ข้อมูลคัดลอกจากเวบกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (www.ditp.go.th)
มนธิรา ราโท รองผู้อำนวยการฝ่ายวิชาการ สถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย บอกเล่าในงานสัมมนาหัวข้อ “สถานภาพความสัมพันธ์ไทย-เวียดนาม: พลวัตแห่งกระบวนการรับรู้และความเข้าใจระหว่างกัน” จัดโดยสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) เมื่อปี 2-3 ปีที่ผ่านมา
สำหรับไทยมักมองว่าเวียดนามเป็นคู่แข่งหลายด้านเช่น การส่งออกสินค้าเกษตร
แต่เวียดนามไม่ได้รู้สึกว่าไทยเป็น "คู่แข่ง"ของตัวเองเท่าไรนัก เพราะมองว่าตัวเองไม่ได้อยู่ระดับเดียวกับไทย เขาจึงมองไทยในฐานะ "มาตรวัด" ด้านต่างๆ ให้แก่ตัวเอง
ในด้านเศรษฐกิจ เขาตีตลาดกัมพูชาสำเร็จ แต่ก็ยังพบว่าไทยครองตลาดลาวไว้ได้อย่างเหนียวแน่น
ในด้านการท่องเที่ยว เขาก็มองไทยในฐานะศูนย์กลางการท่องเที่ยว ด้านกีฬา เขาก็ยังเทียบทีมฟุตบอลของเขากับเรา
ด้านการศึกษา เขาก็ยังศึกษามาตรฐานของไทยทั้งด้านงานวิจัย สถิติต่างๆ อยู่เสมอ"
เวียดนามยังให้ไทยเป็นมาตรวัดเปรียบเทียบอีกหลายเรื่องเช่น ด้านผลิตผลทางการเกษตร
มะม่วงเวียดนามขายได้ 5,000 ด่อง มะม่วงไทยขายได้ 1.5 หมื่นด่อง
ทุเรียนเวียดนามขายได้ 1.1 หมื่นด่องทุเรียนไทยขายได้ 2.5 หมื่นด่อง
สิ่งที่เกิดขึ้นคือผู้บริโภคก็ยังบริโภคสินค้าเกษตรไทย
นอกจากนี้ ข้อมูลจากหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่ง ซึ่งภายหลังตีพิมพ์เป็นหนังสือ "เวียดนาม เล็กหรือไม่เล็ก" ได้วิเคราะห์จีดีพีของเวียดนามในรอบ 5 ปี เพื่อใช้เป็นฐานเปรียบเทียบกับประเทศใน อาเซียน ซึ่งประเมินว่า
- เวียดนามจะตามอินโดนีเซียทันใน 5 ปี
- ฟิลิปปินส์ใน8 ปี
- ไทยใน 20 ปี
- มาเลเซีย 24 ปี
- บรูไน 38 ปี และ
- สิงคโปร์มากกว่า 40 ปี
สะท้อนให้เห็นมุมมองการประเมินเวียดนามที่มีต่อไทย
เมื่อสอบถามชาวเวียดนาม3 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มนักศึกษา กลุ่มแรงงาน และกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับภาคเศรษฐกิจ ว่าเมื่อนึกถึงไทยจะนึกถึงอะไร คำตอบที่ได้ใกล้เคียงกันมาก
โดยเฉพาะอันดับแรก คือ นึกถึงสถานที่ท่องเที่ยวของไทย
ชาวเวียดนามบางคนถึงขนาดบอกเลยว่า "มาไทย 1 วัน ฉลาดขึ้นเป็นกระบุง" (คาดว่าเสพแต่ข้อดีของประเทศตัวเอง และข้อเสียของประเทศไทยผ่านสื่อของรัฐบาลมานาน จนกระทั่งได้มาเห็นกับตาตัวเอง)
สำหรับเรื่องอื่นๆที่นึกถึง เช่น วัฒนธรรมอาหาร การเมืองและความมั่นคง เศรษฐกิจ
ปล.
แต่นั่นคือบทวิเคราะห์เมื่อ 2-3 ปีที่ผ่านมา
ถ้าดูการพัฒนาระบบรางและระบบขนส่งมวลชนของไทย
รวมถึงโครงการ Thailand 4.0 ที่เป็นรูปเป็นร่างมากขึ้น
ซึ่งหากโครงการต่างๆเหล่านี้ สำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี
รวมทั้งการที่การดำเนินโครงการต่างๆของเวียดนามล่าช้าไปมากหลังจากบทวิเคราะห์ดังกล่าว ทั้งรถไฟฟ้าสายแรกที่เลื่อนไปอีก 4 ปี (ซึ่งระยะเวลาที่เล่ื่อนใช้เวลาพอๆกับไทยสร้างสายใหม่เลย) โครงการขยายสนามบินที่ไม่ได้เป็นรูปธรรมมากนัก เศณษฐกิจเริ่มชลอตัวจนต้องยกเลิกการจัดเอเชี่ยนเกมส์ รวมทั้งทุ่มงบประมาณทางการทหารจำนวนมากต่อกรณีความตึงเครียดในทะเลจีนใต้
นักวิชาการทั้งของไทยและเวียดนาม อาจจะต้องคาดการณ์กันใหม่อีกรอบ
เวียดนามจะตามทันไทยใน 20 ปี จากบทวิเคราะห์ของนักวิชาการทั้งของไทยและเวียดนามเองเมื่อ 2-3 ปีที่ผ่านมา
มนธิรา ราโท รองผู้อำนวยการฝ่ายวิชาการ สถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย บอกเล่าในงานสัมมนาหัวข้อ “สถานภาพความสัมพันธ์ไทย-เวียดนาม: พลวัตแห่งกระบวนการรับรู้และความเข้าใจระหว่างกัน” จัดโดยสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) เมื่อปี 2-3 ปีที่ผ่านมา
สำหรับไทยมักมองว่าเวียดนามเป็นคู่แข่งหลายด้านเช่น การส่งออกสินค้าเกษตร
แต่เวียดนามไม่ได้รู้สึกว่าไทยเป็น "คู่แข่ง"ของตัวเองเท่าไรนัก เพราะมองว่าตัวเองไม่ได้อยู่ระดับเดียวกับไทย เขาจึงมองไทยในฐานะ "มาตรวัด" ด้านต่างๆ ให้แก่ตัวเอง
ในด้านเศรษฐกิจ เขาตีตลาดกัมพูชาสำเร็จ แต่ก็ยังพบว่าไทยครองตลาดลาวไว้ได้อย่างเหนียวแน่น
ในด้านการท่องเที่ยว เขาก็มองไทยในฐานะศูนย์กลางการท่องเที่ยว ด้านกีฬา เขาก็ยังเทียบทีมฟุตบอลของเขากับเรา
ด้านการศึกษา เขาก็ยังศึกษามาตรฐานของไทยทั้งด้านงานวิจัย สถิติต่างๆ อยู่เสมอ"
เวียดนามยังให้ไทยเป็นมาตรวัดเปรียบเทียบอีกหลายเรื่องเช่น ด้านผลิตผลทางการเกษตร
มะม่วงเวียดนามขายได้ 5,000 ด่อง มะม่วงไทยขายได้ 1.5 หมื่นด่อง
ทุเรียนเวียดนามขายได้ 1.1 หมื่นด่องทุเรียนไทยขายได้ 2.5 หมื่นด่อง
สิ่งที่เกิดขึ้นคือผู้บริโภคก็ยังบริโภคสินค้าเกษตรไทย
นอกจากนี้ ข้อมูลจากหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่ง ซึ่งภายหลังตีพิมพ์เป็นหนังสือ "เวียดนาม เล็กหรือไม่เล็ก" ได้วิเคราะห์จีดีพีของเวียดนามในรอบ 5 ปี เพื่อใช้เป็นฐานเปรียบเทียบกับประเทศใน อาเซียน ซึ่งประเมินว่า
- เวียดนามจะตามอินโดนีเซียทันใน 5 ปี
- ฟิลิปปินส์ใน8 ปี
- ไทยใน 20 ปี
- มาเลเซีย 24 ปี
- บรูไน 38 ปี และ
- สิงคโปร์มากกว่า 40 ปี
สะท้อนให้เห็นมุมมองการประเมินเวียดนามที่มีต่อไทย
เมื่อสอบถามชาวเวียดนาม3 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มนักศึกษา กลุ่มแรงงาน และกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับภาคเศรษฐกิจ ว่าเมื่อนึกถึงไทยจะนึกถึงอะไร คำตอบที่ได้ใกล้เคียงกันมาก
โดยเฉพาะอันดับแรก คือ นึกถึงสถานที่ท่องเที่ยวของไทย
ชาวเวียดนามบางคนถึงขนาดบอกเลยว่า "มาไทย 1 วัน ฉลาดขึ้นเป็นกระบุง" (คาดว่าเสพแต่ข้อดีของประเทศตัวเอง และข้อเสียของประเทศไทยผ่านสื่อของรัฐบาลมานาน จนกระทั่งได้มาเห็นกับตาตัวเอง)
สำหรับเรื่องอื่นๆที่นึกถึง เช่น วัฒนธรรมอาหาร การเมืองและความมั่นคง เศรษฐกิจ
ปล.
แต่นั่นคือบทวิเคราะห์เมื่อ 2-3 ปีที่ผ่านมา
ถ้าดูการพัฒนาระบบรางและระบบขนส่งมวลชนของไทย
รวมถึงโครงการ Thailand 4.0 ที่เป็นรูปเป็นร่างมากขึ้น
ซึ่งหากโครงการต่างๆเหล่านี้ สำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี
รวมทั้งการที่การดำเนินโครงการต่างๆของเวียดนามล่าช้าไปมากหลังจากบทวิเคราะห์ดังกล่าว ทั้งรถไฟฟ้าสายแรกที่เลื่อนไปอีก 4 ปี (ซึ่งระยะเวลาที่เล่ื่อนใช้เวลาพอๆกับไทยสร้างสายใหม่เลย) โครงการขยายสนามบินที่ไม่ได้เป็นรูปธรรมมากนัก เศณษฐกิจเริ่มชลอตัวจนต้องยกเลิกการจัดเอเชี่ยนเกมส์ รวมทั้งทุ่มงบประมาณทางการทหารจำนวนมากต่อกรณีความตึงเครียดในทะเลจีนใต้
นักวิชาการทั้งของไทยและเวียดนาม อาจจะต้องคาดการณ์กันใหม่อีกรอบ