15 ชั่วโมงที่อดทนรอคอย เพื่อ 1 นาทีสุดท้าย ที่มีคุณค่าตลอดชีวิต

ผมเชื่อว่า ไม่ใช่ผมคนเดียว ที่มีประสบการณ์นี้

พี่น้องคนไทยหลายสิบล้านคน ก็ผ่านชั่วโมงเหล่านี้มาแล้ว

เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ผมได้ไปที่สนามหลวง เพื่อเข้ากราบพระบรมศพพ่อหลวงของเรา

มาถึงถนนราชดำเนินตีห้าสิบนาที ก็เดินเข้าแถวตามทุกๆคนไป

คนเยอะมากครับ เยอะแบบเยอะมาก

ผมเป็นคนนิสัยเสียหลายอย่าง หนึ่งในนั้นคือ ไม่ชอบรอ

เดินไปแปบเดียว ผมก็บอกตัวเองว่า ผมทำใจไว้ที่สิบโมงเช้าเสร็จ

เพราะพี่ผมคนนึงเค้าบอกว่า เห้ยไปดิ พี่ไปตีสี่ หกโมงก็ออกมาละ

แสดงว่าถ้าผมมาตีห้า ไม่เกินเจ็ดแปดโมงก็คงเสร็จ ก็เผื่อให้ถึงสิบโมงเลยละกัน

ที่บ้านผมมากันหมดแล้ว มากันคนละหลายๆรอบ

เหลือแค่ผมคนเดียวที่ตกขบวนอยู่ ก็เพราะนิสัยเสียของผมที่ไม่ชอบรอที่แหละครับ

ผมไม่ได้เข้าที่ประตูฝั่งราชดำเนินแต่ได้ไปเข้าที่ประตูแถวๆหลังตึกกระทรวงกลาโหม

ตึกที่พวกเราชอบไปถ่ายรูปกัน  

พอถึงจุดตรวจ ก็ยกบัตรประชาชนชูให้กล้องดู

แล้วก็เดินเข้ามาเรื่อยๆ

แถวข้างนอกว่ายาวแล้ว แถวข้างในยาวยิ่งกว่าครับ

หกโมงก็แล้ว เจ็ดโมง แปดโมงละ ทำไมเหมือนผมไม่ได้ไปไหนเลย 555

ดีที่ก่อนออกจากรถ ผมซัดขนมปังไป 2 แผ่น ก็อิ่มท้องได้ยาวดี

เพราะผมชะล่าใจ ว่าจะเสร็จเร็ว เลยไม่มีการเตรียมตัวอะไรมาเลย

น้ำเปล่า, ผ้าขนหนู ยาดม, ครีมนวดขา และอื่นๆที่น่าจะจำเป็น ก็ไม่ได้เตรียมอะไรมา

อยู่ในแถว บางทีก็ค่อยๆไหลไป บางทีก็วิ่งกัน เบรคที แน่นเป็นปลากระป๋องเลย

ถ้ามีใครที่กำลังจะไป อยากให้รักษาระยะห่างระหว่างคนข้างหน้าด้วยนะครับ

เพื่อตัวเรา จะได้มีอากาศหายใจ และให้มีลมผ่าน

ไม่อย่างนั้น ทุกอย่างจะแน่นมาก แล้วเราจะหายใจไม่ออก

ถ้ามีเจ้าหน้าที่มาแจกแอมโมเนีย รบกวนรับไว้ด้วยนะครับ เป็นตัวช่วยที่ดีได้

คนแก่หลายท่านไม่รู้ว่า อย่าสูดแอมโมเนียแรงๆ และใกล้จมูกมากไป

อย่างเคสคุณยายข้างๆผม สูดเข้าไปแรงมาก ทำให้ล้มลงไปต่อหน้าผมเลย

ยังไงถ้าไปกับคนแก่ ให้ดูแลกันให้ดีนะครับ


ผมจำได้ว่า ตอนแปดโมง ผมยืนเคารพธงชาติอยู่หน้ากระทรวงกลาโหม

เก้าโมง ผมอยู่หน้าศาลหลักเมือง

และสิบโมง ที่ผมทำใจไว้ว่าจะเสร็จ ผมก็เขยิบออกมาจากศาลหลักเมืองนิดหน่อย!!!!!

ผมอยากกลับแล้วอะ อยากไปยิม อยากไปหาอะไรทำมากกว่ายืนอยู่เฉยๆ

คือพอไปคนเดียว กิจกรรมที่จรรโลงใจที่สุดคือกดโทสับเล่น

อัพเดทข่าวสารให้ที่บ้านรู้ ว่าสถานการณ์เป็นยังไง ก้มบ้างเงยบ้าง

ทักทายกับคนข้างๆบ้าง แล้วก็ยืน มองไปข้างหน้าว่าเมื่อไหร่แถวจะเดิน

ตั้งแต่เช้าที่ผมยืนอยู่ เท่าที่สายตาผมเห็น มีแค่ 4 คนเท่านั้น ที่ออกจากแถวและกลับก่อน

ผมเหนื่อย ผมอยากกลับมาก แต่ผมก็ตั้งเป้าใหม่ สักบ่ายสามละกัน

ถ้าบ่ายสามยังไม่ไปไหน ผมก็จะกลับละ

ก็บอกใจตัวเองว่า ผมรักพระองค์ท่านมากไปไม่น้อยกว่าใครนะครับ

ถ้าผมจะกลับก่อน พระองค์ท่านก็คงจะเข้าใจดี และไม่ว่าอะไร

ประมาณสิบเอ็ดโมง ฝนตั้งเค้า ดำทะมึนมาเลย และก็เทลงมาจริงๆ

มันเป็นช่วงเวลาที่ผมรู้สึกสนุกและประทับใจ

คนที่มีร่ม ก็จะเอามือกางปีกร่มออก ให้ไปถึงคนที่ไม่มีร่ม

ทุกคนในเวลานั้น ต่างเป็นห่วงซึ่งกันและกัน  และที่สนุกคือ ได้ตากฝน

ในระหว่างนั้น จะมีเจ้าหน้าที่มาประกาศตามหาคนหายตลอดเวลา

ถ้ามีเด็กหรือคนแก่ไปด้วย  ผมขอแนะนำว่า

ให้มีป้ายห้อยคอ และเขียนชื่อ เบอร์โทรคุณไว้จะดีมากๆนะครับ

เผื่อพลัดหลงกัน คนข้างๆอาจโทรหาคุณได้

เพราะส่วนมากเคสที่เจอ คือเด็กจำเบอร์ ผู้ปกครองไม่ได้  คนแก่ก็เหมือนกัน

เพื่อป้องกัน ลองนำไปพิจารณาดูนะครับ

ประมาณเที่ยง ผมได้เข้ามาอยู่ในเต๊นท์ละครับ เป็นเต๊นท์ยืนรอด้านนอกก่อนเข้าวงในสนามหลวง

ช่วงที่เข้าเต๊นท์มาสักพัก เจ้าหน้าที่ จะมาแบ่งพวกเราจากที่สุมๆกันอยู่ให้กลายเป็น 4 แถว

ช่วงที่อยู่ใน 4 แถว รู้สึกดีมาก เพราะมันโล่งและมีอากาศหายใจ 555 และไม่กลัวว่าจะมีคนมาแทรก

ช่วงเที่ยง ผมได้ฝากท้องกับโรงทาน ได้กินบัวลอยถ้วยนึงและข้าวหมกไก่หนึ่งจาน รสชาติอร่อยมากครับ

กินเสร็จก็มาเข้าแถวต่อ ก็ฝากแถวไว้กับคนข้างหลังเรา

ออกจากแถว ต้องจำรายละเอียดคนรอบข้างให้ดีนะครับหน้าหลัง ข้างขวาซ้าย เพราะทุกคนใส่เสื้อดำหมด

ผมได้เข้าประตูจุดสตาร์ทประมาณบ่ายโมงครึ่ง มีหลายคนวิ่ง เราก็วิ่งตามสิครับ จะรออะไร 5555

เจ้าหน้าที่ก็บอกว่าอย่าวิ่งๆๆ ค่อยๆเดิน เพราะวิ่งไป ก็ไปสุดอยู่แค่นั้นแหละ ....  ก็จริง

ช่วงที่ได้เข้ามาข้างในแล้ว ก็นิ่งยาว มารู้ทีหลังจากคุณป้าที่เค้าคุยกันข้างๆ

ตลอดเดือนกันยายน คือผมจำช่วงเช้าไม่ได้ แต่ช่วงบ่าย

ระหว่าง บ่ายสองถึงบ่ายสาม ,ห้าโมงเย็นถึงหกโมง และทุ่มนึงถึงสองทุ่ม

ด้านในมีพระราชพิธี ให้เราเตรียมใจไว้ให้พร้อม ว่าเราจะได้อยู่นิ่งๆตลอด1 ชม นี้

ทุกคนรู้ใช่มั้ยครับ อากาศหลังฝนตก มันอบมาก มันไม่สบายตัว

ผมอยากกลับละ ผมเหนื่อย ผมขี้เกียจ

แต่มองไปรอบๆ พี่น้องคนไทยเรา เค้ายังอดทนรอกันได้ แล้วเราทำไมจะทำไม่ได้

ทุกคนมีเป้าหมายเดียวกัน

คือกิเลสมันจะมาเป็นระยะนะครับ เพราะร่างกายมันล้า มันไม่สบายตัว

มันอยากถอดใจ อยากไปใช้ชีวิตสบายๆ ในระหว่างที่รอ

ในระหว่างนั้น ทุกคนก็อัพเดทชีวิตในโซเชี่ยล  ของผม แบตหมดตั้งแต่เข้ามาจุดสตาร์ทละครับ

เวลาว่างของผมคือยืนบ้าง นั่งบ้าง ย่อบ้าง เกร็งบ้าง มีอยู่ประมาณนี้

ช่วงเวลานี้ สี่แถวที่คุณเคยมี ให้ลืมมันไปก่อนนะครับ เพราะมันหายไปตั้งแต่พี่ป้าน้าอาและผมวิ่งกันเข้ามาละ 555

แต่สี่แถวผมกลับมาอีกที ตอนบ่ายสาม และผมได้นั่งเก้าอี้นี้ที่รอคอยตอนห้าโมงเย็นครับ อ่าาาา สบาย

ระยะทางจากจุดแสกนบัตร จนก่อนถึงจุดตรวจนั่งเก้าอี้

ผมอยากบอกทุกคนไว้ว่า

ให้ทำใจ และปล่อยวาง ว่าจะมีพี่น้องของเรา มาแซงคิวเราเป็นระยะนะครับ

ผมจะหงุดหงิด และพร้อมจะรบทุกครั้ง ที่มีคนมาแซงคิว

เพราะเราไม่แซงคิวใคร เราก็ไม่อยากให้ใครมาทำกับเรา

แต่ก็ต้องปล่อยวาง และให้เค้าไปก่อน เพราะยังไงเราก็ได้เข้าอยู่ดี

หลักๆที่เจอ ขออนุญาตเอ่ยนามนะครับท่านทั้งหลาย จะมีกลุ่มคุณป้า กลุ่มครอบครัว ที่เจอคือกลุ่มนี้หลักๆ



หลังหกโมง ผมรู้สึกฟินมาก พอยืนจากเก้าอี้ปุ๊บ ก็เดินปั๊บ

เป็นระยะทางการเดินแบบไม่หยุดที่ยาวที่สุดตั้งแต่มาถึง อ่าา รู้สึกดี นี่สินะ สวรรค์ 5555

มาหยุดอีกที และนั่งเก้าอี้จุดที่สอง พอหมดจุดนี้ ก็เดินอีกครั้งไปจุดเก้าอี้ที่สามก่อนเข้าพระราชวัง

จุดนี้ โหยมากครับ หิวข้าว พอเจ้าหน้าที่ประกาศว่า ด้านข้างมีของขาย ทุกคนแทบจะลุกพร้อมกัน

จุดสุดท้ายก่อนเข้าวังตรงนี้ อุดมไปด้วยมาม่า ขนม นมและเนยนะครับ แวะรองท้องกันก่อน


ช่วงเวลาสำคัญมาถึง ผมก็นั่งคำนวณว่า

ผมใช้เวลาไปเท่าไหร่ นับไปนับมา ถ้าผมได้เดินเข้าวังสองทุ่มรวมเวลาเข้ากราบ ก็ 15 ชั่วโมงพอดี

ตลอดชีวิต 31 ปีที่ผ่านมาของผม ถ้าให้นึกถึงเรื่องที่ต้องรอนานที่สุด คงรอรถไฟกลับห้องตอนตกเครื่อง

แต่ไม่เคยมีครั้งไหน ที่ทำให้ผมรอได้นานขนาดนี้

ความรู้สึกของผมตอนที่จะเข้าไปในวัง มันรู้สึกเย็น รู้สึกว่าง มันผ่อนคลาย

ความเหนื่อยล้าที่มีมาตลอดทั้งวัน มันหายไปหมด

ในระหว่างที่ตั้งแถวรอขึ้นด้านบน ผมรู้สึกดีใจ ที่แบตโทรศัพท์ผมหมด

ผมมีโอกาสได้มองไปรอบๆ วังของพ่อเราสวยมากเลยครับ

คือผมคิดในใจว่า ตรงนี้คงเป็นบ้านของพ่อเรา ท่านคงจะเดินจากนี้ไปนี้

ใช่ตรงนี้มั้ย ที่พระองค์ท่านโบกมือให้เรา ห้องนี้ท่านทรงใช้ทำอะไร

คือห้วงเวลาไม่นานตรงนั้น ผมรู้สึกตื้นตันใจ ความรู้สึกนี้ใช่มั้ย

ที่ใครๆชอบพูดกันว่า โชคดี ที่ได้เกิดมาเป็นลูกพ่อ

วังสวยมากจริงๆครับ บวกกับอากาศเย็นๆยามสองทุ่มหน่อยๆกับแสงไฟ ที่ส่องลงมา

สวยจริงๆ

ในระหว่างที่รอ ก็มีทหารท่านมาตรวจเวรยาม ถ้าเรียกผิดขออภัยด้วยนะครับ ดูเข้มแข็งทะมัดทะแมง

ตรงจุดนี้ ทางเจ้าหน้าที่ขอร้องว่าอย่าถ่ายรูปทหารนะครับ



ก่อนขึ้นด้านบน

จากที่เรามีสี่ จะถูกลดเหลือ สาม และสุดท้ายเหลือสองแถว

จะมีเจ้าหน้าที่ แจกถุงดำใส่รองเท้า  เราก็เดินตามไปตามที่เจ้าหน้าที่บอก

ทางเข้าจะมีสองฝั่ง ขึ้นจากบนขวา และวนล่างซ้ายขึ้นฝั่งซ้าย

ถ้าขึ้นขวาบนก็สองแถวปกติ แต่ถ้าขึ้นจากซ้าย แถวจะถูกแบ่งให้เป็นสาม

ใครที่ไปครั้งแรกเหมือนผม อย่าเขินอายนะครับ จะมีเจ้าหน้าที่แจ้งว่าให้ทำอะไร

ถุงรองเท้าวางข้างขวา กระเป๋าต่างๆห้ามสะพาย ให้ถือ เพื่อสะดวกต่อการกราบครับ



และผม

ก็ได้กราบลาพระองค์ท่านเป็นครั้งสุดท้าย

เป็น 15 ชั่วโมง ที่รอคอย เพื่อ 1 นาทีนี้ที่มีค่าที่สุดในชีวิต



ไม่มีคำใดจะเอ่ยออกมาเป็นคำพูดได้
ชีวิตผมอยู่ห่างไกลวัง ไม่เคยได้มีโอกาสอะไรแบบนี้
อาจจะเป็นครั้งเดียวในชีวิตก็ได้

ข้าวที่รับก่อนออกจากวัง ผมก็นั่งกินจนหมด กินไปน้ำตาก็ไหลไป
เพราะมันอาจเป็นข้าวถ้วยเดียว ที่ผมจะได้กินจากในวัง

อย่างน้อยๆ ในหนึ่งชาตินี้ของผม ก็พอจะมีบุญได้กราบลาท่าน
ด้วยความพากเพียร ความตั้งใจที่มี ได้เห็นคุณค่าตัวเองในทางอ้อม



เหลืออีก 12 วัน ให้พวกเราได้แสดงออกถึงความจงรักภักดีต่อพระองค์ท่าน
หากมีโอกาส อย่าทิ้งโอกาสที่ดีที่สุดในชีวิตนี้ไปนะครับ



ผมขอขอบคุณเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องทุกๆท่าน
ที่ยอมสละเวลาส่วนตัว เสียสละความสุขๆส่วนตัวทุกๆอย่าง
มาคอยอำนวยความสะดวกให้พวกเรา

ขอให้ท่านทั้งหลายได้รับรู้ว่า เรารู้ว่าท่านเหนื่อย
และขอให้รู้ว่า มีกำลังใจจากตรงนี้ และอีกหลายๆล้านกำลังใจ
ส่งมาถึงท่าน ให้ท่านได้มีแรงกาย แรงใจ ทำหน้าที่ได้จนถึงวันสุดท้ายนะครับ

ขอบพระคุณมากครับ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่