วันนี้เรามีเรื่องจะมาเล่าให้ทุกท่านได้รับรู้กันค่ะ เรื่องที่เราจะเล่าต่อไปนี้เกิดขึ้นจริงกับตัวเราเองเราเป็นคนจังหวัดอุดรธานีที่เข้ามาทำงานอยู่ใน กทม. เมื่อปี 2555 เราชื่อ หวาย ค่ะ ( นามสมมติ ) อายุปัจจุบัน 23 ปีค่ะ พอเรียนจบเราก็เข้ามาทำงานที่ กทม. ตั้งแต่อายุ 18 ปี ทำที่บริษัทแห่งหนึ่งกับพี่สาวในระหว่างปีที่เริ่มทำก็ปกติ แต่พอเข้าปี 2556 เราก็อายุ 19 ปี เราได้พบกับผู้ชายคนหนึ่งชื่อ เฟิร์ส ( นามสมติ ) ซึ่งเค้าเป็นคนที่หน้าตาดีนะ สูง ผิวขาว สเป๊กสาว ๆ หลาย ๆ คนเลยก็ว่าได้ เค้าเป็นพี่เรา 3 ปี เป็นคนที่ทำงานบริษัทเดียวกัน เค้าเป็นคนใน กทม. เราได้ทำงานอยู่ในออฟฟิศ เค้าทำอยู่อีกแผนก แต่เราก็พบกันบ่อยจึงเกิดการปลื้มกันขึ้นมา เค้าเป็นคนเข้ามาจีบเรา ซึ่งเราเป็นผู้หญิงเราจึงขอเล่นตัวหน่อย ๆ แต่เค้าก็พยายามใช้เวลาตื๊อเราประมาณ 2 อาทิตย์มาจีบเราจนเรายอมตกลงเป็นแฟนกับเค้า เค้าก็จะคอยมารับมาส่งเราที่ห้องพักทุกวัน เราคบกับเค้าได้ 8 เดือน ตลอดระยะเวลาที่คบกัน พี่สาวเราไม่รู้ว่าเรามีแฟนอยู่ในบริษัท เพราะเราไม่ได้พักที่ห้องพี่สาว เรามาเปิดห้องใหม่แต่อยู่ใกล้ ๆ กัน เราจึงตัดสินใจบอกพี่สาว พี่สาวเราก็ไม่ได้ว่าอะไรเพราะเราก็โตพอที่จะมีแฟนแล้ว แล้ววันต่อมาเราจึงบอกให้เค้ามาหาพี่สาวมาทำความรู้จัก เค้าอายุน้อยกกว่าพี่สาวเรา 5 ปี และวันนั้นเป็นวันที่เงินเดือนออกเค้าก็มาฉลองกับพี่เราและเพื่อน ๆ พี่เรา ในหว่างที่นั่งดื่มกันอยู่นั้น เค้าก็ไม่ค่อยพูดอะไรมาก พี่สาวเราจึงเป็นคนถามไถ่เรื่องทั้งหมดว่าเป็นยังไงถึงได้คบกัน เค้าก็ค่อย ๆ เล่าไป ตอนนั้นเรารู้สึกว่าเค้าเป็นคนที่จริงใจ และนิสัยดีมากเพราะเค้าพูดถนอมน้ำใจเราทุกอย่าง จนกระทั่งเที่ยงคืน ร้านปิด ต่างคนต่างแยกย้ายกันกลับ พอเค้าถึงบ้านเค้าก็โทรมาหาเรา ถือสายจนถึงเช้า เค้าตัดสายแล้วโทรมาปลุกเราใหม่ เราก็ตื่นมาอาบน้ำแต่งตัว เค้าบอกว่าเดี๋ยววันนี้จะไปรับมาทานข้าวที่บ้าน มาให้พ่อกับแม่รู้จัก ตอนนั้นเราตื่นเต้น ดีใจ จนบอกไม่ถูกจึงตอบตกลง และตอนเย็นเค้าก็มารับเราที่ห้อง พอไปถึงบ้านเค้าพ่อกับแม่เค้าก็รู้สึกดีใจมากที่เห็นลูกชายมีแฟน ระหว่างที่กินข้าวอยู่นั้นพ่อกับแม่เค้าก็ถามไถ่เราว่าเป็นคนที่ไหน อะไร ยังไง จึงได้มาเจอกัน เราก็เล่าทุกอย่างให้ท่านฟัง ท่านก็โอเค ท่านก็ถามเฟิร์สว่า " อยากให้แม่ไปสู่ขอแฟนให้ตอนไหน? " ตอนนั้นเราก็อึ้ง ตื้นตันไปหมด เฟิร์สจึงตอบไปว่า " เร็ว ๆ นี้ยิ่งดีครับแม่ " แล้วเค้าก็หันมามองหน้าพร้อมยิ้มให้เรา เราก็เขิลหน่อย ๆ แม่เค้าก็โอเค เราก็เลยค้านขึ้นว่า " หวายขอเวลาอีกหน่อยได้ไหมคะ " เฟิร์สก็ถามเราว่า ทำไมล่ะ เราก็คบกันมานานแล้วนะอีกอย่างพี่สาวหวายก็รู้อยู่แล้ว เราจึงตอบไปว่า ขอให้หวายคุยกับทางบ้านก่อนได้ไหม เค้าก็โอเค ทุกคนก็ไม่ได้ว่าอะไร หลังจากกินข้าวเสร็จ ฝนดันมาตกและตกหนักมากฟ้าผ่าเป็นว่าเล่น แม่เค้าจึงขอให้เราค้างที่บ้านก่อน แล้วตอนเช้าจึงกลับ เราก็ลังเล เฟิร์สก็คั้นเราให้เราค้างที่บ้านเค้า เราก็โอเคค้างก็ค้างเราจึงบอกว่า แต่เฟิร์สห้ามนอนกับเรานะ เค้าก็โอเคจึงให้เรานอนบนห้องเค้า เค้าก็ไปนอนกับพ่อแม่เค้า พอเช้าเค้าก็มาส่งเราที่ห้อง เค้าก็ขึ้นมาอยู่ที่ห้องเรา พอเที่ยงก็ออกไปทานข้าวข้างนอกกัน ตกเย็นเค้าก็มาส่งเราที่ห้อง และเค้าก็กลับบ้าน ความสัมพันธ์ของเราก็ดีขึ้นเรื่อย ๆ ...พอปลายปี 2556 เค้าก็พูดกับเราเรื่องแต่งงาน เราก็คิดว่าเราโอเคกับเรื่องนี้แล้ว เราจึงตอบตกลง เราจึงได้โทรบอกทางบ้านว่าทางครอบครัวของแฟนจะไปสู่ขอ เราก็เล่าทุกอย่างให้พ่อกับแม่เราฟัง และมีพี่สาวยืนยันให้ว่าเรารักกันจริง ๆ ทางครอบครับเราก็โอเคไม่ว่าอะไร จึงตกลงกันได้ เค้าก็ให้พ่อกับแม่เค้ามาสู่ขอที่อุดรธานี เราแต่งงานวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2557 ก็ได้ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันที่บ้านของเค้าที่ กทม. พ่อกับแม่เค้าก็รักเราเหมือนลูกสาว พวกเค้าทำทุกอย่างเพื่อให้เรามีความสุข เราก็มีความสุขมากที่ได้พ่อแม่สามีดีขนาดนี้ เราคิดว่าชาตินี้คงไม่มีแบบนี้อีกแล้ว อาจจะมีแต่หายาก ก็อยู่ใช้ชีวิตร่วมกันมาจนถึงช่วงปีใหม่ 2558 ครอบครัวแฟนเราจึงกลับบ้านพร้อมกันกันเราและพี่สาวด้วย ก็มาฉลองที่อุดรธานีบ้านของเรา และวันนั้นเพื่อนเราที่เป็นทั้งผู้หญิงและสาวสองก็มาฉลองที่บ้านเราด้วย 2-3 คน เจน พลอย มิกกี้ ( สาวสอง ) (นามสมมติทั้งหมด ) และเราก็เลยมานั่งร่วมดื่มกับเพื่อน ๆ เฟิร์สมาอยู่ด้วย ตอนนั้นเรารู้สึกว่าเฟิร์สมองเจนเพื่อนเราแปลก ๆ และเจนก็เหมือนจะอมยิ้มให้กับเฟิร์สด้วย เราก็นึกสงสัยแต่ก็ไม่ได้เอะใจอะไร เพราะคิดว่าเค้าก็คงมองกันธรรมดา และตอนนั้นพลอยกับมิกกี้ก็ไปซื้อเหล้ามาเพิ่ม ส่วนเราก็เลยขอไปเข้าห้องน้ำ พอตอนที่เราออกมาเราเหลือบมองไปเห็นพลอยยื่นโทรศัพท์เค้าให้กับเฟิร์ส เราจึงหลบไปก่อนที่เค้าจะรู้ตัว หลังจากนั้นเจนกับมิกกี้ก็มาเราจึงเดินออกไปทำเหมือนไม่รู้ไม่เห็นอะไร แต่ก็สงสัยอยู่เหมือนกัน ...จนถึงเวลาเที่ยงคืนทุกคนก็แยกย้ายกันกลับบ้าน เราก็อาบน้ำนอนปกติ เฟิร์สก็ไปอาบเราก็สังเกตุว่าทำไมเฟิร์สเอาโทรศัพท์เข้าไปในห้องน้ำด้วย เราจึงเอ่ยถามขึ้น เค้าก็ตอบว่า เอาเข้าไปฟังเพลงตอนอาบน้ำน่ะ เราก็ไม่เอะใจอะไร แต่ก็แปลกใจเพราะเฟิร์สไม่เคยเอาโทรศัพท์เข้าห้องน้ำเลยตลอดเวลาที่อยู่ด้วยกัน และวันนั้นเค้าก็อาบน้ำนานมาก..เราจึงไปเคาะประตูห้องน้ำ เค้าจึงออกมา ก็นอนกันจนเช้าวันรุ่งขึ้นเราก็เลยชวนเฟิร์สไปทำบุญที่วัดเฟิร์สก็ปฏิเสธ เราก็ไม่ว่าอะไรเพราะคิดว่าคงเหนื่อยเมื่อคืน ก็นอนดึก เราก็โอเค หนึ่งอาทิตย์ต่อมาเราก็กลับมาที่ กทม. เพื่อมาทำงานต่อ พอถึงวันเริ่มงานก็ไปทำงานตามปกติ อยู่มาวันนึงเราก็ไปทำงานกลับมาตอนเย็น..ที่บ้านเราอยู่กับเฟิร์สแค่ 2 คน เค้าวางโทรศัพท์ไว้ที่ห้องและเค้าก็ออกไปข้างนอก เราคิดว่าเค้าคงลืมเอาไป เราได้ยินเสียงไลน์จากโทรศัพท์เค้าดังขึ้น เราก็วิสาหะเปิดอ่าน และพบว่า พลอยส่งข้อความมาเราจึงย้อนกลับไปอ่านข้อความที่เค้าคุยกัน ก็พบเข้าว่า เค้าแอบคุยกันเชิงชู้สาวเราก็ช็อคเหมือนจะร้องไห้ แต่ก็กลั้นไว้ ตอนนั้นมันเหมือนเหล็กแหลมมาทิ่มที่ตรงกลางใจ เราทำอะไรไม่ถูก พออ่านข้อความทั้งหมดเราจึงรีบปิดไลน์เค้าทันที เค้าก็ขับรถมาพอดีเราจึงแกล้งไปอาบน้ำ และเค้าก็ได้ขึ้นมาที่ห้อง พอเราอาบน้ำเสร็จเราก็ถามเค้าว่า หิวข้าวไหม เค้าก็บอกว่า ไม่หิว ถ้าหิวก็ไปกินก่อนได้เลยไม่ต้องรอ เราก็ไม่พูดอะไรต่อ เราก็เลยออกไปนอกห้องและลงมาข้างล่าง เพื่อระบายความเจ็บปวดออกมาจนพ่อแม่กลับมา ท่านก็เห็นเรานั่งดูทีวีแบบหน้าซึม แม่เค้าจึงเข้ามาถามเราว่ามีอะไรกันหรือเปล่า ทำไมหน้าซึมทะเลาะอะไรกันหรือเปล่า เราก็บอกว่า ไม่มีอะไรค่ะ หวายรู้สึกเพลีย ๆ แม่เค้าจึงบอกให้เราขึ้นไปพักผ่อน เดี๋ยวกับข้าวแม่จัดการเอง เราก็เลยเดินขึ้นไปที่ห้อง พอเรากำลังจะบิดกลอนประตู เราก็ได้ยินเสียงเค้าคุยโทรศัพท์ เราจึงตัดสินใจไม่เข้าไป และเราก็ได้ขอนอนกับแม่ แม่เค้าก็ถามเราว่าเป็นอะไรกันอีก ทะเลาะอะไรกันทำไมถึงไม่นอนด้วยกัน เราก็ไม่บอกอะไรเพราะเรารู้ว่าเค้าคุยกับพลอยเพื่อนเราแน่นอน แต่เราก็ไม่ยอมเล่าให้แม่ฟัง แม่ก็ไม่ว่าอะไรคืนนั้นเราก็นอนกับแม่ที่ห้อง ส่วนพ่อก็ไปนอนที่ห้องทำงานของพ่อ ประมานเที่ยงคืนเฟิร์สได้มาเคาะประตูห้องของแม่ และเห็นว่าเรานอนอยู่กับแม่ เค้าจึงมาดึงตัวเราขึ้นไปนอนที่ห้อง แต่เราไม่ยอมขึ้นไปและไม่คุยกับเค้าด้วย เค้าจึงบอกแม่ให้ขึ้นไปนอนห้องเค้า ถ้าเราไม่ยอมขึ้นไปนอนที่ห้อง เราจึงพูดขึ้นว่า ไม่ต้องไล่แม่ เดี๋ยวขึ้นไปเอง เค้าก็กระชากลากดึงเราขึ้นไป แม่ก็ไม่สามารถพูดอะไรได้ เราพยายามสะบัดมือเค้าออกแต่ก็ไม่หลุดเพราะเค้าแรงเยอะมาก และตัวโตกว่าเรามาก พอขึ้นไปที่ห้องเค้าก็ถามเราว่าเป็นอะไร ทำไมไปนอนกับแม่ไม่เกรงใจพ่อรึไง เราก็เลยพูดกระแทก-ดันเค้า แล้วคุยกับผู้หญิงคนอื่นไม่เกรงใจเมียบ้างรึไง เค้าก็อึ้งและไม่พูดอะไร เค้าจึงถามเราว่าแอบดูโทรศัพท์หรอ เราจึงตอบว่า ถ้าไม่ดูก็คงไม่รู้ว่าสามีตัวเองกำลังคุยกับใครและแอบนอกใจขนาดไหน เค้าก็ขอโทษเราและบอกว่าจะไม่ทำอีก จะลบทุกอย่างจะไม่ติดต่ออะไรทั้งสิ้น เค้าก็ขอโอกาสเรา ตอนนั้นเราก็ยังไม่ยอมให้อภัยและไม่พูดด้วย เวลาไปทำงานก็ขับรถไปเอง เราคิดว่าเค้าคงไปเล่าให้แม่เค้าฟังว่าเราโกรธเค้าเรื่องอะไร แม่เค้าก็มาคุยกับเราให้เรายกโทษให้เค้า แม่เค้าก็รู้สึกไม่พอใจกับเรื่องที่เกิดขึ้นเหมือนกัน แต่อยากให้เราไตร่ตรองดูว่าควรให้โอกาสเค้าไหม เราก็มาคิด ๆ ดูว่าเราก็ควรให้อภัยเค้าเพราะอย่างน้อยเค้าทั้งสองก็แค่คุยกันไม่ได้มีอะไรกัน เราจึงคิดว่ามันคงเป็นแค่อุปสรรค์ที่เราต้องเจอ เราจึงยอมให้อภัยเค้า เค้าก็ดีใจและสัญญาว่าจะไม่ทำอีก และเราสองคนก็ทำงานกันไปเรื่อย ๆ เทศกาลก็ไม่ได้หยุดเพราะงานเร่งมาก เราก็โอเค ..จนถึงช่วงเทศกาลเข้าพรรษา ทางบริษัทเห็นว่าเราทำงานมาไม่ค่อยมีเวลาพัก ทางบริษัทจึงให้หยุดงานเป็นเวลาหนึ่งอาทิตย์ เราจึงชวนเฟิร์สไปทำบุญ ณ วัดแห่งหนึ่ง แถวพระราม 8 เราจึงไปถวายสังฆทาน ปล่อยนก ปล่อยปลา พอปล่อยเสร็จเราก็ไปเข้าห้องน้ำ แต่ช่วงออกมาจากห้องน้ำ เราก็เห็นเฟิร์สยืนคุยอยู่กับผู้หญิงคนนึง แต่เราก็ไม่รู้จักเค้า เราก็เลยคิดว่าเค้าคงเป็นคนรู้จักกับเฟิร์สมั้งก็ไม่ได้เอะใจอะไร เราก็เลยเข้าไปถามเฟิร์สว่าคนนั้นเป็นใคร เค้าก็บอกว่าเป็นพี่ที่รู้จักกันในแผลก เราก็ไม่ได้เอะใจอะไร ก็คิดว่าเค้าคงเดินผ่านกันมาก็เลยทักทายกันแค่นั้น พอทำบุญที่วัดเสร็จเราก็ชวนเฟิร์สไปซื้อของเข้าห้อง ในระหว่าที่เดินไปนั้นเฟิร์สไม่ค่อยพูด เอาแต่ก้มเล่นโทรศัพท์เราจึงทำเสียงดุใส่ และยืดโทรศัพท์เค้าไว้ก่อน เฟิร์สก็ทำหน้าไม่พอใจและไม่พูดอะไรกับเรา เราก็บอกว่า ไม่พอใจก็ไม่ต้องเอาโทรศัพท์คืน เค้าก็เฉยไปอีก ในระหว่างที่เลือกซื้อของอยู่นั้นเราก็เดินสวนกับผู้หญิงคนที่เฟิร์สทักในวัด และผู้หญิงคนนั้นก็ถามเฟิร์สว่า มาซื้อของด้วยหรอ เจอกันบ่อยจังนะ และเค้าก็หัวเราะ และเหมือนเฟิร์สจะคุยถูกคอกับเขามาก เราก็รู้สึกไม่พอใจหน่อย ๆ แต่ก็เก็บอาการไว้และเลือกซื้อของต่อไป หลังจากที่ซื้อของเสร็จก็กลับมาที่บ้าน เค้าก็บอกว่าจะออกไปเซเว่นแป๊ปนึง เราก็โอเคก็บอกว่าอย่าไปนานนะ เป็นห่วง เค้าตอบสั้น ๆ คำเดียว " อือ " ซึ่งคำนี้ไม่เคยออกจากปากเค้าเลย แต่ครั้งนี้เรารู้สึกแปลก ๆ ทำไมเฟิร์สพูดกับเราแบบนี้ เราก็เก็บความสงสัยไว้ เค้าออกจากบ้านไปเซเว่นประมาณ 2 ชม. เราก็โทรตามแล้วโทรตามอีก แต่ก็ตัดสายเราตลอด บ้างก็ไม่รับเลย เราก็รู้สึก งง ๆ คิดว่าคงมีอะไรแน่ ๆ เราจึงออกไปที่เซเว่นและได้ถามน้องพนักงานที่รู้จักกันในเซเว่น ว่าเฟิร์สได้มาซื้อของที่นี่ไหม น้องก็บอกว่า ยังไม่เจอพี่เฟิร์สสักครั้งเลย ตอนนั้นเราก็รู้สึกหวั่น ๆ ว่าเฟิร์สไปไหนทำไมต้องโกหกเราด้วย และโทรไปก็ตัดสายใส่เรา มันเกิดอะไรขึ้น เรามึน งง ไปหมดในตอนนั้น และได้โทรไปหาเฟิร์สอีกครั้งนึง ปรากฎว่าติดต่อไม่ได้เลย เราก็เลยกลับบ้าน พ่อกับแม่เค้าก็กลับมาพอดี เราร้องไห้เข้าบ้าน แม่จึงถามว่า เป็นอะไรทำไมถึงร้องไห้ เราก็บอกทุกอย่าง เล่าให้แม่ฟัง แม่ก็บอกให้เราใจเย็น ๆ มันอาจจะไม่มีอะไรก็ได้ เราพยามทำใจให้สบาย และไม่นานเค้าก็เข้าบ้านมา แม่จึงถามเฟิร์สว่า ไปไหนมาทำไมปล่อยให้หวายเป็นห่วงจนร้องไห้ เค้าก็ไม่ตอบอะไรและเดินขึ้นห้องไป เราก็เลยตามเค้าขึ้นไปที่ห้อง และถามเค้าว่าทำไมต้องโกหกด้วยว่าเซเว่น แล้วหายไปไหนตั้ง 2-3 ชม. ปล่อยให้รอ เค้าก็บอกว่าไปทำธุระ เราจึงสวนกลับว่า ธุระอะไร ที่ไหน ไปกับใคร ทำไมไม่บอกตรง ๆ เราวีนเค้าเต็มที่ในตอนนั้น เค้าก็ตะโกนใส่หน้าเราว่า อย่ายุ่งมากได้ไหม มันเรื่องส่วนตัว จะไปไหน อะไร ยังไง มันก็เรื่องของผม !! เราก็ได้แต่ร้องไห้ เค้าก็เดินลงไปข้างล่าง ตอนนั้นเราทำอะไรไม่ถูกเลย ไม่คิดว่าเฟิร์สจะเปลี่ยนไปมากขนาดนี้ พอเช้าวันใหม่ เค้ารีบตื่นและบอกเราว่า วันนี้จะออกไปทำธุระ ไม่ต้องโทรตามเสร็จแล้วจะกลับมาเอง เราก็ถามว่าธุระอะไร ที่ไหน เค้าก็ตะโกนใส่เราอีกว่า อย่ายุ่งให้มันมาก !! แล้วเค้าก็เดินออกห้องไป เราก็มองดูเค้าที่ริมหน้าต่างบนห้องนอน ดูเค้าลุกลี้ลุกลนผิดปกติ เราก็ได้แต่ภาวนาว่าอย่าให้เป็นอย่างที่คิดเลยนะ เค้าก็ขับรถออกไปไม่รอช้า เราจึงเดินลงไปข้างล่างพ่อก็ถามเราว่าเฟิร์สมันรีบไหน
โลกหลังความตาย มีจริงหรือไม่ ? และแต่ละคนจะได้รับผลกรรมอย่างไร ?