▼ กำลังโหลดข้อมูล... ▼
แสดงความคิดเห็น
คุณสามารถแสดงความคิดเห็นกับกระทู้นี้ได้ด้วยการเข้าสู่ระบบ
กระทู้ที่คุณอาจสนใจ
อ่านกระทู้อื่นที่พูดคุยเกี่ยวกับ
บันทึกนักเดินทาง
สถานที่ท่องเที่ยวในประเทศ
เที่ยวเชิงอนุรักษ์
Backpack
เที่ยวไทย
[CR] รีวิวเที่ยวภูเก็ต กับซอกหลืบที่น้อยคนจะเคยไป
แต่เดี๋ยวก่อน! ป้าคอนเฟิร์มตรงนี้ว่ายังไม่หมด เพราะซอกลับในภูเก็ตที่ป้ากำลังจะพาไปส่องกันนั้น เท่าที่สำรวจคนรอบตัวมา บอกได้เลยว่าน้อยยยยคนนัก ที่จะเคยเหยียบย่างไปถึง ถ้าเริ่มคันยุบยิบอยากรู้แล้ว ก็เริ่มต้นกันเลยดีกว่า ...
ที่แรกที่ป้าจะพาไปส่อง เป็นเกาะไซส์พื้นที่ 3,000 ไร่ ที่ชื่อ 'เกาะโหลน' ความอเมซิ่งอยู่ตรงที่แม้ว่าเกาะนี้จะอยู่ห่างจากท่าเรืออ่าวฉลองบนเกาะภูเก็ตเพียงแค่นั่งเรือราวๆ 15 นาที แต่เกาะนี้กลับต่างออกไปโดยสิ้นเชิง ทั้งเกาะยังไม่มีไฟฟ้าใช้ แน่นอนว่าน้ำประปาก็ด้วย! เนื้อที่ราว 2,500 ไร่ จากทั้งหมดเป็นเขตป่าสงวนจ้ะ บนเกาะนี้มีชุมชนเล็กๆ ตั้งอยู่ ชื่อว่า 'ชุมชนเกาะโหลน-ราไวย์' ประกอบไปด้วยประชากรทั้งหมดราว 100 คน จาก 30 กว่าครัวเรือน ทุกบ้านบนเกาะนี้ผลิตไฟฟ้าใช้เองจากแผงโซล่าร์เซลล์ และใช้น้ำซับที่เกิดตามธรรมชาติจากบนยอดเขา
มุมยอดฮิตบนเกาะโหลน
บนเกาะนี้มีโรงเรียนที่เข้าใจว่าน่าจะมีนักเรียนน้อยที่สุดในประเทศไทย ซึ่งตอนที่ป้าไป นับนักเรียนได้ 3 คนถ้วนพอดี ประกอบด้วยนักเรียน ป.2 จำนวนหนึ่งคน นั่งเรียนข้างกันกับนักเรียนชั้น ป.1 จำนวนหนึ่งคนถ้วนเช่นกัน ส่วนห้องถัดไปนั้น เป็นนักเรียนชั้นอนุบาลหนึ่งอีกหนึ่งคน นับรวมกันทั้งโรงเรียนได้ 3 คนถ้วนพอดีพอดิบ ไม่ขาดไม่เกิน! ... จริงๆ แล้วโรงเรียนเกาะโหลนแห่งนี้ เปิดสอนตั้งแต่ชั้นอนุบาล 1 จนถึงประถม 6 แต่ที่นักเรียนมีอยู่แค่นี้ก็เนื่องจากส่วนใหญ่เลือกจะนั่งเรือไปเรียนบนฝั่งภูเก็ตกันหมดนั่นเองจ้า
แล้วป้าจะพามาเกาะนี้ทำไม?? ก็เพราะว่าบนเกาะนี้นอกจากจะยังสด สะอาด สมบูรณ์และคงความบริสุทธิ์ไว้ได้อย่างน่าแปลกใจ ทั้งที่อยู่ใกล้ฝั่งภูเก็ตแค่นิดเดียวแล้ว กิจกรรมที่สามารถข้ามมาทำมาเที่ยวกันได้ก็ยังน่าสนใจไม่น้อย ตั้งแต่การล่องเรือไปตกปลาด้วยเบ็ดภูมิปัญญาชาวบ้านแบบที่ใช้กันตั้งแต่โบราณจนถึงปัจจุบันนี้ หน้าตาก็แปลกกว่าที่เคยจินตนาการถึง เพราะเค้าใช้ไม้ไผ่เกลาเว้าสองด้านหัวท้าย จนมองคล้ายตัว H ในภาษาอังกฤษอยู่เหมือนกันนะ จากนั้นจึงพันเอ็นตกปลาเข้าไป ผูกปลายด้านนึงกับตะขอเบ็ดตกปลา เหยื่อที่นิยมใช้คือเนื้อหมึกหั่นเป็นชิ้นๆ หรือเนื้อปลาหั่นชิ้นเช่นกัน จากนั้นก็โยนเบ็ดลงไปให้แตะพื้นทรายใต้ทะเล แล้วก็รอ รอ และรอ ... วันที่ป้าไป ใช้เวลาออกเรือร่วมสองชั่วโมงกว่า ตกมาได้ทั้งปลาเก๋า ปลากะพง และอื่นๆ อีกพวงใหญ่ เป็นการชี้วัดได้เลยว่าทะเลในแถบนี้เค้าอุดมสมบูณ์จริงๆ
นอกจากตกปลา ด้านบนฝั่งยังมีการเปิดสอนเวิร์คช็อปทำผ้าบาติก ผ้าปาเต๊ะ ผ้ามัดย้อม หรือจะหัดทำขนมพื้นถิ่นอย่างขนมม้วนหลอดหรือขนม ... ก็ยังได้ ใครอยากเดินเล่นชมรอบหมู่บ้านบนเกาะก็สนุกนะ ได้เห็นวิถีชีวิตของคนท้องถิ่นชนิดระยะประชิดกันเลยทีเดียวละ หากใครอยากดำน้ำ เค้าก็มีบริการพาไปดำแถบใกล้ๆ เกาะเฮ ที่หลายคนเคยพูดถึงนั่นละ นอกจากนั้นหากใครอยู่ถึงบ่ายๆ เย็นๆ ในวันที่สภาพน้ำขึ้นน้ำลงเป็นใจ เค้ายังมีการพาไปจับ 'โวยวาย' ซึ่งก็คือหมึกสายหนวดยาวๆ นั่นละ แต่ที่ได้สมญานามนี้ก็เพราะว่าเวลาที่โดนจับ หนวดยาวๆ ของมันจะป่ายปีนไปมา มองดูคล้ายคนที่แกว่งแขนแกว่งขาโวยวายอาละวาดอยู่นั่นเอง
รวมฮิตกับข้าวกับปลาที่รวมอยู่ในแพ็คเกจเที่ยว และเวิร์คช็อปทำผ้ามัดย้อม รวมถึงขนมโคและขนมม้วนหลอดจ้า
ซีฟู้ดสดแบบบ้าไปแล้ววววววววว ที่นี่เค้ามีส้มตำผักเหลียงด้วยอ่ะ แบบที่ที่อื่นเอาไปผัดไข่ แต่ที่นี่เค้าเอามาทอดกรอบราดน้ำส้มตำไทย อร่อยดีนะ เห็นว่าหากินได้ที่นี่ที่เดียวในตอนนี้จ้า
ค่าใช้จ่ายรวมๆ ในหนึ่งวันของการเที่ยวเกาะโหลน อยู่คร่าวๆ ที่ประมาณ 1,500 – 1,800 บาท ต่อคน รวมทั้งค่าเรือและค่ามื้ออาหารกลางวันแสนอลังการไปแล้วด้วยนะ ถือว่าพอได้นะ ไม่แรงจนต้องถึงกับตกใจเอามือทาบอกเหงื่อตกกันเกินไป!
จบวันแรกนอกตัวเมืองไป ป้าก็กลับเข้ามาสแตนบายด์นอนในตัวเมืองเพื่อเตรียมเดินชิลล์วันรุ่งขึ้นแบบง่ายๆ ครั้งนี้ป้านอนที่ Blu Monkey Hub and Hotel เพราะเสิร์ชเจอช่วงราคาดี๊ดีใน Traveloka เว็บเจ้าประจำที่ป้าใช้อยู่เรื่อยๆ แล้วพอเข้าไปดูทำเลยและหน้าตาก็โอเคเลยอ่ะ เก๋กู้ดถูกใจวัยฮิปสเตอร์อย่างป้ามากกก ก็จองเลยสิจ๊ะ ที่นี่สนุกตรงที่เค้าไม่มีตู้เย็นให้ในห้องนะ แต่มีน้ำผลไม้ นม และน้ำดื่ม บริการให้ตลอด 24 ชั่วโมง ตรงบริเวณตู้แช่ในล็อบบี้ด้านล่าง ใครใคร่กินตอนไหนก็เดินมาหยิบไป ดีอ่ะ ให้ความรู้สึกต่างๆ ไปจากการนอนโรงแรมปกติ ป้าว่าวัยสะรุ่นเนี่ยน่าจะชอบที่นี่มากกกก ไม่เชื่อไปลอง!!
อ่ะ ไปดูความชิคคูลกันซักนิดละกัน นางได้แรงบันดาลใจในการตกแต่งมาจากบอร์ดเกมแน่นอน
ผ่านเรื่องที่นอนไปละ ไปเที่ยวกันต่อดีกว่าเนอะ
ไหนๆ ไปภูเก็ตทั้งที จะพูดถึงแต่ที่เกาะโหลนก็ยังดูเหมือนไปไม่ทั่วถึง ป้าจึงจะขอพาลัดเลาะเดินดูซอกหลืบที่ไม่ค่อยมีใครได้แวะไปกันซักเท่าไหร่ ในละแวกโซนเมืองเก่าใจกลางภูเก็ตที่หลายต่อหลายคนเคยไปนั่งชิลล์หรือเดินเล่นแวะเซลฟี่กันเป็นที่คุ้นเคยอยู่แล้วนั่นละ ที่แรกที่ป้าจะพาไปคือศาลเจ้า แวะกราบสิ่งศักดิ์สิทธิ์เอาฤกษ์เอาชัยกันก่อนซักแป๊บน่า ศาลเจ้านี้ชื่อศาลเจ้าแสงธรรมจ้ะ เป็นศาลเจ้าเล็กๆ ที่อยู่ฝั่งถนนพังงา เดินผ่านทางเข้าที่เต็มไปด้วยโคมแขวนละลานตาด้านบนเข้าไป จะเจอกับสนามหญ้าและตัวศาลเจ้าขนาดไม่ใหญ่หรอก แต่สวยมากกก สำหรับป้า ด้วยบรรยากาศที่เหมือนหลุดแว้บเข้าไปในอีกโลก สีสวยๆ ที่ป้ายอยู่บนรูปปูนปั้นรอบด้าน ต้นหลิวฟอร์มสวยที่ออกดอกสีแดงสดตัดกับใบเขียวๆ คือดีอ่ะ ป้าชอบ ไม่รู้จะอธิบายยังไงให้เหมือนกับที่เจอกับตัว เอาไว้แวะไปดูกันเองด้วยตาก็แล้วกันนะ
ศาลเจ้าแสงธรรม เล็กๆ แต่สวยดีนา
ไปเลาะกันต่อที่พิพิธภัณฑ์ภูเก็ตไทยหัว เป็นตึกโรงเรียนสอนภาษาจีนอายุกว่า 80 ปี ที่ปัจจุบันเปลี่ยนจากโรงเรียนมาเป็นพิพิธภัณฑ์ หลักๆ ด้านในจัดแสดงเรื่องราวของชาวจีนในภูเก็ตตั้งแต่สมัยก่อนเลยละ เน้นให้เราเรียนรู้วิถีชีวิตของคนจีนโบราณยุคแรกๆ ของเกาะนี้ ตัวพิพิธภัณฑ์มี 2 ชั้น ค่าบัตรเข้าชม 50 บาทมั้ง ถ้าป้าจำไม่ผิดนะ ก็สวยดีนะ มีแสง สี มุมหลายมุมให้แวะถ่ายรูปได้ ถือว่าได้มาเรียนรู้วิถีชีวิตของเจ้าถิ่นเค้าด้วย ลองไปเดินดูก่อนก็ได้ โดยส่วนตัวป้าว่ามันก็เพลินๆ ดีนะ
อีกที่คือร้านตีเหล็กด้วยมือ อันถือเป็นร้านสุดท้ายแล้วในภูเก็ต ที่ยังคงเปิดกิจการอยู่จนถึงปัจจุบัน แม้ว่าจะไม่ได้ขายดีมากมาย แต่ก็ยังคงเปิดร้านไว้ให้คนรุ่นใหม่ได้มีโอกาสไปยืนดูกรรมวิธีกันชนิดระยะประชิด ใครสนใจลองแวะไปดูได้จ้ะ อยู่ใกล้ๆ กับร้านระย้าที่เราคุ้นหูกันนั่นละ หาไม่ยากหรอก
จากร้านตีเหล็ก เดินข้ามฝั่งมาอีกนิดเดียวจะเจอกับซอยรมณีย์ ซอยฮิตที่ทุกคนที่มาเยือนภูเก็ตน่าจะต้องแวะมาแชะภาพกันไว้มั่งละ เพราะไม่งั้นเหมือนมาไม่ถึงนะเอ้า ซอยนี้ดีเด็ดตรงที่มีตึกเก่าหน้าตาสวยด้วยทั้งสีสันสดจี๊ดติดๆ กันแบบเจิดจรัสสายตามากกก แถมยังมีปูนปั้นสมัยเก่าที่ลวดลายแปลกตาให้ดูกันเพลินๆ อีกด้วยละ ก็สนุกดี ... เดินทะลุปากซอยออกมายังถนนถลางที่สองฝั่งเต็มไปด้วยตึกเก่า แหงะหน้ามองบนกันนิด จะสบตากับหนูมาร์ดีที่เหล่าเด็กแนวฮิปสเตอร์ล้วนรู้จักกันดี ฝีมืออาร์ทิสต์หนุ่มชาวไทยที่ป่านนี้กลายเป็นกราฟฟิตี้ชื่อเสียงดังไปไกลถึงดาวอังคารแล้วละมั้ง!!!