สมาชิกที่สนใจติดตามข่าวเกี่ยวกับ bitcoin เงินในรูป digital currency หรือที่เรียกกันว่า cryptocurrency ซึ่งสามารถใช้ในการ settle ธุรกรรมหลากหลายประเภท ก็มักจะได้ยินคำเตือนในระยะนี้เกี่ยวกับประเด็นความเสี่ยงต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการที่อาจจะเกิดภาวะฟองสบู่อันเนื่องจากราคาของ bitcoin ที่พุ่งพรวดอย่างเหลือเชื่อ มันขึ้นไปแล้ว 800% ภายในเวลาเพียงหนึ่งปี มูลค่าของมันเพิ่มขึ้นประมาณ 4 เท่าใน 6 เดือนหรือเดือนละประมาณ 87% ซึ่งเป็นเหมือนแม่เหล็กดึงดูดให้นักลงทุนแห่กันลงทุนในสินทรัพย์นี้โดยหวังผลกำไรมหาศาลในระยะสั้น
จากประวัติศาสตร์การเงินในอดีต สินทรัพย์ใดที่มีราคาเพิ่มขึ้นมากผิดปกติในลักษณะนี้ มักจะชี้ให้เห็นถึงภาวะฟองสบู่ที่กำลังเกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นตอนที่ยุโรปเกิดบ้าคลั่งการลงทุนในดอกทิวลิปช่วงต้นศตวรรษที่ 17 สำหรับในยุคปัจจุบัน เราคงจำกันได้ถึงวิกฤตการเงินที่เกิดจากภาวะฟองสบู่ของหุ้น dot-com ช่วงปี 1995-2001 หรือวิกฤตที่ผลกระทบของมันยังคงอยู่จนปัจจุบันคือ subprime mortgage crisis ที่เกิดจากภาวะฟองสบู่ของตราสารอนุพันธุ์ในตลาดอสังหาริมทรัพย์ในอเมริกาและกระจายไปทั่วโลกในช่วงปี 2007-2010
นอกจากประเด็นความเสี่ยงที่เกิดจากภาวะฟองสบู่ที่กล่าวมา ยังมีอีกประเด็นหนึ่งที่ไม่ค่อยจะพูดถึงกันคือความเสี่ยงทางด้านกฎหมาย
การที่ bitcoin ใช้เทคโนโลยี blockchain หมายความว่าจะมีพวก miners อยู่ในกระบวนการ verification หรือการตรวจสอบความถูกต้องของธุรกรรม เนื่องจากรหัสที่ใช้การทำธุรกรรมจะกระจายอยู่กับบรรดา miners ซึ่งเปรียบเหมือนแต่ละ block ตลอดเส้นทางการส่งข้อมูลจากต้นทางไปถึงปลายทางและเป็นที่มาของคำว่า blockchain พวก miners จะได้ค่า mining fee ทุกครั้งที่ธุรกรรมเสร็จสมบูรณ์ พอ block หนึ่งทำหน้าที่เสร็จสมบูรณ์ก็จะเกิด block ใหม่ขึ้นมาทดแทน
ถ้าเปรียบเทียบให้เห็นง่ายๆ ในการทำธุรกรรมระหว่างผู้ซื้อและผู้ขาย ทุกครั้งที่ผู้ซื้อส่งเงิน (สมมติว่าเป็นค่าสินค้า) ไปยังผู้ขาย ผู้ซื้อจะต้องใช้รหัสในการทำธุรกรรมที่เปรียบได้กับกุญแจ แต่ความพิเศษของ blockchain ที่ทำให้เป็นการยากหรือแทบจะเป็นไปไม่ได้ที่จะ hack คือการที่กุญแจดอกนี้ประกอบด้วยกุญแจย่อยๆที่แต่ละ miner เก็บไว้ตลอดเส้นทางจากผู้ซื้อถึงผู้ขาย ใครที่คิดจะ hack ต้อง hack กุญแจทุกดอกตลอดเส้นทาง
คราวนี้ก็มาถึงประเด็นเรื่องกฎหมายที่ผมตั้งกระทู้ไว้ตอนต้น สมมติว่าวันหนึ่งเกิดมี hacker ที่เก่งกาจพอที่จะคิดวิธีไขรหัสพวกนี้ได้ หรือในกรณีที่เกิดข้อพิพาทระหว่างผู้ซื้อและผู้ขายจนทำให้กระทบกับความสมบูรณ์ของธุรกรรมที่อาศัย blockchain เป็นเครื่องมือในการทำ transaction settlement อาจเกิดประเด็นทางด้านกฎหมายว่า แล้วพวก miners จะถือว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับธุรกรรมและต้องนำเข้ามาในกระบวนการทางกฎหมายหรือไม่
ถ้าใช่ ก็น่าจะเป็นเรื่องยุ่งยากอย่างแน่นอน เพราะเทคโนโลยี blockchain ไม่จำกัดจำนวน miners ที่สามารถจะร่วมวงสังฆกรรมด้วย blockchain เป็นกระบวนการที่ resource-intensive เนื่องจากกระบวนการ bitcoin mining ตลอดห่วงโซ่ blockchain ต้องใช้คอมพิวเตอร์ที่สามารถประมวลผลข้อมูลจำนวนมากมายมหาศาลในเวลารวดเร็ว ทำให้ต้องใช้คอมพิวเตอร์ที่แรงและเร็ว หรืออาจเป็นการรวมคอมพิวเตอร์เข้าเป็นกลุ่ม (pool ซึ่งอาจจะรวมอยู่ในที่เดียวกันตามตัวอย่างในภาพข้างล่างหรือกระจายอยู่กับ miner แต่ละรายใน pool) นั่นย่อมหมายถึงการใช้พลังงานไฟฟ้าจำนวนมหาศาลที่ต้องอาศัยน้ำเย็นในการระบายความร้อน ทำให้ miners มักจะอยู่ในประเทศที่มีค่าไฟค่อนข้างถูกและไม่มีปัญหาด้านทรัพยากรน้ำ เนื่องจากจีนเป็นประเทศที่มีความได้เปรียบในเชิงทรัพยากรตามที่กล่าวมา จีนจึงครองส่วนแบ่งตลาดของ mining pools สูงที่สุดในโลกถึง 81% รองลงมาเป็นไอซ์แลนด์ (5%) และญี่ปุ่น (3%)
มีข้อน่าสังเกตคือ miners ซึ่งอยู่ตรงกลางในกระบวนการ settle ธุรกรรมที่ใช้ bitcoin หรือ เงินตระกูล cryptocurrency อื่นๆนั้น จะทำหน้าที่แตกต่างกับธนาคารที่มีหน้าที่เพียงช่วย settle ธุรกรรมโดยอาจจะเก็บค่า transaction fee ในการให้บริการดังกล่าว ธนาคารจะไม่มีส่วนได้ส่วนเสียในธุรกรรมนั้นๆ ผิดกับบรรดา miners ที่จะได้ค่า mining fee เป็น bitcoin
นั่นน่าจะหมายความว่า miners มีส่วนได้ส่วนเสียในความสมบูรณ์ของการ settle ธุรกรรมนั้นๆด้วย ยิ่งในภาวะที่ราคา bitcoin มีมูลค่าเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วเช่นในปัจจุบัน ส่วนได้ส่วนเสียดังกล่าวจึงน่าจะมีมากตามไปด้วย นับเป็นเรื่องใหม่ในวงการเงินทึ่ควรจะมีการศึกษาผลกระทบโดยละเอียดต่อไป นอกจากนี้ หากมองในแง่ที่ว่า bitcoin หรือ crytocurrency สกุลอื่นไม่ได้มีมูลค่าในตัวเอง มูลค่าของมันเกิดจากอุปสงค์ที่เกิดจากความต้องการใช้มันในการ settle ธุรกรรม ในขณะเดียวกัน มูลค่าส่วนหนึ่งของมันก็มาจากการ mining ในกระบวนการ settlement ของธุรกรรมนั้นๆด้วย เมื่อเป็นเช่นนี้ เราควรจะจัด cryptocurrency ให้เป็นอนุพันธุ์ประเภทหนึ่งหรือไม่
หากข้อสรุปด้านกฎหมายตีความให้รวมบรรดา miners เข้าเป็นบุคคลที่มีส่วนได้ส่วนเสียในธุรกรรมด้วยแล้ว คงพอเห็นภาพว่าจะยุ่งวุ่นวายแค่ไหนหากเกิดปัญหาขึ้นมาในอนาคต
สถานะทางกฎหมายของ Miners ในกระบวนการ Blockchain
สมาชิกที่สนใจติดตามข่าวเกี่ยวกับ bitcoin เงินในรูป digital currency หรือที่เรียกกันว่า cryptocurrency ซึ่งสามารถใช้ในการ settle ธุรกรรมหลากหลายประเภท ก็มักจะได้ยินคำเตือนในระยะนี้เกี่ยวกับประเด็นความเสี่ยงต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการที่อาจจะเกิดภาวะฟองสบู่อันเนื่องจากราคาของ bitcoin ที่พุ่งพรวดอย่างเหลือเชื่อ มันขึ้นไปแล้ว 800% ภายในเวลาเพียงหนึ่งปี มูลค่าของมันเพิ่มขึ้นประมาณ 4 เท่าใน 6 เดือนหรือเดือนละประมาณ 87% ซึ่งเป็นเหมือนแม่เหล็กดึงดูดให้นักลงทุนแห่กันลงทุนในสินทรัพย์นี้โดยหวังผลกำไรมหาศาลในระยะสั้น
จากประวัติศาสตร์การเงินในอดีต สินทรัพย์ใดที่มีราคาเพิ่มขึ้นมากผิดปกติในลักษณะนี้ มักจะชี้ให้เห็นถึงภาวะฟองสบู่ที่กำลังเกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นตอนที่ยุโรปเกิดบ้าคลั่งการลงทุนในดอกทิวลิปช่วงต้นศตวรรษที่ 17 สำหรับในยุคปัจจุบัน เราคงจำกันได้ถึงวิกฤตการเงินที่เกิดจากภาวะฟองสบู่ของหุ้น dot-com ช่วงปี 1995-2001 หรือวิกฤตที่ผลกระทบของมันยังคงอยู่จนปัจจุบันคือ subprime mortgage crisis ที่เกิดจากภาวะฟองสบู่ของตราสารอนุพันธุ์ในตลาดอสังหาริมทรัพย์ในอเมริกาและกระจายไปทั่วโลกในช่วงปี 2007-2010
นอกจากประเด็นความเสี่ยงที่เกิดจากภาวะฟองสบู่ที่กล่าวมา ยังมีอีกประเด็นหนึ่งที่ไม่ค่อยจะพูดถึงกันคือความเสี่ยงทางด้านกฎหมาย
การที่ bitcoin ใช้เทคโนโลยี blockchain หมายความว่าจะมีพวก miners อยู่ในกระบวนการ verification หรือการตรวจสอบความถูกต้องของธุรกรรม เนื่องจากรหัสที่ใช้การทำธุรกรรมจะกระจายอยู่กับบรรดา miners ซึ่งเปรียบเหมือนแต่ละ block ตลอดเส้นทางการส่งข้อมูลจากต้นทางไปถึงปลายทางและเป็นที่มาของคำว่า blockchain พวก miners จะได้ค่า mining fee ทุกครั้งที่ธุรกรรมเสร็จสมบูรณ์ พอ block หนึ่งทำหน้าที่เสร็จสมบูรณ์ก็จะเกิด block ใหม่ขึ้นมาทดแทน
ถ้าเปรียบเทียบให้เห็นง่ายๆ ในการทำธุรกรรมระหว่างผู้ซื้อและผู้ขาย ทุกครั้งที่ผู้ซื้อส่งเงิน (สมมติว่าเป็นค่าสินค้า) ไปยังผู้ขาย ผู้ซื้อจะต้องใช้รหัสในการทำธุรกรรมที่เปรียบได้กับกุญแจ แต่ความพิเศษของ blockchain ที่ทำให้เป็นการยากหรือแทบจะเป็นไปไม่ได้ที่จะ hack คือการที่กุญแจดอกนี้ประกอบด้วยกุญแจย่อยๆที่แต่ละ miner เก็บไว้ตลอดเส้นทางจากผู้ซื้อถึงผู้ขาย ใครที่คิดจะ hack ต้อง hack กุญแจทุกดอกตลอดเส้นทาง
คราวนี้ก็มาถึงประเด็นเรื่องกฎหมายที่ผมตั้งกระทู้ไว้ตอนต้น สมมติว่าวันหนึ่งเกิดมี hacker ที่เก่งกาจพอที่จะคิดวิธีไขรหัสพวกนี้ได้ หรือในกรณีที่เกิดข้อพิพาทระหว่างผู้ซื้อและผู้ขายจนทำให้กระทบกับความสมบูรณ์ของธุรกรรมที่อาศัย blockchain เป็นเครื่องมือในการทำ transaction settlement อาจเกิดประเด็นทางด้านกฎหมายว่า แล้วพวก miners จะถือว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับธุรกรรมและต้องนำเข้ามาในกระบวนการทางกฎหมายหรือไม่
ถ้าใช่ ก็น่าจะเป็นเรื่องยุ่งยากอย่างแน่นอน เพราะเทคโนโลยี blockchain ไม่จำกัดจำนวน miners ที่สามารถจะร่วมวงสังฆกรรมด้วย blockchain เป็นกระบวนการที่ resource-intensive เนื่องจากกระบวนการ bitcoin mining ตลอดห่วงโซ่ blockchain ต้องใช้คอมพิวเตอร์ที่สามารถประมวลผลข้อมูลจำนวนมากมายมหาศาลในเวลารวดเร็ว ทำให้ต้องใช้คอมพิวเตอร์ที่แรงและเร็ว หรืออาจเป็นการรวมคอมพิวเตอร์เข้าเป็นกลุ่ม (pool ซึ่งอาจจะรวมอยู่ในที่เดียวกันตามตัวอย่างในภาพข้างล่างหรือกระจายอยู่กับ miner แต่ละรายใน pool) นั่นย่อมหมายถึงการใช้พลังงานไฟฟ้าจำนวนมหาศาลที่ต้องอาศัยน้ำเย็นในการระบายความร้อน ทำให้ miners มักจะอยู่ในประเทศที่มีค่าไฟค่อนข้างถูกและไม่มีปัญหาด้านทรัพยากรน้ำ เนื่องจากจีนเป็นประเทศที่มีความได้เปรียบในเชิงทรัพยากรตามที่กล่าวมา จีนจึงครองส่วนแบ่งตลาดของ mining pools สูงที่สุดในโลกถึง 81% รองลงมาเป็นไอซ์แลนด์ (5%) และญี่ปุ่น (3%)
มีข้อน่าสังเกตคือ miners ซึ่งอยู่ตรงกลางในกระบวนการ settle ธุรกรรมที่ใช้ bitcoin หรือ เงินตระกูล cryptocurrency อื่นๆนั้น จะทำหน้าที่แตกต่างกับธนาคารที่มีหน้าที่เพียงช่วย settle ธุรกรรมโดยอาจจะเก็บค่า transaction fee ในการให้บริการดังกล่าว ธนาคารจะไม่มีส่วนได้ส่วนเสียในธุรกรรมนั้นๆ ผิดกับบรรดา miners ที่จะได้ค่า mining fee เป็น bitcoin
นั่นน่าจะหมายความว่า miners มีส่วนได้ส่วนเสียในความสมบูรณ์ของการ settle ธุรกรรมนั้นๆด้วย ยิ่งในภาวะที่ราคา bitcoin มีมูลค่าเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วเช่นในปัจจุบัน ส่วนได้ส่วนเสียดังกล่าวจึงน่าจะมีมากตามไปด้วย นับเป็นเรื่องใหม่ในวงการเงินทึ่ควรจะมีการศึกษาผลกระทบโดยละเอียดต่อไป นอกจากนี้ หากมองในแง่ที่ว่า bitcoin หรือ crytocurrency สกุลอื่นไม่ได้มีมูลค่าในตัวเอง มูลค่าของมันเกิดจากอุปสงค์ที่เกิดจากความต้องการใช้มันในการ settle ธุรกรรม ในขณะเดียวกัน มูลค่าส่วนหนึ่งของมันก็มาจากการ mining ในกระบวนการ settlement ของธุรกรรมนั้นๆด้วย เมื่อเป็นเช่นนี้ เราควรจะจัด cryptocurrency ให้เป็นอนุพันธุ์ประเภทหนึ่งหรือไม่
หากข้อสรุปด้านกฎหมายตีความให้รวมบรรดา miners เข้าเป็นบุคคลที่มีส่วนได้ส่วนเสียในธุรกรรมด้วยแล้ว คงพอเห็นภาพว่าจะยุ่งวุ่นวายแค่ไหนหากเกิดปัญหาขึ้นมาในอนาคต