หลังจากที่ได้ตั้งกระทู้เรื่องราวเกี่ยวกับความเหงาที่ผมก็ไม่เข้าใจว่ามันเกิดขึ้นมาตอนไหน จนกระทั่งผมรู้ตัวอีกที ร่างกายผมก็ไม่ปกติไปซะแล้ว ...
ชีวิตผมยังดำเนินต่อไป โดยมีเขาอยู่ข้างๆ บางเวลา ตามปกติ แต่เรื่องของความคิด ผมสามารถออกมาจากความคาดหวัง ที่เหมือนจะเป็นเรื่องลมๆ แล้งๆ นั้นได้ ภายในเวลาแค่ไม่กี่วัน หลังจากเขากลับมา
อย่างที่บอกไปในกระทู้ที่แล้ว ว่าผมจะตั้งใจเลิกมองไอ้จุดเขียว ที่มันแสดงสถานะออนไลน์นั่น แล้วหากิจกรรมอย่าอื่นทำ ก่อนที่ผมจะตายคาเก้าอี้หน้าโต๊ะคอม ... เรื่องคิดฆ่าตัวตาย ยังไม่อยู่ในสารบบความคิดของผมครับ
เรากลับมาเป็นปกติ ใช่ครับ "เรา" ... เขายังไปรับ ไปส่งผมทำงานตลอด พาไปกินข้าว ส่วนใหญ่ก็เป็นเขาที่สั่งอาหาร และรู้ว่าจะต้องสั่งอะไร ที่ผมจะกินได้ และชอบ เขารู้ว่าผมกินกาแฟแบบไหน ร้านไหน เพราะผมมักหลอกตัวเองว่าผมกินกาแฟอะไรก็ได้ ร้านไหนก็ได้ แค่ขอให้เป็นกาแฟเย็น แต่เปล่า เขาบอกว่าถ้าเป็นร้านอื่น สูตรอื่น ผมจะกินไม่หมดแก้ว เขาต้องซื้อจากสองร้านนี้เท่านั้น ... ผมลองนึกย้อนกลับไปดู ใช่ มันเป็นเรื่องจริงเว้ย
หลังจากผมเงียบ เพื่อทบทวนเรื่องกาแฟ เขาก็บอกกับผมว่า เขาชอบกินโกโก้เย็น ... บอกทำไม?
ยังมีเรื่องเล็กๆ น้อยๆ อีกมากมาย ที่เวลาไปด้วยกัน เขาชอบทำให้ ... ผมเล่าเรื่องพวกนี้ เพื่อจะบอกพวกคุณว่า นี่แหล่ะเหตุผลที่ผมเพ้อหาเขาอยู่ทุกวัน จนไม่อยากจะทำอะไร จนร่างกายผมฟ้องว่าผมไม่ไหว จนผมต้องลุกมาปฏิวัติตัวเอง
หลังจากที่เขากลับมาทำทุกอย่างข้างผมเหมือนเดิม ผมก็ตั้งใจว่าต้องนอนให้มากกว่านี้ กินให้เป็นเวลา และเป็นปกติ เพราะผมคิดไปเองว่า อาการมือสั่นในวันนั้น เป็นอาการของคนที่พักผ่อนน้อย ทานอาการน้อย ... แต่ผมทำไม่ได้
ผมยังนอนวันละ 2 ชั่วโมง ไม่เกินนี้ ถ้าคืนไหนนอนไว ผมก็ต้องตื่นมานอนตาแข็ง จนกว่าจะเช้า มันทรมานมากนะครับสำหรับผม แต่มันหลับไม่ได้จริงๆ
ผมกินข้าวมื้อละ สาม - สี่คำ ... ผมไม่หิว ถ้ากินมากกว่านี้ ผมจะอ้วก
ผมบอกตัวเองทุกวันสามเวลาก่อนอาหาร และหลังจากสะดุ้งขึ้นมากลางดึกว่า ... "เขากลับมาแล้วนะ เขากับมาอยู่ข้างๆ เราแล้ว เขาไม่ได้ไปไหน เรายังโทรคุยกัน เขารับสายผม เขาโทรหาผม ส่งข้อความหากัน ทุกอย่างเหมือนปกติ แต่ทำไมถึงนอนไม่หลับ ทำไมถึงไม่กินข้าวแบบนี้" ... ถึงแม้จะอยู่คนเดียวในห้อง ผมก็ยังไม่ร้องไห้กับเรื่องนี้ ทำไมน้ำตาผมไม่เคยไหลก็ไม่รู้ ทั้งๆ ที่หัวใจมันไม่ไหวแล้ว
ผมคิดว่า ผมจะตั้งกระทู้เพื่อระบายความในใจอีก แต่ขอให้มีเรื่องเล่า เพื่อเก็บเรื่องราวอีกสักหน่อย เพราะผมอยากเล่าเรื่องให้เป็นปัจจุบันที่สุด ... จนเหตุการณ์นี้เกิดขึ้น
ผมมองนาฬิกาที่แขวนไว้ปลายเตียงครั้งล่าสุด มันบอกเวลา 02:35 และผมสะดุ้งตัวตื่นตอน 04:57 (ผมยังจำตัวเขการนอน และการตื่นได้แม่นยำ เหมือนที่จำเรื่องราวที่เขาทำให้ผม ที่ทำให้ผมคิดว่าผมรักเขาได้แม่นยำเหมือนกัน)
ผมนอนลืมตามองเพดาน ฟังเสียงรถรา ฟังเสียงนก สมองว่างเปล่า ไม่ได้คิดเรื่องอะไรเป็นพิเศษ จนเหลือบมองนาฬิกาอีกที ก็รู้ว่าเหลืออีก ไม่ถึงสิบนาทีจะหกโมงเช้า ผมต้องลุกอาบน้ำ ไปทำงานแล้ว ก็เลยตั้งสติอีกครั้งนึง และยันตัวลุกขึ้น ... เมื่อยืนได้เกือบตรงทั้งสองขา โลกของผมก็ดับ ทุกอย่างมืด ร่างกายผม ไม่มีแรง ผมเซจนเกือบล้ม โชคดี ที่หลังผมไปฟาดกับขอบหน้าต่าง และหัวไปฟาดกับเหล็กดัด
ผมคิดว่าผมใช้เวลาตรงนั้นไปไม่ถึงนาทีด้วยซ้ำ แต่มันนานเกือบชั่วโมงในความคิดของผม
ผมเดินไปตั้งสติในห้องน้ำ ทบทวน และเหม่อ ... ผมออกมาหาข้าวกินก่อนไปทำงาน ตั้งใจว่าจะต้องกินให้อิ่ม เพราะนี่มันไม่ไหวแล้ว ร่างกายมันเริ่มหนักขึ้นทุกวัน ... น้ำหนักผมลดไปเกือบสิบกิโล ในเวลาไม่ถึงเดือน ... แต่ผมก็รู้สึกว่าตัวเองจะอ้วก เมื่อตักข้าวคำที่สี่เข้าปาก ...
ตอนนี้ผมนอนอยู่บนที่นอน เตียงนุ่มๆ แอร์เย็นๆ ผมเปิดเพลงฟัง และไม่เปิดเฟสบุ๊ค ... ตั้งใจจะนอนหลับให้นานกว่าเมื่อคืน ... ขอให้ความหวังของผมเป็นจริงด้วยเถอะครับ ...
เรื่องเล่า (ไร้สาระ)
ชีวิตผมยังดำเนินต่อไป โดยมีเขาอยู่ข้างๆ บางเวลา ตามปกติ แต่เรื่องของความคิด ผมสามารถออกมาจากความคาดหวัง ที่เหมือนจะเป็นเรื่องลมๆ แล้งๆ นั้นได้ ภายในเวลาแค่ไม่กี่วัน หลังจากเขากลับมา
อย่างที่บอกไปในกระทู้ที่แล้ว ว่าผมจะตั้งใจเลิกมองไอ้จุดเขียว ที่มันแสดงสถานะออนไลน์นั่น แล้วหากิจกรรมอย่าอื่นทำ ก่อนที่ผมจะตายคาเก้าอี้หน้าโต๊ะคอม ... เรื่องคิดฆ่าตัวตาย ยังไม่อยู่ในสารบบความคิดของผมครับ
เรากลับมาเป็นปกติ ใช่ครับ "เรา" ... เขายังไปรับ ไปส่งผมทำงานตลอด พาไปกินข้าว ส่วนใหญ่ก็เป็นเขาที่สั่งอาหาร และรู้ว่าจะต้องสั่งอะไร ที่ผมจะกินได้ และชอบ เขารู้ว่าผมกินกาแฟแบบไหน ร้านไหน เพราะผมมักหลอกตัวเองว่าผมกินกาแฟอะไรก็ได้ ร้านไหนก็ได้ แค่ขอให้เป็นกาแฟเย็น แต่เปล่า เขาบอกว่าถ้าเป็นร้านอื่น สูตรอื่น ผมจะกินไม่หมดแก้ว เขาต้องซื้อจากสองร้านนี้เท่านั้น ... ผมลองนึกย้อนกลับไปดู ใช่ มันเป็นเรื่องจริงเว้ย
หลังจากผมเงียบ เพื่อทบทวนเรื่องกาแฟ เขาก็บอกกับผมว่า เขาชอบกินโกโก้เย็น ... บอกทำไม?
ยังมีเรื่องเล็กๆ น้อยๆ อีกมากมาย ที่เวลาไปด้วยกัน เขาชอบทำให้ ... ผมเล่าเรื่องพวกนี้ เพื่อจะบอกพวกคุณว่า นี่แหล่ะเหตุผลที่ผมเพ้อหาเขาอยู่ทุกวัน จนไม่อยากจะทำอะไร จนร่างกายผมฟ้องว่าผมไม่ไหว จนผมต้องลุกมาปฏิวัติตัวเอง
หลังจากที่เขากลับมาทำทุกอย่างข้างผมเหมือนเดิม ผมก็ตั้งใจว่าต้องนอนให้มากกว่านี้ กินให้เป็นเวลา และเป็นปกติ เพราะผมคิดไปเองว่า อาการมือสั่นในวันนั้น เป็นอาการของคนที่พักผ่อนน้อย ทานอาการน้อย ... แต่ผมทำไม่ได้
ผมยังนอนวันละ 2 ชั่วโมง ไม่เกินนี้ ถ้าคืนไหนนอนไว ผมก็ต้องตื่นมานอนตาแข็ง จนกว่าจะเช้า มันทรมานมากนะครับสำหรับผม แต่มันหลับไม่ได้จริงๆ
ผมกินข้าวมื้อละ สาม - สี่คำ ... ผมไม่หิว ถ้ากินมากกว่านี้ ผมจะอ้วก
ผมบอกตัวเองทุกวันสามเวลาก่อนอาหาร และหลังจากสะดุ้งขึ้นมากลางดึกว่า ... "เขากลับมาแล้วนะ เขากับมาอยู่ข้างๆ เราแล้ว เขาไม่ได้ไปไหน เรายังโทรคุยกัน เขารับสายผม เขาโทรหาผม ส่งข้อความหากัน ทุกอย่างเหมือนปกติ แต่ทำไมถึงนอนไม่หลับ ทำไมถึงไม่กินข้าวแบบนี้" ... ถึงแม้จะอยู่คนเดียวในห้อง ผมก็ยังไม่ร้องไห้กับเรื่องนี้ ทำไมน้ำตาผมไม่เคยไหลก็ไม่รู้ ทั้งๆ ที่หัวใจมันไม่ไหวแล้ว
ผมคิดว่า ผมจะตั้งกระทู้เพื่อระบายความในใจอีก แต่ขอให้มีเรื่องเล่า เพื่อเก็บเรื่องราวอีกสักหน่อย เพราะผมอยากเล่าเรื่องให้เป็นปัจจุบันที่สุด ... จนเหตุการณ์นี้เกิดขึ้น
ผมมองนาฬิกาที่แขวนไว้ปลายเตียงครั้งล่าสุด มันบอกเวลา 02:35 และผมสะดุ้งตัวตื่นตอน 04:57 (ผมยังจำตัวเขการนอน และการตื่นได้แม่นยำ เหมือนที่จำเรื่องราวที่เขาทำให้ผม ที่ทำให้ผมคิดว่าผมรักเขาได้แม่นยำเหมือนกัน)
ผมนอนลืมตามองเพดาน ฟังเสียงรถรา ฟังเสียงนก สมองว่างเปล่า ไม่ได้คิดเรื่องอะไรเป็นพิเศษ จนเหลือบมองนาฬิกาอีกที ก็รู้ว่าเหลืออีก ไม่ถึงสิบนาทีจะหกโมงเช้า ผมต้องลุกอาบน้ำ ไปทำงานแล้ว ก็เลยตั้งสติอีกครั้งนึง และยันตัวลุกขึ้น ... เมื่อยืนได้เกือบตรงทั้งสองขา โลกของผมก็ดับ ทุกอย่างมืด ร่างกายผม ไม่มีแรง ผมเซจนเกือบล้ม โชคดี ที่หลังผมไปฟาดกับขอบหน้าต่าง และหัวไปฟาดกับเหล็กดัด
ผมคิดว่าผมใช้เวลาตรงนั้นไปไม่ถึงนาทีด้วยซ้ำ แต่มันนานเกือบชั่วโมงในความคิดของผม
ผมเดินไปตั้งสติในห้องน้ำ ทบทวน และเหม่อ ... ผมออกมาหาข้าวกินก่อนไปทำงาน ตั้งใจว่าจะต้องกินให้อิ่ม เพราะนี่มันไม่ไหวแล้ว ร่างกายมันเริ่มหนักขึ้นทุกวัน ... น้ำหนักผมลดไปเกือบสิบกิโล ในเวลาไม่ถึงเดือน ... แต่ผมก็รู้สึกว่าตัวเองจะอ้วก เมื่อตักข้าวคำที่สี่เข้าปาก ...
ตอนนี้ผมนอนอยู่บนที่นอน เตียงนุ่มๆ แอร์เย็นๆ ผมเปิดเพลงฟัง และไม่เปิดเฟสบุ๊ค ... ตั้งใจจะนอนหลับให้นานกว่าเมื่อคืน ... ขอให้ความหวังของผมเป็นจริงด้วยเถอะครับ ...