ขอแชร์ประสบการณ์ลาออกจากงานแบบไม่ไตร่ตรองให้ดี

ตอนนี้ผมมาทำงานที่ใหม่ครับในตำแหน่ง "เจ้าหน้าที่ลูกค้าสัมพันธ์ต่างประเทศ" ตอนแรกที่ผมสมัครงานนี้เพราะอยากทำงานในสายงานที่ไม่ต้องต่อรองครับ แน่นอนครับผมไม่ชอบการต่อรองเลย ที่เก่าผมเป็น "เจ้าหน้าที่จัดซื้อภายในประเทศ" (หลัง ๆ มานี้ควบจัดจ้างด้วยนะครับ)ซึ่งผมไม่ชอบเลยผมไม่ชอบการที่ต้องมานั้งหาราคาคุยกับหลาย ๆ ที่เพื่อหาราคาและข้อเสนอที่ดีที่สุดทั้ง ๆ ที่ส่วนใหญ่ก็เหมือน ๆ กันเพราะบริษัทผมไม่ได้มีโวลลุมการซื้อต่อรอบที่เยอะพวกผู้ขายเลยยื่นข้อเสนอคล้าย ๆ กันไปหมด รวมทั้งพอมาทำควบจัดจ้างวัน ส.-อา. ผมก็ต้องมาทำงานด้วยนะครับถ้ามีซัฟพลายเออร์เข้ามาทำงานให้พื้นที่แต่ก็ได้เป็นโอทีไป แต่เงินเดือนไม่เพิ่มให้นะครับซึ่งเรื่องเงินเดือนเนี้ยผมเคยคุยกับหัวหน้าแล้วแต่ก็เงียบไปซึ่งผมก็ทนทำมาอีก 2 ปีเลยนะครับรวมเวลาก่อนหน้าก็ 4 ปีเต็มทำตั้งแต่เรียนจบป.ตรี ซึ่งตรงนี้แหละที่ผมว่ามันมากไปผมเหนื่อยแล้วผมไม่ไหว

     ผมต้องขอเล่าภาพรวมของบริษัทเก่าของผมก่อนนะครับ เป็นบริษัทเล็ก ๆ ครับมีพนักงานไม่ถึงร้อยคน บริษัทดำเนินกิจการนำเข้าอาหารสดจากต่างประเทศมาจำหน่ายให้กับบริษัทห้างร้านต่าง ๆ ทั่วประเทศไทย นำเข้าหลัก ๆ มาจาก ญี่ปุ่น นิวซีแลนด์ อเมริกา เกาหลี จีน อินโดนีเซีย ซึ่งบริษัทมีสองส่วนครับคือออฟฟิศกับโกดัง พูดง่าย ๆ ก็ "ซัฟพลายเออร์" นี้ละครับ แล้วก็เงินเดือนที่เก่าผมได้ฐานอยู่ที่ 21,000 บาทครับผมทำตั้งแต่ 15,000 บาท

     หลังจากที่ผมไล่สมัครงานในเน็ตไปเรื่อย ๆ โดยที่ผมโฟกัสไปที่บริษัทต้องใหญ่กว่าบริษัทเก่าที่ผมทำ ซึ่งผมก็ได้ตอบรับเข้าสัมภาษณ์งานหลายที่นะครับแต่ส่วนใหญ่ก็ไม่ผ่านครับ ที่ ๆ ผ่านก็เสนอเงินเดือนให้ต่ำกว่าที่เก่าผมผมเลยปฏิเสธไป จากนั้นผมก็ตั้งใจหาแต่งานครับจนลืมคิดไปถึงเรื่องอื่น ๆ นอกจากเรื่องเงินเดือนครับ เช่น เวลาการทำงาน ขอบข่ายหน้าที่ การเดินทาง ความก้าวหน้าในสายงาน บลาบลาบลาฯ ซึ่งวินาทีนั้นผมได้แต่ภาวนาขอให้ได้งานใหม่เท่านั้นอย่างอื่นผมไม่สนคือช่วงนั้นตาบอดจริง ๆ  

     หลังจากนั้นไม่นานผมก็ได้งานครับเป็นบริษัทสัญชาติมาเลเซีย ซึ่งดำเนินกิจการเกี่ยวกับนำเข้าเมล็ดกาแฟแล้วก็อะไรก็ตามครับที่เกี่ยวกับกาแฟยกเว้นเครื่องทำกาแฟแล้วก็มาขายให้กับร้านกาแฟดัง ๆ ในไทย โดยที่นี้เสนอฐานเงินเดือนให้ผมที่ 23,000 บาทซึ่งออฟฟิศอยู่แถวบางรักครับ แล้วบ้านผมอยู่ที่บางบัวทองครับเป็นไงครับไกลสุดลูกหูลูกตาไหมครับ ซึ่งออฟฟิศเก่าผมอยู่ที่บางใหญ่ ส่วนที่ใหม่ทำงาน จ.-ส. ที่เก่าทำ จ.-ศ. ที่ใหม่เข้างาน 8.00-18.00 ที่เก่าเข้างาน 09.00-17.00 ที่ใหม่ผมใช้เวลาเดินทางเอาแค่ขาไปนะครับอย่างน้อย2ชั่วโมง ที่เก่าฮิฮิ 30 นาทีก็ถึงแล้วครับ ที่ใหม่ผมต้องนั้งรถเมย์มาต่อเรือแล้วมาต่อวินเข้าซอยไปออฟฟิศ ส่วนที่เก่าวินต่อเดียวครับถึงเลยแต่แอบแพงหน่อย 50 บาท ส่วนสวัสดิการณ์เหมือนกันเดี๊ยะ ๆ ครับคือ ปรับเงินเดือนทุกปี โบนัสทุกหกเดือน เอาแค่สองอย่างนี้นะครับสวัสดิการณ์เพราะนอกนั้นอย่างที่ผมบอกครับเหมือนกันแป๊ะ ๆ

     ครับหลังจากที่ตอนนั้นผมลิงโลดกับฐานเงินเดือนที่เพิ่มมาแค่ 2,000 บาทผมก็แจ้งลาออกทันทีครับจนหาคนใหม่มาได้ผมก็เทรนงานให้เดือนกว่า ๆ แล้วผมก็มาเริ่มงานที่ใหม่ครับ มาวันแรกผมนี้ตื้นเต้นมากกกก(+ก.ไปอีกล้านตัว) ที่จะได้ทำในสิ่งที่ตัวเองอยากทำครับแต่!!!!!! มันไม่ใช่อย่างงั้นครับเพราะผมเริ่มได้กลิ่นอะไรแปลก ๆ เพราะงานที่ผมได้เรียนรู้นั้นผมว่ามันคล้าย ๆ พนักงานสั่งจ่ายเช็คซะมากกว่า ผมขอรวบรัดมาที่ 5 เดือน ณ ปัจจุบันตอนนี้เลยนะครับ หน้าที่ของผมคือ ออกเช็คจ่ายเงินพวกซัฟพลายเออร์freight ที่แผนกจัดซื้อต่างประเทศนำเข้าของเข้ามาครับอ้าวแล้ว เจ้าหน้าที่ลูกค้าสัมพันธ์ต่างประเทศ คืออะไรผมมานั้งนึก ๆ ดูแล้วบวกกับที่ถามพี่ในแผนก(ทั้งแผนกมี4คนครับ)ผมก็ได้คำตอบว่า เจ้าหน้าที่ลูกค้าสัมพันธ์ต่างประเทศ ก็คือพวกเราเป็นตัวกลางประสานงานเดินเรื่องจ่ายเงินทั้งหมดที่ ฝ่ายจัดซื้อต่างประเทศ ดิวไว้ไม่ว่าจะเป็นค่าขนส่ง ค่าเลี้ยงรับรอง ค่าเดินทาง ค่าที่พัก ค่าคอมมิสชั่น คือถ้าเป็นเรื่องจ่ายเงิน ๆ ทอง ๆ ของแผนกจัดซื้อต่างประเทศ แผนกผมจะเป็นคนดูแลครับ

     ถึงเวลานี้ผมแบบว่ามันไม่ใช่ในสิ่งที่ผมอยากทำ ตอนแรกผมนึกว่าผมจะได้ทำหน้าที่แบบพาคู่ค้าไปทานข้าว ไปรับที่สนามบิน พาไปรับ-ส่งที่โรงแรม เป็นตัวแทนบริษัทเป็น PR เวลาไปเจอคู่ค้าต่างชาติ ได้ออกข้างนอกแทบทุกวันวัน ๆ มีตารางเข้าพบคนนู้นคนนี้ ไปมอบกระเช่าบ้างตามโอกาส อะไรแบบนี้ครับเพราะที่เก่าผม "เจ้าหน้าที่ลูกค้าสัมพันธ์" เค้าก็ทำหน้าที่แบบนี้ซึ่งผมก็คิดว่าที่นี้จะเป็นแบบนั้นแต่มันเป็นหน้าที่ของแผนกจัดซื้อต่างประเทศทั้งหมดครับ แต่โอเคมันพลาดที่ผมเองที่ตอนนั้นไม่คิดหน้าคิดหลังให้ดี ตอนนี้ผมมาคำนวนรายได้อยากจะบอกว่าเดือน ๆ นึงเหลือเก็บแค่ 4,000 บาทเองครับจากแต่ก่อนเก็บเดือนละ 8,000 บาทสบาย ๆ แล้วพอมาคิด ๆ ดูสายงานตอนนี้ก็คงไม่ก้าวหน้าไปไหนไกลแน่ ๆ แล้วเวลาส่วนตัวก็น้อยลงมากเพราะเวลางานมากขึ้น ทางบ้านก็เริ่มถาม ๆ แล้วว่าไหวไหม เพื่อน ๆ พี่ ๆ น้อง ๆ ก็เริ่มทักว่าคุ้มหรอกับงานที่ใหม่ ซึ่งผมแทบกระอักเลือดตอนโดนถามทุกครั้ง

     จนมาถึงวันนี้ผมก็แค่อยากจะระบายครับเพราะนี้คือตัวอย่างของคนที่ไม่คิดไตร่ตรองการเปลี่ยนงานให้ดีมันอารมณ์ชั่ววูบมาก ๆ แต่ส่งผลในระยะยาวและกับคนรอบข้างด้วย

     อีกเรื่องนะครับไม่รู้มันนอกเรื่องหรือเปล่านะครับ หลังจากห้าเดือนมานี้ผมก็นึกขึ้นได้ว่าผมชอบภาษาญี่ปุ่นผมเคยมีความฝันที่ลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่าผมอยากเป็นล่ามภาษาญี่ปุ่นในโรงงานแต่ตอนนี้ผมก็อายุ 27 เข้าไปแล้วมันจะทันไหมผมไม่รู้ จนผมได้เห็นหลาย ๆ คนตามสื่อที่เค้าเริ่มทำตามฝันตัวเองแม้อายุจะเยอะแล้วก็ยังสามารถทำฝันนั้นให้สำเร็จได้ ผมเลยอยากลองมาเริ่มเรียนภาษาญี่ปุ่นใหม่เมื่อต้นเดือนผมก็สมัครสอบ JLPT5 ไปแล้วด้วยถือว่าเริ่มซะตั้งแต่ตอนนี้เลยละกัน ส่วนเรื่องงานผมคงต้องก้มหน้าก้มตาทำต่อไปครับในเมื่อเราพลาดเอง ส่วนความฝันก็เอาไว้เป็นแรงพลักดันตัวเอง

     ขอบพระคุณทุก ๆ ท่านที่สละเวลาอันมีค่าเข้ามาอ่านกันนะครับ^^
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่