But First We Attack
แต่ก่อนอื่น พวกเราขอบุกก่อน
เราจะเริ่มจากตรงไหนกันดี ? ผมอยากจะเล่าให้คุณฟังว่า คุณปู่เปลี่ยนชีวิตผมยังไง แต่ผมก็จะเล่าเรื่องของโรนัลโด้, โรมาริโอ้โผล่ออกมาจากเครื่องบิน และเรื่องโวล์คสวาเกนสีส้มด้วย
เรามีเรื่องจะมาคุยกันมากเลยหล่ะ มาเริ่มกันเลยดีกว่า
มันเป็นสิ่งแรกในชีวิตที่ผมจำมันได้ ตอนที่ผมอายุ 6 ขวบ เรากำลังอยู่ในช่วงหยุดพักร้อนจากโรงเรียน แต่ผมก็ยังคงตื่นเวลา 7:30 ทุกเช้า และนำลูกฟุตบอลไปเล่นที่หาดโบตาโฟโก
นั่นแหละคือริโอ นักฟุตบอลที่ดีที่สุดต่างก็มาจากที่นั่น 😀
มีสวนริมหาดที่มีสนามฟุตซอล และสไลเดอร์เล็ก ๆ สำหรับเด็ก และที่นั่นก็จะมีชายแก่คนเดิม ๆ ที่ชอบตะโกนใส่คนที่จอดรถตรงนั้น “หนึ่ง ดอลล่าร์! หนึ่ง ดอลล่าร์! หนึ่ง ดอลล่าร์!”
เขาสามารถปกป้องรถคุณได้ด้วยเงิน 1 ดอลล่าร์ ผมยังจำเสียงของเขาได้อยู่เลย แต่สิ่งที่ผมจำได้ส่วนมากเป็นกลิ่นของที่นั่น ที่นั่นมีท่อน้ำพัง ๆ คอยปล่อยน้ำให้ไหลไปบนผืนทรายไปอีกฝั่งของสนาม จากทรายก็กลายเป็นโคลน ดังนั้นแล้วในทุกเช้าที่ผมเดินมาที่สวน ผมก็จะได้กลิ่นโคลนนั้น, เพื่อนเอ๋ย
สนามนั้นเคยเป็นอาณาเขตของพวกแฟนคลับทีมโบตาโฟโก บางวันผมไปถึงที่นั่น แต่ก็มีคนเล่นอยู่ในสนามแล้ว ผมเลยต้องเตะบอลอยู่ขอบสนามคนเดียว บางวันผมโผล่ไปที่นั่น แต่ก็ไม่มีคนเลย แต่ก็ช่างมันปะไร — มาร์เซลิโต้ตัวน้อยมาที่นั่นทุกวันอยู่แล้ว
ผมมีความทรงจำที่ลึกซึ้งกับกลิ่นนั้น รวมไปถึงความรู้สึกตอนที่ลูกฟุตบอลสัมผัสเท้าผมด้วย ผมรู้สึกถึงสิ่งที่ยังคงเป็นความจริงในตัวผม เมื่อไหร่ก็ตามที่คุณมีบอลอยู่ที่เท้า คุณจะไม่อ่อนแอ คุณแทบไม่ต้องการคนอื่นมาเล่นกับคุณเลยด้วยซ้ำ มันเกี่ยวกับฟุตบอลล้วน ๆ
ฤดูร้อนเดียวกันนั้น บอลโลกปี 94’ ที่กำลังจัดขึ้นที่อเมริกา ในบราซิล ก่อนที่บอลโลกจะเริ่มขึ้น ทุกคนในละแวกนั้นต่างก็ออกไปข้างนอก ไปบนถนน และก็วาดภาพบนผนังเพื่อเฉลิมฉลอง ทุกอย่างถูกปกคลุมไปด้วยสีเขียว ฟ้าและเหลือง — ถนน, รั้ว, กำแพง, ใบหน้าของผู้คน สิ่งนี้เป็นความทรงจำที่แสนวิเศษกับเด็กน้อยตัวเล็ก ๆ ทุกคนในบราซิล ผมกำลังอ่านเรื่องราวของโรนัลโด้เมื่อวันก่อน และเขาบอกว่าบอลโลกในช่วงปี 82’ เป็นอย่างไร เขาได้ช่วยวาดรูป ‘ซิโก้’ บนผนังด้วย
เอาหละ ให้ทาย โรนัลโด้ ?
โรนัลโด้, หากคุณกำลังอ่านสิ่งนี้อยู่ ตอนผมอายุ 6 ขวบ ผมกับเพื่อนช่วยกันวาดรูปใบหน้าคุณบนพื้นถนน คุณคือฮีโร่ของพวกเรา มันเป็นความทรงจำที่ยังคงตราตรึงอยู่ในหัวใจของผม
มันตลกนะเวลาที่คุณจำเรื่องอะไรได้ ผมจำไม่ค่อยได้ตอนที่กำลังดูทีมชาติบราซิลในนัดชิงชนะเลิศ มันไม่ค่อยจะชัดเจนซักเท่าไหร่ แต่ผมจำได้แม่น ว่ามีรูป ๆ หนึ่งอยู่บนปกหนังสือพิมพ์ท้องถิ่น เหล่านักเตะทีมชาติได้บินมาถึงบ้านแล้ว และโรมาริโอ้ก็กำลังโผล่ออกมาจากหน้าต่างของห้องนักบิน โบกสะบัดธงชาติบราซิลผืนใหญ่ ราวกับว่าเขาพึ่งพิชิตทั้งโลกมาเพื่อเรา
ผมจำได้ตอนที่ผมเห็นภาพนั้น ผมรู้สึกว่าหัวใจของผมมันกำลังจะระเบิดออกมาด้วยความภาคภูมิใจ พระเจ้า ผมต้องการแบบนั้นบ้างสักวัน, ผมคิดในใจ
แน่นอนว่านี่เป็นฝันที่ไร้สาระด้วยเหตุผลอะไรหลาย ๆ อย่าง ประการแรก, มีประชากร 200 ล้านคนในบราซิล และพวกเขาทุกคนก็อยากเป็นนักฟุตบอล (แม้แต่ชายแก่) ประการที่สอง, ผมยังไม่ได้เป็นนักฟุตบอลจริง ๆ เลยด้วยซ้ำ ผมเคยเล่นเพียงแค่ฟุตซอลทีมละ 5 คนเท่านั้น การเร่ไปหาสโมสรฟุตบอลคงไม่ใกล้เคียงความจริงสำหรับครอบครัวผม บางทีผู้คนในอเมริกาหรืออังกฤษคงไม่เข้าใจสิ่งนี้ แต่น้ำมันในบราซิล โดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วงที่ผมยังเป็นเด็กละก็ แม่**โคตรมหาแพงเลยหล่ะ
โชคดีที่คุณปู่ของผมเต็มใจเสียสละทุกอย่างเพื่อตัวผม ท่านคือคนที่สำคัญที่สุดในเรื่องราวของผม หากคุณจะจินตนาการถึงท่านละก็นะ ... ท่านเป็นตัวละครตัวหนึ่ง ท่านมักจะสวมแว่นตากันแดดสุดเท่ และท่านก็จะมีวาทะที่พิเศษ ๆ เปล่งออกมาอยู่เสมอ ท่านพูดมันทุกวัน เวลาที่อยู่กับเพื่อน
จะให้ผมแปลเป็นภาษาอังกฤษยังไงดีหละเนี่ย ?
ท่านพูดว่า ...
“ไอหอก มองมาที่กูนี่ ในกระเป๋ากูเนี่ยไม่มีตังค์ซักแดง แต่กูแม่**โคตรมีความสุขเลยหว่ะ!”
ท่านเคยขับรถไปส่งผมที่สนามฟุตซอลด้วยรถโวล์คสวาเกน วาเรียนท์ ผมคิดว่ามันน่าจะเป็นปี 1969 นะ แต่ตอนที่ผมเริ่มเดินทางกับทีมมากขึ้น ผมอายุ 8 หรือ 9 ขวบนี่แหละ ค่าใช้จ่ายมันสูงเกินไปสำหรับค่าน้ำมัน อาหาร ทุกอย่าง แล้วคุณปู่ของผมก็ได้ตัดสินใจที่ถือว่าเป็นจุดเปลี่ยนในชีวิตผม
ท่านขายรถและนำเงินที่ได้นั้นมาจ่ายค่าตั๋วรถบัสให้ การเสียสละเช่นนั้น บางทีคุณอาจจะคิดว่าท่านคงรู้สึกเหมือนกับผู้ที่ยอมพลีชีพ หรือท่านอาจจะพูดกับตัวเองว่า “โอ้, น่าสงสารจังวะเรา”
ไม่มีทาง
“หลานของข้าคือนักเตะที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในริโอ ยิ่งใหญ่ที่สุดในบราซิล งดงาม ไม่มีใครหยุดหลานข้าได้”
ในตาของท่าน ผมไม่เคยพลาด มันเป็นอะไรที่สนุกมาก ท่านกลับมาบ้านจากการดูเกมของผม และท่านจะบอกกับพ่อผมว่า “นี่ นายต้องมาดูมาร์เซโล่! วันนี้เขาทำอะไรบ้าง? โอ้พระเจ้า มันคือเวทย์มนต์ น่าเหลือเชื่อ!”
แต่พ่อของผม นาน ๆ ทีจะมาดูผมเล่นเพราะว่าท่านต้องทำงานตลอด ท่านคงคิดว่าปู่ของผมบ้าไปแล้ว ส่วนที่ฮาที่สุดคือเวลาที่ผมเล่นไม่ได้เรื่อง และทีมแพ้ ท่านจะยักไหล่และพูดว่า “เออ, ช่างมันเหอะ เดี๋ยวหลานก็หาทางได้เองแหละ”
ท่านทำให้ผมรู้สึกว่าผมเหมือนเป็นโรนัลโด้ตอนที่ผมอายุ 9 ขวบ ผมสาบานต่อพระเจ้า ผมจะเดินเข้าไปในบ้าน ยืดอก แบบว่า ใช่แล้ว, ข้านี่แหละ ข้าคือนักฟุตบอล
แต่แล้ววันหนึ่ง ตอนนั้นผมน่าจะอายุ 12 คุณปู่ของผมปรากฎตัวขึ้นหลังจากเกมจบ ด้วยการขับโวล์คสวาเกน บีเทิ่ล สีส้ม
ท่านบอกผมว่า “ขึ้นมาสิ กลับบ้านกัน”
ผมก็แบบว่า “เกิดไรขึ้นวะเนี่ย? ท่านไปเอามันมาจากไหน”
ท่านพูดว่า “โชโก โด บิโช่”
ที่ริโอ เราเรียกสิ่งนี้ว่าล็อตเตอรี่สัตว์ มันอาจจะไม่ถูกกฎหมาย 100% แต่นี่ — มันเป็นเกมสำหรับประชาชน คุณเลือกเลขพร้อมกับสัตว์ เช่นนกกระจอกเทศหรือไก่ อะไรก็ได้ ในทุก ๆ วัน จะมีการจับรางวัล คุณปู่ผมชนะ ผมไม่รู้ว่าเงินจำนวนขนาดไหน แต่ใช้มันซื้อบีทเทิ่ลได้
มันน่าเหลือเชื่อ เราขับไปทุกที่เลยด้วยรถคันนั้น แต่ตอนผมอายุ 15 ผมถูกเรียกตัวให้ไปเล่นฟุตบอล 11 คนจริง ๆ กับระบบเยาวชนของฟลูมิเนนเซ่ ปัญหาก็คือแคมป์ฝึกซ้อมอยู่ที่เชเรม เกือบสองชั่วโมงจากบ้านผม และมันก็คงจะเป็นไปไม่ได้ถ้าจะให้เราจ่ายค่าน้ำมันในการขับรถไปที่นั่นทุกวัน ดังนั้นผมเลยตัดสินใจอาศัยอยู่ที่หอพัก ผมอยู่ที่เชเรมด้วยตัวคนเดียว ห่างจากครอบครัว คุณปู่ของผมจะขับรถไปรับผมในคืนวันเสาร์ ผมเลยได้ใช้เวลาในวันอาทิตย์อยู่ที่ริโอ และท่านก็ขับมาส่งผมกลับ
คุณคงเข้าใจ ปู่ผมชนะรางวัลล็อตเตอรี่สัตว์ แต่เงินมันไม่ได้มากมายขนาดนั้น และนี่ก็คือบีทเทิ่ลคันเก่าจากปี 70’ ทุก ๆ ครั้งที่เราหมุนพวงมาลัยมากเกินไป วิทยุมันก็จะเปลี่ยนคลื่นไปเอง
หลังจากที่ผมไป ๆ มา ๆ อยู่ที่ริโอกับเชเรม ผมหมดเรี่ยวแรง ผมรู้สึกว่าผมตกเป็นทาสของฟุตบอล ผมเห็นเพื่อนของผมกลับบ้าน ไปชายหาด สนุกกับชีวิต และสิ่งที่ผมทำทั้งหมดคือการฝึกซ้อม
มีอยู่วันหนึ่งคุณปู่ของผมขับรถมารับ แล้วผมก็บอกท่านไปว่า “มันจบแล้ว ผมจะเลิก ผมจะกลับบ้าน”
ท่านตอบกลับมาว่า “ไม่, ไม่, ไม่ หลานจะไม่ทำอย่างนั้น แล้วทุกอย่างที่เราสู้มาหล่ะ?”
หลังจากนั้นผมก็เริ่มร้องไห้
ท่านพูดว่า “มาร์เซโล่ ใจเย็นสิ หลานเลิกตอนนี้ไม่ได้นะ ปู่ต้องได้เห็นหลานเล่นในสนามมาราคาน่าสักวัน”
มันกินใจผมมาก ผมบอกท่านว่า “ก็ได้ ผมจะเล่นอีกอาทิตย์นึง”
ในที่สุด ผมก็ล้มเลิกความคิดนั้นไป
สองปีให้หลัง ปู่ของผมอยู่บนอัฒจรรย์ ผมเดินลงสนามมาราคาน่ากับฟลูมิเนนเซ่ชุดใหญ่ ท่านรู้ ท่านยอมเสี่ยงในตัวผมตั้งแต่วันนั้น ท่านรู้จริง ๆ
ตอนผมอายุ 18 มีบางสโมสรในยุโรปเริ่มให้ความสนใจ ผมได้รู้มาว่าซีเอสเคเอ มอสโคว์ต้องการผม และก็เซบีย่าด้วย ณ ตอนนั้น เซบีย่ากำลังบินสูงและในทีมของมีนักเตะบราซิลเลี่ยนหลายคน ผมเลยคิดว่า มันต้องเฟี้ยวแน่ ๆ
หลังจากนั้นหนึ่งวัน ผมได้รับสายจากเอเย่นต์ เขาบอกว่า “นายต้องการไปเรอัล มาดริดรึเปล่า ?”
เขาก็แค่พูดแบบนั้น
ผมตอบกลับไปว่า “เอ่ออ, จริงดิ, แน่ใจนะ ?”
ตอนนั้นผมยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าหมอนี่เป็นใคร
“นั้นนายจะได้ไปเรอัล มาดริดนะ เขียนลงไปด้วยหล่ะ”
ไม่กี่อาทิตย์ต่อมา เรากำลังเตะอยู่ที่ปอร์โต้ อัลเลเกร และทางเรอัล มาดริดก็ส่งคนมาพบผมที่โรงแรมของพวกเรา ผมลงไปที่ล็อบบี้ และสุภาพบุรุษคนนี้ก็แนะนำตัวเอง แต่เขาไม่ได้สวมเสื้อที่มีตราเรอัล มาดริดเลยนะ เขาไม่ได้ส่งอะไรให้ผมเลย นามบัตร ไม่มีเลย
และจากนั้นเขาก็เริ่มถามคำถามแบบว่า “นายมีแฟนรึเปล่า ?”
“เอ่อ, มีแล้วครับ” ผมตอบ
“แล้วนายอยู่กับใคร ?” เขาถามอีก
“เอ่อ, คุณยาย ?” ผมตอบประมาณนี้
อีกครั้ง ไม่มีนามบัตรอย่างเป็นทางการ ไม่มีงานเอกสาร และผมก็เริ่มคิดเองเออเองว่า, นี่แม่**เรื่องจริงป่ะเนี่ย ? กูจะโดนจับใส่เครื่องไปไซบีเรียหรือยังไง ?
สองวันต่อมา ผมได้รับสายว่าทางเรอัลต้องการผมไปที่มาดริด เพื่อ “ตรวจร่างกาย”
ผมก็ยังคิด, มันใช่หรอวะ ?
คุณต้องเข้าใจบางอย่างเกี่ยวกับตัวผม ก่อนผมอายุ 16 ผมยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าอะไรคือแชมป์เปี้ยนส์ ลีก ผมจำโมเมนต์นั้นได้แม่น ผมกำลังนั่งอยู่ในห้องพักที่เชเรม มีคนก็กำลังดูเกมฟุตบอลผ่านทางทีวี มันเป็นเกมระหว่างปอร์โต้กับโมนาโก แต่เกมมันแตกต่างออกไปมาก ตอนกลางคืน ภายใต้แสงสว่าง ลุมร้อมด้วยแฟนบอล และสนามก็ช่างสวยงามไร้ที่ติ มันน่าอัศจรรย์ ในลีกบราซิล อย่างดึกที่สุด แสงไฟก็ไม่สว่างขนาดนี้ หญ้าก็ไม่ได้เขียวขนาดนี้ด้วย
เกมนี้เหมือนกับว่ามันถูกถ่ายทอดมาจากดาวดวงอื่น ที่ผมยังไม่รู้
ถึงช่วงหนึ่ง ผมถามว่า “เฮ้ย นี่แม่**ลีกเชี่ยไรวะ ?”
“แชมป์เปี้ยนส์ ลีก” เพื่อนผมตอบ
“แชมป์เปี้ยนส์ ไรวะ?”
เขาตอบมาว่า “เพื่อน นี่คือแชมป์เปี้ยนส์ ลีกนัดชิง”
ผมไม่รู้เลยว่าเขากำลังพูดถึงอะไร ในบราซิล แชมป์เปี้ยนส์ ลีกสามารถดูผ่านทางช่องเพย์ เพอร์ วิวเท่านั้น คนอย่างผมยังเข้าถึงไม่ได้เลย
นั่นแหละ ก็อย่างที่ผมบอกไป ผมกำลังนั่งเครื่องไปมาดริด 😀
But First We Attack. by Marcelo // แต่ก่อนอื่น พวกเราขอบุกก่อน. โดยมาร์เซโล่
But First We Attack
แต่ก่อนอื่น พวกเราขอบุกก่อน
เราจะเริ่มจากตรงไหนกันดี ? ผมอยากจะเล่าให้คุณฟังว่า คุณปู่เปลี่ยนชีวิตผมยังไง แต่ผมก็จะเล่าเรื่องของโรนัลโด้, โรมาริโอ้โผล่ออกมาจากเครื่องบิน และเรื่องโวล์คสวาเกนสีส้มด้วย
เรามีเรื่องจะมาคุยกันมากเลยหล่ะ มาเริ่มกันเลยดีกว่า
มันเป็นสิ่งแรกในชีวิตที่ผมจำมันได้ ตอนที่ผมอายุ 6 ขวบ เรากำลังอยู่ในช่วงหยุดพักร้อนจากโรงเรียน แต่ผมก็ยังคงตื่นเวลา 7:30 ทุกเช้า และนำลูกฟุตบอลไปเล่นที่หาดโบตาโฟโก
นั่นแหละคือริโอ นักฟุตบอลที่ดีที่สุดต่างก็มาจากที่นั่น 😀
มีสวนริมหาดที่มีสนามฟุตซอล และสไลเดอร์เล็ก ๆ สำหรับเด็ก และที่นั่นก็จะมีชายแก่คนเดิม ๆ ที่ชอบตะโกนใส่คนที่จอดรถตรงนั้น “หนึ่ง ดอลล่าร์! หนึ่ง ดอลล่าร์! หนึ่ง ดอลล่าร์!”
เขาสามารถปกป้องรถคุณได้ด้วยเงิน 1 ดอลล่าร์ ผมยังจำเสียงของเขาได้อยู่เลย แต่สิ่งที่ผมจำได้ส่วนมากเป็นกลิ่นของที่นั่น ที่นั่นมีท่อน้ำพัง ๆ คอยปล่อยน้ำให้ไหลไปบนผืนทรายไปอีกฝั่งของสนาม จากทรายก็กลายเป็นโคลน ดังนั้นแล้วในทุกเช้าที่ผมเดินมาที่สวน ผมก็จะได้กลิ่นโคลนนั้น, เพื่อนเอ๋ย
สนามนั้นเคยเป็นอาณาเขตของพวกแฟนคลับทีมโบตาโฟโก บางวันผมไปถึงที่นั่น แต่ก็มีคนเล่นอยู่ในสนามแล้ว ผมเลยต้องเตะบอลอยู่ขอบสนามคนเดียว บางวันผมโผล่ไปที่นั่น แต่ก็ไม่มีคนเลย แต่ก็ช่างมันปะไร — มาร์เซลิโต้ตัวน้อยมาที่นั่นทุกวันอยู่แล้ว
ผมมีความทรงจำที่ลึกซึ้งกับกลิ่นนั้น รวมไปถึงความรู้สึกตอนที่ลูกฟุตบอลสัมผัสเท้าผมด้วย ผมรู้สึกถึงสิ่งที่ยังคงเป็นความจริงในตัวผม เมื่อไหร่ก็ตามที่คุณมีบอลอยู่ที่เท้า คุณจะไม่อ่อนแอ คุณแทบไม่ต้องการคนอื่นมาเล่นกับคุณเลยด้วยซ้ำ มันเกี่ยวกับฟุตบอลล้วน ๆ
ฤดูร้อนเดียวกันนั้น บอลโลกปี 94’ ที่กำลังจัดขึ้นที่อเมริกา ในบราซิล ก่อนที่บอลโลกจะเริ่มขึ้น ทุกคนในละแวกนั้นต่างก็ออกไปข้างนอก ไปบนถนน และก็วาดภาพบนผนังเพื่อเฉลิมฉลอง ทุกอย่างถูกปกคลุมไปด้วยสีเขียว ฟ้าและเหลือง — ถนน, รั้ว, กำแพง, ใบหน้าของผู้คน สิ่งนี้เป็นความทรงจำที่แสนวิเศษกับเด็กน้อยตัวเล็ก ๆ ทุกคนในบราซิล ผมกำลังอ่านเรื่องราวของโรนัลโด้เมื่อวันก่อน และเขาบอกว่าบอลโลกในช่วงปี 82’ เป็นอย่างไร เขาได้ช่วยวาดรูป ‘ซิโก้’ บนผนังด้วย
เอาหละ ให้ทาย โรนัลโด้ ?
โรนัลโด้, หากคุณกำลังอ่านสิ่งนี้อยู่ ตอนผมอายุ 6 ขวบ ผมกับเพื่อนช่วยกันวาดรูปใบหน้าคุณบนพื้นถนน คุณคือฮีโร่ของพวกเรา มันเป็นความทรงจำที่ยังคงตราตรึงอยู่ในหัวใจของผม
มันตลกนะเวลาที่คุณจำเรื่องอะไรได้ ผมจำไม่ค่อยได้ตอนที่กำลังดูทีมชาติบราซิลในนัดชิงชนะเลิศ มันไม่ค่อยจะชัดเจนซักเท่าไหร่ แต่ผมจำได้แม่น ว่ามีรูป ๆ หนึ่งอยู่บนปกหนังสือพิมพ์ท้องถิ่น เหล่านักเตะทีมชาติได้บินมาถึงบ้านแล้ว และโรมาริโอ้ก็กำลังโผล่ออกมาจากหน้าต่างของห้องนักบิน โบกสะบัดธงชาติบราซิลผืนใหญ่ ราวกับว่าเขาพึ่งพิชิตทั้งโลกมาเพื่อเรา
ผมจำได้ตอนที่ผมเห็นภาพนั้น ผมรู้สึกว่าหัวใจของผมมันกำลังจะระเบิดออกมาด้วยความภาคภูมิใจ พระเจ้า ผมต้องการแบบนั้นบ้างสักวัน, ผมคิดในใจ
แน่นอนว่านี่เป็นฝันที่ไร้สาระด้วยเหตุผลอะไรหลาย ๆ อย่าง ประการแรก, มีประชากร 200 ล้านคนในบราซิล และพวกเขาทุกคนก็อยากเป็นนักฟุตบอล (แม้แต่ชายแก่) ประการที่สอง, ผมยังไม่ได้เป็นนักฟุตบอลจริง ๆ เลยด้วยซ้ำ ผมเคยเล่นเพียงแค่ฟุตซอลทีมละ 5 คนเท่านั้น การเร่ไปหาสโมสรฟุตบอลคงไม่ใกล้เคียงความจริงสำหรับครอบครัวผม บางทีผู้คนในอเมริกาหรืออังกฤษคงไม่เข้าใจสิ่งนี้ แต่น้ำมันในบราซิล โดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วงที่ผมยังเป็นเด็กละก็ แม่**โคตรมหาแพงเลยหล่ะ
โชคดีที่คุณปู่ของผมเต็มใจเสียสละทุกอย่างเพื่อตัวผม ท่านคือคนที่สำคัญที่สุดในเรื่องราวของผม หากคุณจะจินตนาการถึงท่านละก็นะ ... ท่านเป็นตัวละครตัวหนึ่ง ท่านมักจะสวมแว่นตากันแดดสุดเท่ และท่านก็จะมีวาทะที่พิเศษ ๆ เปล่งออกมาอยู่เสมอ ท่านพูดมันทุกวัน เวลาที่อยู่กับเพื่อน
จะให้ผมแปลเป็นภาษาอังกฤษยังไงดีหละเนี่ย ?
ท่านพูดว่า ...
“ไอหอก มองมาที่กูนี่ ในกระเป๋ากูเนี่ยไม่มีตังค์ซักแดง แต่กูแม่**โคตรมีความสุขเลยหว่ะ!”
ท่านเคยขับรถไปส่งผมที่สนามฟุตซอลด้วยรถโวล์คสวาเกน วาเรียนท์ ผมคิดว่ามันน่าจะเป็นปี 1969 นะ แต่ตอนที่ผมเริ่มเดินทางกับทีมมากขึ้น ผมอายุ 8 หรือ 9 ขวบนี่แหละ ค่าใช้จ่ายมันสูงเกินไปสำหรับค่าน้ำมัน อาหาร ทุกอย่าง แล้วคุณปู่ของผมก็ได้ตัดสินใจที่ถือว่าเป็นจุดเปลี่ยนในชีวิตผม
ท่านขายรถและนำเงินที่ได้นั้นมาจ่ายค่าตั๋วรถบัสให้ การเสียสละเช่นนั้น บางทีคุณอาจจะคิดว่าท่านคงรู้สึกเหมือนกับผู้ที่ยอมพลีชีพ หรือท่านอาจจะพูดกับตัวเองว่า “โอ้, น่าสงสารจังวะเรา”
ไม่มีทาง
“หลานของข้าคือนักเตะที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในริโอ ยิ่งใหญ่ที่สุดในบราซิล งดงาม ไม่มีใครหยุดหลานข้าได้”
ในตาของท่าน ผมไม่เคยพลาด มันเป็นอะไรที่สนุกมาก ท่านกลับมาบ้านจากการดูเกมของผม และท่านจะบอกกับพ่อผมว่า “นี่ นายต้องมาดูมาร์เซโล่! วันนี้เขาทำอะไรบ้าง? โอ้พระเจ้า มันคือเวทย์มนต์ น่าเหลือเชื่อ!”
แต่พ่อของผม นาน ๆ ทีจะมาดูผมเล่นเพราะว่าท่านต้องทำงานตลอด ท่านคงคิดว่าปู่ของผมบ้าไปแล้ว ส่วนที่ฮาที่สุดคือเวลาที่ผมเล่นไม่ได้เรื่อง และทีมแพ้ ท่านจะยักไหล่และพูดว่า “เออ, ช่างมันเหอะ เดี๋ยวหลานก็หาทางได้เองแหละ”
ท่านทำให้ผมรู้สึกว่าผมเหมือนเป็นโรนัลโด้ตอนที่ผมอายุ 9 ขวบ ผมสาบานต่อพระเจ้า ผมจะเดินเข้าไปในบ้าน ยืดอก แบบว่า ใช่แล้ว, ข้านี่แหละ ข้าคือนักฟุตบอล
แต่แล้ววันหนึ่ง ตอนนั้นผมน่าจะอายุ 12 คุณปู่ของผมปรากฎตัวขึ้นหลังจากเกมจบ ด้วยการขับโวล์คสวาเกน บีเทิ่ล สีส้ม
ท่านบอกผมว่า “ขึ้นมาสิ กลับบ้านกัน”
ผมก็แบบว่า “เกิดไรขึ้นวะเนี่ย? ท่านไปเอามันมาจากไหน”
ท่านพูดว่า “โชโก โด บิโช่”
ที่ริโอ เราเรียกสิ่งนี้ว่าล็อตเตอรี่สัตว์ มันอาจจะไม่ถูกกฎหมาย 100% แต่นี่ — มันเป็นเกมสำหรับประชาชน คุณเลือกเลขพร้อมกับสัตว์ เช่นนกกระจอกเทศหรือไก่ อะไรก็ได้ ในทุก ๆ วัน จะมีการจับรางวัล คุณปู่ผมชนะ ผมไม่รู้ว่าเงินจำนวนขนาดไหน แต่ใช้มันซื้อบีทเทิ่ลได้
มันน่าเหลือเชื่อ เราขับไปทุกที่เลยด้วยรถคันนั้น แต่ตอนผมอายุ 15 ผมถูกเรียกตัวให้ไปเล่นฟุตบอล 11 คนจริง ๆ กับระบบเยาวชนของฟลูมิเนนเซ่ ปัญหาก็คือแคมป์ฝึกซ้อมอยู่ที่เชเรม เกือบสองชั่วโมงจากบ้านผม และมันก็คงจะเป็นไปไม่ได้ถ้าจะให้เราจ่ายค่าน้ำมันในการขับรถไปที่นั่นทุกวัน ดังนั้นผมเลยตัดสินใจอาศัยอยู่ที่หอพัก ผมอยู่ที่เชเรมด้วยตัวคนเดียว ห่างจากครอบครัว คุณปู่ของผมจะขับรถไปรับผมในคืนวันเสาร์ ผมเลยได้ใช้เวลาในวันอาทิตย์อยู่ที่ริโอ และท่านก็ขับมาส่งผมกลับ
คุณคงเข้าใจ ปู่ผมชนะรางวัลล็อตเตอรี่สัตว์ แต่เงินมันไม่ได้มากมายขนาดนั้น และนี่ก็คือบีทเทิ่ลคันเก่าจากปี 70’ ทุก ๆ ครั้งที่เราหมุนพวงมาลัยมากเกินไป วิทยุมันก็จะเปลี่ยนคลื่นไปเอง
หลังจากที่ผมไป ๆ มา ๆ อยู่ที่ริโอกับเชเรม ผมหมดเรี่ยวแรง ผมรู้สึกว่าผมตกเป็นทาสของฟุตบอล ผมเห็นเพื่อนของผมกลับบ้าน ไปชายหาด สนุกกับชีวิต และสิ่งที่ผมทำทั้งหมดคือการฝึกซ้อม
มีอยู่วันหนึ่งคุณปู่ของผมขับรถมารับ แล้วผมก็บอกท่านไปว่า “มันจบแล้ว ผมจะเลิก ผมจะกลับบ้าน”
ท่านตอบกลับมาว่า “ไม่, ไม่, ไม่ หลานจะไม่ทำอย่างนั้น แล้วทุกอย่างที่เราสู้มาหล่ะ?”
หลังจากนั้นผมก็เริ่มร้องไห้
ท่านพูดว่า “มาร์เซโล่ ใจเย็นสิ หลานเลิกตอนนี้ไม่ได้นะ ปู่ต้องได้เห็นหลานเล่นในสนามมาราคาน่าสักวัน”
มันกินใจผมมาก ผมบอกท่านว่า “ก็ได้ ผมจะเล่นอีกอาทิตย์นึง”
ในที่สุด ผมก็ล้มเลิกความคิดนั้นไป
สองปีให้หลัง ปู่ของผมอยู่บนอัฒจรรย์ ผมเดินลงสนามมาราคาน่ากับฟลูมิเนนเซ่ชุดใหญ่ ท่านรู้ ท่านยอมเสี่ยงในตัวผมตั้งแต่วันนั้น ท่านรู้จริง ๆ
ตอนผมอายุ 18 มีบางสโมสรในยุโรปเริ่มให้ความสนใจ ผมได้รู้มาว่าซีเอสเคเอ มอสโคว์ต้องการผม และก็เซบีย่าด้วย ณ ตอนนั้น เซบีย่ากำลังบินสูงและในทีมของมีนักเตะบราซิลเลี่ยนหลายคน ผมเลยคิดว่า มันต้องเฟี้ยวแน่ ๆ
หลังจากนั้นหนึ่งวัน ผมได้รับสายจากเอเย่นต์ เขาบอกว่า “นายต้องการไปเรอัล มาดริดรึเปล่า ?”
เขาก็แค่พูดแบบนั้น
ผมตอบกลับไปว่า “เอ่ออ, จริงดิ, แน่ใจนะ ?”
ตอนนั้นผมยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าหมอนี่เป็นใคร
“นั้นนายจะได้ไปเรอัล มาดริดนะ เขียนลงไปด้วยหล่ะ”
ไม่กี่อาทิตย์ต่อมา เรากำลังเตะอยู่ที่ปอร์โต้ อัลเลเกร และทางเรอัล มาดริดก็ส่งคนมาพบผมที่โรงแรมของพวกเรา ผมลงไปที่ล็อบบี้ และสุภาพบุรุษคนนี้ก็แนะนำตัวเอง แต่เขาไม่ได้สวมเสื้อที่มีตราเรอัล มาดริดเลยนะ เขาไม่ได้ส่งอะไรให้ผมเลย นามบัตร ไม่มีเลย
และจากนั้นเขาก็เริ่มถามคำถามแบบว่า “นายมีแฟนรึเปล่า ?”
“เอ่อ, มีแล้วครับ” ผมตอบ
“แล้วนายอยู่กับใคร ?” เขาถามอีก
“เอ่อ, คุณยาย ?” ผมตอบประมาณนี้
อีกครั้ง ไม่มีนามบัตรอย่างเป็นทางการ ไม่มีงานเอกสาร และผมก็เริ่มคิดเองเออเองว่า, นี่แม่**เรื่องจริงป่ะเนี่ย ? กูจะโดนจับใส่เครื่องไปไซบีเรียหรือยังไง ?
สองวันต่อมา ผมได้รับสายว่าทางเรอัลต้องการผมไปที่มาดริด เพื่อ “ตรวจร่างกาย”
ผมก็ยังคิด, มันใช่หรอวะ ?
คุณต้องเข้าใจบางอย่างเกี่ยวกับตัวผม ก่อนผมอายุ 16 ผมยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าอะไรคือแชมป์เปี้ยนส์ ลีก ผมจำโมเมนต์นั้นได้แม่น ผมกำลังนั่งอยู่ในห้องพักที่เชเรม มีคนก็กำลังดูเกมฟุตบอลผ่านทางทีวี มันเป็นเกมระหว่างปอร์โต้กับโมนาโก แต่เกมมันแตกต่างออกไปมาก ตอนกลางคืน ภายใต้แสงสว่าง ลุมร้อมด้วยแฟนบอล และสนามก็ช่างสวยงามไร้ที่ติ มันน่าอัศจรรย์ ในลีกบราซิล อย่างดึกที่สุด แสงไฟก็ไม่สว่างขนาดนี้ หญ้าก็ไม่ได้เขียวขนาดนี้ด้วย
เกมนี้เหมือนกับว่ามันถูกถ่ายทอดมาจากดาวดวงอื่น ที่ผมยังไม่รู้
ถึงช่วงหนึ่ง ผมถามว่า “เฮ้ย นี่แม่**ลีกเชี่ยไรวะ ?”
“แชมป์เปี้ยนส์ ลีก” เพื่อนผมตอบ
“แชมป์เปี้ยนส์ ไรวะ?”
เขาตอบมาว่า “เพื่อน นี่คือแชมป์เปี้ยนส์ ลีกนัดชิง”
ผมไม่รู้เลยว่าเขากำลังพูดถึงอะไร ในบราซิล แชมป์เปี้ยนส์ ลีกสามารถดูผ่านทางช่องเพย์ เพอร์ วิวเท่านั้น คนอย่างผมยังเข้าถึงไม่ได้เลย
นั่นแหละ ก็อย่างที่ผมบอกไป ผมกำลังนั่งเครื่องไปมาดริด 😀