หรือนี่คือ Tech Bubble 2.0?


นับตั้งแต่จุดต่ำสุด ณ วิกฤต Subprime ดัชนี NASDAQ ซึ่งเป็นศูนย์รวมหุ้น tech ปรับตัวขึ้นมาจากประมาณ 1,300 จุด ถึง 6,450 จุด หรือคิดเป็นกว่า +400% ยิ่งถ้าดูเป็นรายตัว หุ้น tech ชั้นนำแต่ละตัวพุ่งขึ้นมาอย่างแรงจนแทบร้องของชีวิต เช่น Alphabet เพิ่มขึ้นจากจุดเดียวกันในปี 2009 กว่า +475% Amazon ระเบิดพลังดีดขึ้นมากว่า +1,500% Netflix จัดไป +3,250% ส่วน Facebook สร้างผลตอบแทนนับตั้งแต่วัน IPO ไปกว่า 350% กลุ่ม tech พุ่งขึ้นมาแรงขนาดนี้ คำถามจึงตามมาว่า “มันฟองสบู่แล้วหรือเปล่า?”

นิยามของฟองสบู่ในโลกการเงินคือ การที่ราคาสินทรัพย์ (price) พุ่งขึ้นเหนือมูลค่าพื้นฐาน (fundamental value) ของมันมาก ๆ ดังนั้น ถ้าถามผมว่ามันฟองสบู่หรือเปล่า ก็ต้องขอสารภาพเลยครับว่าไม่รู้เหมือนกัน เพราะว่าไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญการลงทุนในหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี ทำให้ไม่สามารถประมาณได้เลยว่ามูลค่าพื้นฐานของหุ้นกลุ่มนี้ควรเป็นเท่าไร

แต่ยังไงก็ดี เพื่อให้เห็นภาพที่ชัดเจนขึ้น เราสามารถเปรียบเทียบสถานการณ์ของหุ้นกลุ่ม tech ตอนนี้กับฟองสบู่หุ้นกลุ่ม tech ในช่วงปี 1997-2001 ที่เรียกว่า Dot-com bubble ได้ โดยผมรวบรวมความแตกต่างไว้ดังต่อไปนี้ครับ

1. ความสามารถในการทำกำไร: ช่วง Dot-com หุ้นกลุ่ม tech ส่วนใหญ่นั้นอย่าว่าแต่ไม่มีความสามารถทำกำไร เพราะยังไม่มี business model ที่เป็นรูปเป็นร่างด้วยซ้ำ ตอนนั้นกระแสเทคโนโลยีมาแรงมาก บางบริษัทบ้านๆ แค่เปลี่ยนชื่อบริษัทตัวเองให้มีคำว่า dot com ราคาก็สามารถเพิ่มขึ้นได้ 2 -3 เท่าแล้ว แต่ตอนนี้หุ้นกลุ่ม tech ส่วนใหญ่มีความสามารถในการทำกำไรอย่างเป็นรูปธรรม โดยมีอัตรากำไรจากการดำเนินงานเฉลี่ยสูงกว่า 15% ตลอดช่วง 5 ปีที่ผ่านมา แล้วยังสามารถสร้างกระแสเงินสดได้อย่างต่อเรื่อง ทุกวันนั้เรามี Apple ที่ทำกำไรจนไม่รู้จะเอาเงินสดไปลงทุนอะไรต่อ มี Amazon ที่แย่ง Market Share จากร้านค้าแบบเดิมๆ อย่างต่อเนื่อง มี Google กับ Facebook ที่สร้างรายได้มหาศาลจากช่องทางการโฆษณาใหม่ๆ ฯลฯ

2. มูลค่าเชิงเปรียบเทียบ: ช่วง Peak ของ Dot-com นั้น NASDAQ มีค่า PE ratio สูงแบบบ้าคลั่งถึง 175 เท่า ในขณะที่ปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ 25 เท่า (จริงๆ ก็แอบสูงนะครับ ถ้ากำไรโตไม่ทันก็เสี่ยงย่อตัวมาก)

3. มาตรฐาน IPO: ช่วง Dot-com หุ้นขยะบางตัวสามารถเข้ามาจดทะเบียนได้โดยไม่มีรายได้ด้วยซ้ำ ปัจจุบันมาตรฐานการออก IPO ดีขึ้นมาก โดยบริษัทที่จะเข้ามาจดต้องผ่านเงื่อนไขอย่างเช่น รายได้อย่างน้อยประมาณ 90 ล้านเหรียญ มีกระแสเงินสดสะสมสามปีอย่างน้อย 27.5 ล้านเหรียญ ฯลฯ

4. ความเข้าในของนักลงทุน: ปัจจุบันเทคโนโลยีเข้ามามีส่วนในชีวิตประจำวันของทุกคนอย่างไม่สามารถแยกได้ ที่สำคัญทุกคนเข้าใจประโยชน์ของเทคโนโลยีมากขึ้น ต่างจากช่วง Dot-com ที่ความบ้าเห่อเทคโนโลยีมีมากกว่าความเข้าใจ

5. การลงทุน และการก่อหนี้ของบริษัท: เท่าที่สังเกตดูการเริ่มทำธุรกิจแบบ tech startup ในสมัยนี้มีต้นทุนการทำธุรกิจน้อยกว่า เพราะไม่จำเป็นต้องลงทุนก้อนใหญ่ซื้อ Hardware แพงๆ อย่างในสมัย Dot-com เพราะต้นทุนของเทคโนโลยีลดลงไปมาก ทำให้สามารถทำธุรกิจแบบ asset light model ได้ง่ายกว่า และลดความจำเป็นในการก่อนหนี้ของบริษัทด้วย

ดังนั้น ถึงแม้ไม่รู้ว่าตอนนี้เราอยู่ใน tech bubble รอบใหม่หรือเปล่า แต่อย่างน้อยเราก็พอรู้ว่าการปรับตัวขึ้นของหุ้นกลุ่ม tech ในครั้งนี้มันสมเหตุสมผลกว่ายุค Dot-com มากนั่นเองครับ ยังไงก็ตาม เราคงต้องตามเทรนด์ขาขึ้นนี้อย่างใกล้ชิด เพราะคนมักชอบพูดกันว่า “This time it’s different!” หรือขาขึ้นรอบนี้ไฉไลกว่าเดิม ก่อนจะเกิดวิกฤตทุกครั้งไป!

ติดตามเพิ่มเติมได้ที่: https://www.facebook.com/thecoffeeshopinvestor/ ครับ ยิ้ม
แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่