ยกฟ้อง เพราะเหตุอะไร...? หาใช่! ยกฟ้องเพราะเหตุจำเลยพวกใคร ไม่.



ได้อ่านหลายๆ กระทู้ และมักได้เห็นการแสดงความคิดเห็นเช่นนี้อยู่บ่อยครั้ง จนเกิดความสงสัยว่า ยกฟ้อง เพราะเหตุอะไร และทำไมความคิดเห็นเช่นนี้ มีอยู่ในหลายๆ กระทู้ เจตนาเพื่อเหตุอะไร เช่น แสดงข้อเท็จจริง แซะพรรคการเมืองเก่าแก่ และ/หรือ ทำลายความน่าเชื่อถือของกระบวนการยุติธรรมไทย โดยเฉพาะอำนาจตุลาการ เป็นต้น

และจากการค้นหาอ่าน ผ่านGoogle ได้พบข้อมูลที่น่าสนใจในเว็บไซต์หนึ่ง ความบางส่วนกล่าวถึงเหตุผลการยกฟ้อง ดังนี้
"
การชั่งน้ำหนักพยานหลักฐานในคดีแพ่งกับคดีอาญาแตกต่ากัน คดีแพ่งมีหลักใหญ่บัญญัติไว้ใน มาตรา 104 ของประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง โดยให้ศาลมีอำนาจเต็มที่ในอันที่จะวินิจฉัยว่า พยานหลักฐานที่คู่ความนำสืบมานั้น จะเกี่ยวกับประเด็นและเป็นอันเพียงพอให้เชื่อฟังเป็นยุติได้หรือไม่ แล้วพิพากษาคดีไปตามนั้น ส่วนคดีอาญามีหลักใหญ่บัญญัติอยู่ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 227 ว่าให้ศาลใช้ดุลพินิจชั่วน้ำหนักพยานหลักฐานทั้งปวง อย่าพิพากษาลงโทษจนกว่าจะแน่ใจว่ามีการกระทำผิดจริง และจำเลยเป็นผู้กระทำความผิดนั้น และเมื่อมีความสงสัยตามสมควรว่า จำเลยได้กระทำผิดหรือไม่ ให้ยกประโยชน์แห่งความสงสัยนั้นให้จำเลย ...

... 3. เหตุที่จะยกฟ้องคดีอาญานั้น มีบัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 185 ซึ่งบัญญัติว่าถ้าศาลเห็นว่าจำเลยมิได้กระทำผิดก็ดี การกระทำของจำเลยไม่เป็นความผิดก็ดี คดีขาดอายุความก็ดี หรือมีเหตุตามกฎหมายที่จำเลยไม่ควรรับโทษก็ดี ให้ศาลยกฟ้อง

        เหตุที่อ้างว่าจำเลยมิได้กระทำผิดนั้นเป็นปัญหาข้อเท็จจริง เหตุที่ว่าการกระทำของจำเลยไม่เป็นความผิดเป็นข้อกฎหมาย ส่วนเหตุที่ว่าคดีขาดอายุความหรือไม่ ต้องฟังข้อเท็จจริงก่อนแล้วจึงนำมาปรับในข้อกฎหมายว่า คดีขาดอายุความหรือไม่

        เหตุยกฟ้องเพราะจำเลยไม่ได้กระทำผิดอาจเป็นเพราะ

        ก. พยานโจทก์ให้การแตกต่างขัดแย้งกันในข้อสำคัญ มิใช่แตกต่างขัดแย้งกันเพียงพลความ

        อย่างไรเป็นข้อสำคัญ อย่างไรเป็นพลความนั้น ต้องพิจารณาดูว่าสิ่งใดเป็นรายละเอียดที่คนธรรมดาจะต้องพิจารณาโดยละเอียดจึงจะรู้ได้สิ่งนั้นเป็นพลความ แต่ถ้าสิ่งใดเมื่อพิจารณาเพียงเล็กน้อย ก็จะทราบได้ถือว่าเป็นข้อสำคัญ เช่น มีคนร้ายชิงทรัพย์ มีพยาน 2 ปาก ปากหนึ่งว่าคนร้ายไว้หนวด โพกศีรษะ ส่วนอีกปากหนึ่งเบิกความว่า คนร้ายไม่ได้ไว้หนวดและไม่ได้โพกศีรษะ อย่างนี้เป็นการแตกต่างในข้อสำคัญ เพราะคนธรรมดาเมื่อมองไปที่บุคคลใดย่อมเห็นได้ทันทีว่าบุคคลนั้นไว้หนวดหรือโพกศีรษะหรือไม่ แต่ถ้าพยานปากหนึ่งว่าคนร้ายนุ่งกางเกงขายาวสีดำ อีกปากหนึ่งว่าสีเทา หรือพยานปากหนึ่งว่าคนร้ายใส่เสื้อสีขาว อีกปากหนึ่งว่าเสื้อสีนวล อย่างนี้เรียกว่าเป็นเรื่องพลความ เพราะสีของกางเกงหรือสีของเสื้อที่ใกล้เคียงกันเช่นนี้ เป็นเรื่องที่ต้องใช้ความสังเกตจึงจะบอกได้ถูกต้อง การแตกต่างเช่นนี้จึงเป็นการแตกต่างกันในพลความ หรือกรณีเช่นพยานเบิกความว่าคนร้ายมา 1 คน อีกปากหนึ่งว่ามา 2 คน ถือเป็นข้อสำคัญ แต่ถ้าหากพยานคนหนึ่งเบิกความว่าคนร้ายวิ่งไปทางทิศใต้ อีกปากหนึ่งว่าวิ่งไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ ถือเป็นพลความ หรือพยานเบิกความว่าได้ยินเสียงปืนดัง 2 นัด อีกปากหนึ่งว่าดัง 3 นัด ก็เป็นพลความ แต่ถ้าหากว่าปากหนึ่งว่าดัง 1 นัด แต่อีกปากหนึ่งว่าดัง 10 นัด เช่นนี้ถือเป็นการแตกต่างในข้อสำคัญได้ เพราะระหว่างเสียงปืนดัง 1 นัด กับ 10 นัดนั้น บุคคลธรรมดาไม่ต้องใช้ความสังเกตก็บอกได้ถูกต้องว่าต่างกันมาก

        ข. พยานโจทก์ให้การขัดต่อเหตุผล คือพยานโจทก์อาจเบิกความสอดคล้องกันดี แต่คำเบิกความนั้นเองขัดเหตุผลอยู่ในตัว กรณีเช่นนี้ย่อมรับฟังคำพยานนั้นไม่ได้ ศาลต้องยกฟ้อง เช่น พยานเบิกความว่าเห็นคนร้ายใช้ปืนยิงสวนออกมาเมื่อผู้เสียหายวิ่งเข้าไป แต่ปรากฏว่าผู้เสียหายมีบาดแผลที่ข้างหลังแห่งเดียว หรือพยานเบิกความว่าเห็นจำเลยนั่งอยู่ที่พื้นยิงผู้ตายซึ่งยืนอยู่ วิถีกระสุนต้องแล่นจากต่ำไปหาสูง ถ้าบาดแผลของผู้ตายอยู่ในระดับแนวตรงเช่นนี้ย่อมขัดต่อเหตุผล ในกรณีที่พยานเบิกความเกี่ยวกับเวลาที่เกิดเหตุหรือเวลาที่เห็นเหตุการณ์โดยเฉพาะในต่างจังหวัดต้องระมัดระวังให้มาก เพราะส่วนมากชาวบ้านมักจะเบิกความว่าวันนั้นเป็นวันข้างขึ้นหรือข้างแรมเสมอ ผู้พิพากษาจึงควรต้องมีความรู้ความเข้าใจในเรื่องการคิด คำนวณ เวลาทางจันทรคติไว้ด้วยว่า ถ้าขึ้นกี่ค่ำหรือแรมกี่ค่ำ ดวงจันทร์จะขึ้นและตกในเวลาเท่าใด ซึ่งมีหลักอยู่ว่าให้เอา 8 คูณจำนวนค่ำ ผลลัพธ์ที่ได้มาเลขตัวหน้าจะเป็นชั่วโมง แล้วเอา 6 ไปคูณกับเลขหลักหน่วยของผลลัพธ์นั้น (ถ้ามี) อีกครั้งหนึ่ง ผลที่ได้ออกมาจะเป็นนาที รวมแล้วจะเป็นเวลาที่ดวงจันทร์ขึ้นหรือตกในวันนั้น ทั้งนี้ โดยใช้หลักธรรมชาติเข้าช่วยเพราะถ้าเป็นเวลา ข้างขึ้น ดวงจันทร์จะขึ้นในเวลา 6 โมงเย็น (18.00 น.) เสมอ เพราะฉะนั้น เวลาที่คำนวณได้ดังกล่าวข้างต้น จะเป็นเวลาที่ดวงจันทร์ตก ส่วนถ้าเป็น ข้างแรม ดวงจันทร์จะตกในเวลา 6 โมงเช้า (6.00 น.) เสมอ เวลาที่คำนวณได้จะเป็นเวลาที่ดวงจันทร์ขึ้นในคืนนั้น ๆ เช่น พยานเบิกความว่า วันเกิดเหตุเป็นวันแรม 4 ค่ำ จะคำนวณหาเวลาที่ดวงจันทร์ขึ้นในคืนนั้นได้โดยเอา 8 คูณ 4 ได้ผลลัพธ์เป็น 32 ซึ่ง 3 คือจำนวนชั่วโมง หมายถึง 3 ทุ่ม (นับจาก 6 โมงเย็น) อยากทราบเวลาให้ละเอียดลงไปเป็นนาทีก็เอา 6 ไปคูณตัวท้าย (หลักหน่วย) ของผลลัพธ์คือ 2 จะได้ออกมาเป็นนาทีคือ 12 นาที จึงทราบได้ว่าในวันแรม 4 ค่ำ ดวงจันทร์จะขึ้นในเวลา 3 ทุ่ม 12 นาที และตกในเวลา 6 โมงเช้า ดังนั้น ถ้าพยานเบิกความว่าในวันแรม 4 ค่ำนั้น พยานเห็นและจำหน้าคนร้ายได้จากแสงจันทร์ เมื่อเวลาประมาณ 2 ทุ่ม ก็แสดงให้เห็นว่าพยานคนนั้นเบิกความขัดต่อเหตุผลรับฟังมิได้ เพราะตามที่คำนวณแล้วในวันดังกล่าว ดวงจันทร์จะเริ่มขึ้นจากขอบฟ้าเมื่อเวลา 3 ทุ่ม 12 นาที

        ถ้าพยานเบิกความว่า ในวันเกิดเหตุนั้นเป็นวันขึ้น 3 ค่ำ เขาเห็นคนร้ายได้จากแสงจันทร์ และตอนขณะเกิดเหตุเป็นเวลา 2 ทุ่ม ดังนี้ โดยวิธีคำนวณเวลาตามหลักที่กล่าวมาแล้วข้างต้น จะทราบได้ว่าในวันเกิดเหตุ ดวงจันทร์จะขึ้นในเวลา 6 โมงเย็น (18.00 น.) และตกในเวลา 2 ทุ่ม 24 นาที ฉะนั้น จึงทราบได้ว่าข้อความที่พยานเบิกความว่าเห็นคนร้ายด้วยแสงจันทร์จึงเป็นความจริง คือในตอนเวลา 2 ทุ่ม ดวงจันทร์ยังอยู่บนท้องฟ้าแต่จวนจะตกแล้ว

        ค. พยานโจทก์เบิกความเป็นที่สงสัยโดยมีเหตุอันควร ศาลก็ต้องยกฟ้องดังได้อธิบายมาแล้วในตอนแรก ...
"
อ้างอิงURLที่ค้นหาอ่าน:
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
-----------------------

ผมจึงคิดๆ แล้วเห็นว่า ในสภาวะบ้านเมืองที่ตกอยู่ในสถานการณ์ไม่ปกติเช่นนี้ ที่พึ่งพิงสำหรับการอำนวยความเป็นธรรมให้เกิดขึ้นกับประชาชนทุกหมู่เหล่าได้ ควรต้องเป็นอำนาจตุลาการ อำนาจตุลาการ ต้องไม่ตกเป็นเครื่องมือที่ใช้สำหรับการช่วงชิงอำนาจ รักษาอำนาจ และทำลายล้างอำนาจ แห่งการเมืองการปกครอง ไม่ว่าจะของฝ่ายไหนก็ตาม

---------------
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่