อคืนกลับมายามดึกด้วยสภาพเมามาย กลิ่นแอลกอฮอล์ปะปนกับอาหารบางอย่างชวนให้นึกรังเกียจ ทำให้เธอไม่อาจข่มตาหลับได้อีกจนใกล้รุ่ง

          “ผัวมันรักเหล้ามากกว่า”

            แม่เคยพูดกับเธอในวันที่พาลูกๆ เข้าไปเยี่ยมในบ้านกลางทุ่งคราวหลังสุด เธอสิ้นคำโต้ตอบ ที่แต่งงานอยู่กินกันก็เพราะเธอเลือกเขาเองตั้งแต่อายุยังไม่ถึงยี่สิบ

            “ถ้าเชื่อแม่แต่แรก ก็ไม่ต้องมานั่งน้ำตาเช็ดหัวเข่าอย่างนี้หรอก เดือนเอ๋ย”

            เธอมองไร่มันสำปะหลังริมทางอย่างแปลบใจ ปู่กับย่าของเด็กๆ มีไร่เกือบยี่สิบไร่นาอีกผืนใหญ่ แต่ลูกชายคนเล็กคือคู่ชีวิตของเธอกลับไม่สนใจแบ่งเบาภาระพ่อแม่เท่าที่ควรจะเป็น รถบรรทุกเล็กที่ปู่ซื้อไว้ เขาใช้มันแทบนับครั้งได้ราวกับประชดประชันตัวเองที่มีอาชีพต่างไปจากพี่ชายอีกสองคน

            “กูมันหมาหัวเน่า ไม่เหมือนไอ้พวกมีเงินเดือนกิน”

             แล้วเขาก็ขลุกอยู่กับเหล้ายา ไก่ชน และออกหาปูปลาบ้างตามแต่ใจนึก ปล่อยให้เธอทำงานเข้ากะในนิคมอุตสาหกรรมซึ่งห่างจากบ้านร่วมห้าสิบกิโล ลูกชายและลูกสาวที่เกิดมาจึงแทบจะกินนอนอยู่กับปู่ย่า และไม่ร้องหาแม่เลย

             รถชะลอความเร็วอีกครั้งเพื่อจอดรับผู้โดยสารข้างทาง เหลืออีกสิบกิโลก็จะถึงตัวเมืองแล้ว

             “จะคอยตรงร้านข้าวแกงข้างบอขอสอใหม่นะ”

             ผู้ชายอีกคนที่เข้ามาในชีวิตอย่างไม่นึกฝันกระซิบบอกเธอเย็นวานนี้ เขาเป็นม่าย เมียตาย ไม่มีลูก แล้วก็มาสนใจเธอไปทุกย่างก้าวตั้งแต่ย้ายเข้ามาอยู่แผนกเดียวกันในโรงงานแห่งนั้นเมื่อสามสี่เดือนก่อน โดยเฉพาะเมื่อรู้เรื่องครอบครัวของเธอ

               “ไปเช่าห้องหางานอยู่ในกรุงเทพฯเถอะ เดือนยังสาว แล้วก็ทำงานเก่ง” ผู้ชายคนที่สองที่บอกรักเธอเอ่ยเว้าวอน ขณะเสียงตะคอกซึ่งเธอไม่อาจลืมก็หวนกลับมาก้องในหู

                 “ไม่อยากได้ผัวขี้เมาก้อไปหาเอาใหม่ซี้—ไป๊”

            คำประชดยามมึนเมาจากผู้ชายที่เธอเคยมอบชีวิตให้ด้วยความรักช่างทิ่มแทงใจและฝังลึกจนรู้สึกปวดหน่วงในอก สำนึกของความเป็นเมียและแม่ที่คลอนแคลนอยู่แล้ว เหลือเพียงเลือนราง เมื่อเขาใช้ฝ่ามือฟาดมาที่ใบหน้าของเธอคราวที่ทะเลาะกันต่อหน้าลูกหลายวันก่อน


(ยังมีต่อกรอบล่าง)
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่