[CR] TGTvacation พาตะลุยโมร็อคโค #ตอนที่ 1

สวัสดีครับทุกท่าน ขอพาทุกท่านไปตะลุยประเทศโมร็อคโค สถานที่ในฝันและสร้างบันดาลใจของใครหลายๆ คน ที่อยากจะไปเยี่ยมชมและสัมผัสบรรยากาศเองจริงๆ สักครั้งในชีวิต สำหรับตัวผมเองเเล้ว ในฐานะที่เป็นสถาปนิกและคนที่ชื่นชอบภาพยนตร์หลากหลายเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นหนังเก่าสุดโรแมนติกอย่าง Casablanca หรือหนังบู๊สมัยใหม่อย่าง Mission Impossible ตลอดซีรีย์สุดล้ำจินตนาการอย่างเรื่อง Game of Throne โมร็อคโคเองนั้นถือเป็นสถานที่สำคัญๆ ในการถ่ายทำ และยังเป็นสถานที่สร้างแรงบันดาลใจให้หลายๆ คนบนโลกในการสร้างสรรค์ผลงานออกมา และมันคงไม่แปลกเลย ที่สถานที่นี้จะทำให้ตัวผมเองสนใจที่จะเดินทางไปในดินแดนมหัศจรรย์แห่งนี้ เเล้วจะช้าอยู่ไย ไปกันเลยครับ


สำหรับในการเดินทางครั้งนี้ เราได้มีโอกาสได้ศึกษาสถานที่ในโมร็อคโคอย่างจริงจัง หาเพื่อนร่วมทาง
เตรียมตัวและวางแผนในการเดินทางเกือบปี ซึ่งแน่นอนว่าในระยะเวลา 11 วันของการเดินทางในโมร็อคโค จะเป็นการเดินทางที่สุดพิเศษของเรา


ในการเดินทางครั้งนี้เราแบ่งออกเป็น 6 ส่วนหลักๆ เพื่อเป็นไปตามระยะเวลาและเจตนารมณ์ที่จะสัมผัสบรรยากาศทั้งหมดบนเเผ่นดินโมร็อคโค ส่วนแรกคือการสัมผัสบรรยากาศเมืองริมขอบชายฝั่งมหาสมุทรแอตแลนติก ส่วนที่สองเยี่ยมเมืองหลวงโบราณอย่าง City of Drama หรือ Marrakesh ส่วนที่สามประตูสู่ซาฮาร่า ส่วนที่สี่ แสงอรุณแห่งซาฮาร่า ส่วนที่ห้า ตรอกแห่งเฟส และสุดท้ายเมืองหลวงใหม่และเมืองท่าสุดโรแมนติกอย่างคาซาบลังก้า แล้วหวังว่าคนที่อ่านการเดินทางครั้งนี้จะสร้างแรงบันดาลใจให้ทุกคนได้ไปและสัมผัสด้วยตาตัวเอง


มาเริ่มกันเลยกับริมขอบชายฝั่งมหาสมุทรแอตแลนติก


การเดินทางครั้งนี้ เริ่มจากสนามบินนานาชาติอันเเสนเงียบสงบอย่างสนามบินคาซาบลังก้า  เเล้วเช่ารถมุ่งลงทางใต้เลาะเลียบชายฝั่งมหาสมุทรแอตแลนติกไปยังเมือง El Jadida ซึ่งใช้ระยะเวลาสามชั่วโมง


แต่ในระยะเวลาสามชั่วโมงนั้นกลับพบกลับความตื่นตาตื่นใจ ในเส้นทางการเดินทางเลาะเลียบชายฝั่งมหาสมุทรอันแสนกว้างใหญ่เเละไม่มีที่สิ้นสุดของเส้นขอบน้ำ


เนื่องจากเราไปช่วงเดือนเมษายน ตลอดการเดินทางจะพบกับพื้นที่เพาะปลูกริมชายฝั่ง ไม่ว่าจะเป็นอ้อย ผักกะหล่ำ และดอกไม้นานาพันธุ์ที่ผลิบานในฤดูใบไม้ผลิ


เมื่อมาถึงเมือง El Jadida หรือชื่อเดิมภาษาโปรตุเกสชื่อว่า มาซากัน เป็นเมืองโบราณที่ตั้งอยู่บนอ่าวชายฝั่งทะเลแอตแลนติก เคยเป็นเมืองท่าสำคัญของโมร็อคโคที่ทำการค้ากับต่างชาติ ต่อมาปี ค.ศ. 1502 ชาวโปรตุเกสได้ขึ้นฝั่งและได้สร้างป้อมปราการ นามว่า El Brijia El Jaida อ่านไม่ค่อยออกล่ะครับ ฮ่ะๆๆ)  


หลังจากมีการสร้างเมืองขึ้นในปี ค.ศ. 1506 ได้เรียกเมืองว่ามาซากัน ซึ่งกลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญของชาวโปรตุเกส


ประเทศนี้มีประชากรเพศผู้สูงถึง 70% คงเป็นสวรรค์สำหรับใครหลายคน 555 และคนที่นี่หน้าดีจนถึงอายุ 20 ปีนะ หลังจากนั้นก็... หน้าแก่ แก่ไปไหน แก่แบบพี่ขอบาย 555


ในปี ค.ศ.1562 ป้อมถูกโจมตีโดยโดยชาวอาหรับแต่ไม่สำเร็จ ระหว่าง ค.ศ.1580 - 1640 ตกอยู่ภายใต้การปกครองของชาวสเปน และกลับมาถูกปกครองโดยชาวโปรตุเกสอีกครั้ง รบไปรบมาตลอดเลย ดูท่าพี่แกจะไม่รักสันติเท่าไร


ดังนั้น สถาปัตยกรรมจะแสดงให้เห็นถึงการแลกเปลี่ยนอิทธิพลระหว่างวัฒนธรรมยุโรปและโมร็อคโค จนได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกในปี ค.ศ. 2004


ไฮไลท์สำคัญของที่นี่คือบ่อเก็บน้ำดื่มใต้ดินประจำเมือง นอกจากนั้นที่นี่ยังใช้เป็นคุกใต้ดินที่เคยใช้เป็นที่คุมขังของทาสในสมัยโปรตุเกส และเป็นคลังเก็บอาวุธสงคราม


การออกแบบบ่อเก็บน้ำใต้ดินนี้เป็นเสา arch ที่คอยถ่ายน้ำหนักพื้นด้านบนลงมายังเสา อีกทั้งยังมีการรูปรับแสงธรรมชาติเข้ามาอีกด้วย เป็นความอัศจรรย์ทางวิศวกรรมและสถาปัตยกรรมในยุคนั้นเลยละ เห็นแล้วประทับใจ น้ำตาไหลเลยทีเดียว


รอบๆ ก็จะมีร้านขายของต่างๆ นานา มีขายทุกอย่างเลยครับ


คำเตือน!!!! คนขายที่นี่ขายของเก่งมาก ต้องระวัง จิตต้องเเข็ง อย่าตกเป็นเหยื่อของอาบังต่างๆ เค้าจะเรียกเราให้มาลองนู่นลองนี่ ถ้าท่านลองเมื่อไร ติดกับดักพวกนางแน่ พูดเก่งมาก คน...อะร๊ายยยย พูดจนเรายอมจ่าย


เดินชมเมืองไปเรื่อยๆ บรรยากาศดี สบายๆ สมกับช่วงเมษาพาเพลิน


ตรอกต่างๆ ในเมืองนี้ก็มีความเป็นเอกลักษณ์จริงๆ


ผู้หญิงที่นี่ มีทั้งเคร่งและไม่เคร่งศาสนา ดูแล้วให้ความรู้สึกซีเรียไปอีก พร้อมมีซากปรักหักพังรายล้อมทางเดินอยู่เป็นระยะๆ


มองจากมุมสูง ก็จะเห็นว่าเป็นเมืองใหญ่ระดับนึงเลยทีเดียว


เราสามารถเดินเล่นบนกำแพงเมือง เดินชิลๆ ชมบรรยากาศตอนกลางวัน


หลังกำแพงก็เป็นมหาสมุทรแอตเเลนติคครับ
ไม่ได้มีแค่เราถ่ายรูปนะ คนที่นี่เองก็นิยมเดินทางท่องเที่ยวถ่ายรูปกันเยอะแยะไปหมดเลย


บ่ายแก่ๆ ก็นั่งรถออกจากเมืองนี้ไปยังเมืองเอซาเวร่า (Essaouira)


เอซาเวร่า หมายถึงรูปภาพ ไม่ว่าจะถ่ายจากมุมไหนๆ ภาพที่ได้มานั้นจะออกมาสวยอย่างไม่มีที่ติ เอซาเวร่าเป็นเมืองเล็กๆ ริมขอบมหาสมุทรแอตแลนติก ที่มีเสน่ห์อย่างเป็นเอกลักษณ์


ในเขตเมืองเก่า (หรือที่เรียกเป็นภาษาอาหรับว่า เมดิน่า) มีกำแพงเมืองเก่าขนาดหนาซ้อนกัน 2 ชั้น ที่ใช้ป้องกันพายุหน้าร้อนที่พัดมาประจำทุกปี


บ้านเรือนและร้านค้าภายในเขตกำแพงเมืองทาด้วยปูนสีขาวกลมกลืนไปกับประตูสีฟ้า


สถาปัตยกรรมเหล่านี้ถูกหล่อหลอมมาจากวัฒนธรรมอันหลากหลาย ครั้งหนึ่งที่นี่เคยเป็นแหล่งที่อยู่ของพ่อค้าชาวยิว และชาวยิวกลุ่มนี้เองที่เคยเปลี่ยนเมืองนี้เป็นเมืองที่มั่งคั่งที่สุดของโมร็อคโคในศตวรรษที่ 17 และ 18


เราได้เดินเล่นตลาดเก่าเมดิน่าแห่งเมืองนี้ ซึ่งมากมายผู้คนมาจับจ่ายซื้อของ และเดินชมบรรยากาศเมืองท่าเรือ ศูนย์กลางของเมือง



จากนั้น เราได้ชมพระอาทิตย์ตก ณ ชายฝั่งมหาสมุทรแอตแลนติกที่ ป้อมปราการเมือง Skala de laville ซึ่งเป็นจุดยุทธศาสตร์ที่สำคัญของเมือง มันช่างอิ่มเอมกับบรรยากาศที่เเสนจะโรแมนติกซะเหลือเกิน



เช้าวันรุ่งขึ้นเราก็เตรียมตัวไปส่วนที่สอง หรือที่เราตั้งชื่อว่า A City of Drama หรือเมือง Marrakesh


แต่ระหว่างทางไปยังเมืองมาราเกซยังมีอะไรให้เราได้ชมอีกด้วย พื้นที่แถวนี้เป็นถิ่นเพาะปลูกต้นอารากัต ซึ่งเราได้เข้าไปเยี่ยมชมผลิตภัณฑ์ของหมู่บ้าน ต้นอารากัตเป็นต้นที่มีคุณประโยชน์เหมือนต้นมะกอกแต่มีสรรพคุณดีกว่าสิบเท่า ส่วนใหญ่นำไปใช้เป็นผลิตภัณฑ์บำรุงร่างกาย ต้นอารากัตนั้นมีเพียงสองที่บนโลกคือเม็กซิโกและที่นี่เอง แต่ต้นอารากัตที่ให้ผลมีเพียงที่นี่ที่เดียวเท่านั้นบนโลกใบนี้


ความตื่นตาตื่นใจของต้นอารากัตไม่มีเพียงเท่านี้ แต่ยังมีแพะที่ยังปีนป่ายไปกินผลอารากัตทุกเช้า


มันไม่ได้มี 1-2 ตัวนะ มันมีเป็นฝูงบนเลยล่ะ อัศจรรย์ไหมล่ะ


สำหรับตอนแรก ขอพักเท่านี้กันครับ ตอนถัดไปยังมีไรให้ตื่นเต้นอีกเยอะ เเล้วอย่าลืมรอติดตามชมตอนต่อไปนะครับ


ก่อนจากกัน ขอฝากเพจของเราในเฟสบุ๊คด้วยนะครับ

https://www.facebook.com/TGTvacation/
ชื่อสินค้า:   ประเทศโมร็อคโค
คะแนน:     
**CR - Consumer Review : ผู้เขียนรีวิวนี้เป็นผู้ซื้อสินค้าหรือเสียค่าบริการเอง ไม่มีผู้สนับสนุนให้สินค้าหรือบริการฟรี และผู้เขียนรีวิวไม่ได้รับสิ่งตอบแทนในการเขียนรีวิว

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่