ตัวผมเอง อยุ่กรุงเทพ ฯ เป็นพนักงานบริษัทเอกชน เกี่ยวกับการเงินการลงทุน ที่ถ้าพูดชื่อก็น่าจะเป็นที่รู้จัก ผมทำงานตั้งแต่เรียนจบมาประมาณ 3 ปีกว่าๆ เงินเดือนปัจจุบันอยุ๋ในช่วง 25,000 – 30,000 บาท (แล้วแต่ OT กับค่า Commission แต่ละเดือนครับ) ฐานะทางบ้านผมอยู่ในระดับปานกลาง ผมมีน้องสาว 1 คน กำลังศึกษาอยูในระดับมหาวิทยาลัย พ่อผม อายุ 55 ปี เป็นผู้บริหารระดับกลาง ทำงานที่โรงงานแห่งหนึ่งในต่างจังหวัดใกล้กรุงเทพ ฯ เงินเดือนอยู่ในช่วง 50,000 – 100,000 บาท ส่วนแม่ผม อายุ 52 รับราชการ เป็นผู้บริหารของหน่วยงานหนึ่ง เงินเดือนอยู่ในช่วง 30,000 – 50,000 บาท ภาระหรือรายจ่ายหลักของครอบครัวมีอยู่ 2 อย่างคือ
1. บ้านในกรุงเทพ ฯ ที่อาศัยอยู่ตอนนี้ ผ่อนประมาณเดือนละ 9,000 ซึ่งกำลังจะหมดภาระในอีก ไม่เกิน 5 ปีข้างหน้า
2.ค่าเทอมของน้องสาว
ส่วนแฟน อาศัยอยู่บ้านที่ชานเมือง อายุเท่ากับผมทำงานที่บริษัทเก่า มา 2 ปี เป็นบริษัทเกี่ยวกับรถยนต์ จากนั้นตัดสินใจลาออกมา ทำงานบริษัท Startup เล็กๆแห่งหนึ่งแถวชานเมืองทำงานมาประมาณ 1 ปี เงินเดือนปัจจุบันอยู่ในช่วง 20,000 – 25,000 บาท ฐานะทางบ้านของแฟนอยู่ในระดับปานกลาง แฟนผมมีน้องสาว 1 คนกำลัง ศึกษาในระดับมหาวิทยาลัย (อายุเท่ากับน้องสาวผม )พ่อแฟนทำงานเป็นผู้บริหารระดับกลาง ในโรงงานแห่งหนึ่งยานชานเมือง เงินเดือนอยู่ในช่วง 30,000 – 50,000 บาท ส่วนแม่ของแฟนทำงานเป็น พนักงานระดับกลางที่โรงงานแห่งหนึ่งยานชานเมืองเงินเดือนอยุ่ในช่วง 30,000 -50,000 บาท
ภาระหรือรายจ่ายหลักของครอบครัวแฟนมีอยู่ 2 อย่างคือ
1.ค่าเทอมของน้องสาวแฟน
2.แฟนผมกู้ กยศ. ในสมัยเรียนมหาวิทยาลัย จึงต้องผ่อนส่งอยู่
ปัจจุบันผมคบกับแฟนมา ร่วมๆ 7 ปี ตั้งแต่สมัยเรียนมหาวิทยาลัยด้วยกัน จนมาถึงปัจจุบัน มีแผนว่าจะแต่งงานกันใน อีก 2-3 ปีข้างหน้า วางไว้ว่าน่าจะแต่งงานในปี 2019 หรือ 2020 ตอนนี้มีปัญหาเกิดขึ้นมากมาย ในระหว่างที่เรากำลังวางแผนกัน ซึ่งตอนแรกผมก็คุยกับแฟนไว้ว่าเราจะช่วยกันเก็บเงิน แต่งงานกันนะ ซื้อบ้านหลังเล็ก ๆ ราคาไม่แพงมาก ราคา 2-3 ล้านบาทอยู่ในทำเล ชานเมือง มีรถ Eco Car 1 คันพอให้เราเดินทางไปเที่ยว ไปทำงานได้สะดวก ซึ่งหลักๆ เลยคิดว่าจะซื้อบ้านก่อนที่จะแต่งงานจะได้ถือเป็นเรือนหอด้วย แล้วค่อยซื้อรถหลังจากแต่งงานก็ได้ ก็ช่วยกันเก็บเงินมาเรื่อย ๆ รวมกันปัจจุบันก็น่าจะได้ร่วม 2-3 แสนบาทแล้วละ โดยที่ผมและแฟนยังไม่ได้คุยกันกับที่บ้านหรอกว่าเราจะ แต่งงานกันคิดว่าเก็บเงินไปเรื่อยๆ ก่อนไว้สักปีหน้า 2018 จะบอกครอบครัวทั้งคู่เรื่องของเราว่าจะแต่งงานกัน
เรื่องมันดันมาเกิดขึ่นสะก่อนเมื่อประมาณต้นปีที่ผ่านมา พ่อผมได้เงินโบนัสมาก้อนนึง ก็เลยคุยกันกับแม่ว่าจะเอาเงินตรงนี้ไป ดาวน์ซื้อบ้านหลังใหม่ ย่านเดียวกับบ้านเดิม เพราะพ่อกับแม่ผมคุยกันว่าบ้านที่อยู่ปัจจุบันก็อยู่มา 20 กว่าปีแล้วเก่า และทรุดโทรมมากแล้ว ถ้าจะ Renovate ก็น่าจะใช้เงินพอๆ กับซื้อใหม่ พ่อแม่ผมเลยตัดสินใจที่จะซื้อบ้านหลังใหม่ ซึ่งแถวบ้านผมมีโครงการหมู่บ้าน ขึ้นใหม่ อยู่มากพอสมควร จึงเป็นเหตุผลให้พ่อแม่ผมตัดสินใจได้เร็ว จนไปเจอโครงการหนึ่งที่ห่างจากบ้านเดินผมไปประมาณ 5 KM เป็นบ้านเดี่ยว โครงการติดถนนใหญ่ ในราคา 5.xx ล้านบาท พ่อแม่ผมก็ทำเรื่องกู้ธนาคารโดยกู้ไป 100 % เพราะกะว่าจะเอา โบนัสที่ได้มาเป็นเงินในการตกแต่งบ้านอยู่แล้ว ราคาบ้านก็ผ่อนธนาคารไป บ้านเดิมก็ยังผ่อนอยู่เพราะมองว่าอีก 5 ปี ก็น่าจะหมดแล้วก็ไม่ได้ผ่อนหนักมาก บ้านใหม่ก็ผ่อนเพิ่มเข้าไปอีกถือว่ายังอยุ่ในช่วงที่พ่อแม่ผมยังไหว
แต่ทางธนาคารประเมินมาว่าพ่อผมอายุงานมากแล้ว ถ้าจะกู้จะได้วงเงินน้อย ถ้าจะเอาแม่ผมกู้คนเดียว วงเงินก็จะไม่มากพอที่จะซื้อบ้านหลังใหม่ได้ในราคา 5.xx ล้านบาท พ่อแม่จึงมาคุยกับผมว่าจะเอาผมเป็นผู้กู้ร่วมกับแม่ เพราะว่าผมกับแม่รวมกันน่าจะได้วงเงินที่พอกับราคาของบ้าน ซึ่งธนาคารลองประเมินคล่าวๆ ก็พบว่าถ้าผมกู้ร่วมกับแม่ วงเงินจะมากพอสำหรับซื้อบ้านหลังนี้พอดี ซึ่งตอนนั้นผมก็ยังมี ข้อขัดแยงในใจว่า ถ้าเอาชื่อผมเข้าไปกู้ร่วม แผนที่ผมวางไว้กับแฟนก็จะ ทำไม่ได้เพราะ ถ้าผมกู้ซื้อบ้านกับแม่แล้ว ผมก็จะไม่สามารถกู้ซื้อบ้านได้อีก ในระยะเวลา 10 ปีเป็นอย่างน้อย ผมก็เลยคุยกับพ่อแม่ว่า มันจำเป็นไหม บ้านหลังใหม่ ราคาก็ถือว่าสูงอยุ่เหมือนกัน อยากให้พ่อแม่เก็บเงินไว้ใช้ในยาม เกษียณอายุไปแล้วมากกว่า บ้านเก่าผม มองว่ามันก็ยังอยู่อาศัยได้ ส่วนไหนที่เสียก็ซ่อมแซมไป ทีละนิดไม่ต้องไปกู้เงินมาซ่อมหรอก ค่อยๆทำไปตามกำลัง จะได้ไม่เป็นหนี้ซ้ำซ้อนไปอีก แต่พ่อแม่ผมก็คิดว่าจะซื้อบ้านหลังใหม่นี่และ เป็นของขวัญวันเกษียณ และก็อยากผมมาอยู่ด้วยกันที่บ้านใหม่ ซึ่งผมก็คัดค้านในทันทีเพราะคุยกับแฟนไว้แล้วว่าเราจะแยก ออกมาอยู่กันเอง พ่อแม่ผมเลยเสนอว่า ก็เอาชื่อผมเข้ามากู้ร่วมเพื่อซื้อบ้านใหม่ให้พ่อแม่ ในส่วนของการผ่อนนั้น พ่อผมก็จะเป็นคนผ่อนทั้งหมด เพียงแต่เอาชื่อผมเข้าไปกู้ร่วมเท่านั้น เพื่อให้ได้วงเงิน ทุกงวดการผ่อนชำระพ่อผมจะเป็นคนโอนมาให้ผมทั้งหมด ถือว่าเป็นคำขอสุดท้ายที่พ่อแม่อยากขอ ส่วนบ้านเก่าถ้าอยากจะแยกออกมาอยู่เองจริงๆ พ่อแม่ผม ก็จะยกให้ผมกับแฟนไปอยู่กันไปจะได้ไม่ต้องเสียเงินไปซื้อใหม่ แค่ซ่อมแซมตกแต่งไหมก็จะใช้เงินไม่มาก ผมเลยยอมรับข้อเสนอของพ่อแม่ในทันที
ในระหว่างดำเนินการกับทางธนาคาร ผมก็ปรึกษาแฟนตลอดว่าคุยกับพ่อแม่ผมเรื่อง บ้านเรียบร้อย แล้วไม่ต้องไปหาซื้อใหม่แล้วเอาบ้านเก่านี่และมา ปรับปรุงเราก็อยู่ได้ถือว่าประหยัดดี ทำเลก็ไม่ได้แย่อยู่ในกรุงเทพ อณาคตจะมีรถไฟฟ้าวิ่งผ่านเพราะปัจจุบันโครงการรถไฟฟ้าก็กำลังสร้างอยู่ และอยู่ใกล้บ้านเพียง 700 เมตรก็ถึง สถานีแล้ว ซึ่งตอนแรกแฟนก็บอกว่า ถือว่าช่วยแม่ผม ทดแทนบุญคุณแล้วกัน แต่เหมือนพักหลังๆ แฟนผมจะไม่เห็นด้วยกับเรื่องนี้ เธอมองว่าอยากเริ่มต้นชีวิตใหม่ ซื้อบ้านใหม่อยู่ในทำเลใหม่ ๆ ซึ่งผมก็อธิบายไปแล้วว่าถ้าผมกู้ร่วมกับแม่ไปแล้วก็จะไม่สามารถกู้ซื้อบ้านกับเธอได้ แต่อำนาจในการช่วยผ่อนผมยังทำได้ เพราะถ้ามองจริง ๆ ถือว่าผมปลอดภาระทาง พฤตินัย ก็สามารถให้แฟนกู้คนเดียวแล้วผมช่วยผ่อนได้ ถ้าราคาบ้านไม่สูงมากแฟนผมกู้ 100% จะน่าจะถึงราคาบ้านไม่เกิน 2-3 ล้านบาท แต่แฟนก็มองว่าการที่ฝ่ายหญิงจะกู้คนเดียว เพื่อเอามาเป็นเรือนหอ ทางญาติผู้ใหญ่ทางฝ่ายแฟนก็จะไม่โอเคอีก
ปัจจุบันนี้ผมยังหาข้อสรุปที่จะทำให้ทุกฝ่ายลงรอย กันยังทำไม่ได้เลย เพราะผมก็ไม่รุ้ว่าจะทำอย่างไรดี อีกฝ่ายก็เป็นแม่ผมเอง อีกฝ่ายก็เป็นแฟนผม ผมก็รักทั้งคู่ ซึ่งผมก็เลือกที่จะช่วยแม่ไปแล้ว แต่ผมก็อยากให้แฟน Happy ด้วย ส่วนตัวผมก็ไม่รู้จะทำไงดี ได้แต่ตั้งใจเก็บเงินต่อไป เพียงแต่หวังว่าวันนึง แฟนผมจะเข้าใจว่าผมอยากประหยัด อยากใช้ชีวิตแบบเรียบง่าย อะไรที่มันมีอยู่แล้วก็ ไม่จำเป็นต้องซื้อใหม่ ผมจะเก็บเงินให้มากพอ แล้วเอาเงินตรงส่วนนี้ไป จัดงานแต่งงาน และซ่อมเซมบ้านเก่าผม ให้มันกลับมาเหมือนเรือนหอของเรา แต่อาจจะต้องใช้เวลานานหน่อย แผนการแต่งงานของผมกับแฟนอาจจะต้องเลื่อนออกไป ซึ่งแฟนผมก็ไม่โอเคไปกันใหญ่ ช่วงนี้ก็เลยทะเลาะกันอยู่เรื่อย ๆ แต่ก็ยังสู้ด้วยกันต่อไป พักหลังนี่ก็เหมือนจะนอย ๆ บ่อยขึ้นเพราะ แฟนผมรู้สึกว่ามันผิดแผนไปสะหมด ผมเองก็ลำบากใจเหมือนกันแต่ทำไร ไม่ได้เลยนอกจาก ปลอบให้แฟนผมรู้สึกโอเค และเติมเต็มกำลังใจอดทน สู้ด้วยกันต่อไป แต่ผมก็ไม่รู้ว่าเธอจะอดทน ไปได้อีกนานไหม กลัวว่าวันนึงเธอจะท้อและจากผมไปก่อน ผมก็เข้าใจนะว่า สถาณการณ์แบบนี้มันเป็นสิ่งที่แย่ เหมือนกัน ผมเลยอยากจะถาทุกท่านว่า ถ้าท่านเป็นผมจะมีทางออกสำหรับเหตุการณ์นี้อย่างไรครับ
จริง ๆ แล้วผมก็มีคิดๆ ไว้บ้างว่าทางออกมันพอจะมีอะไรบ้างนะครับ แต่ยังไม่ได้ตัดสินใจว่าจะไปทางไหนดี
1.ถ้าเกิดว่าผมสามารถพิสูจน์ตัวเองโดนการเก็บเงินได้มากพอ ถึงแม้ว่าผมจะลำบากใช้ความอดทนอย่างมากก็ตาม แต่ผมจะทำเพื่อให้งานแต่งงานของเราไม่เลื่อนออกไป ยังคงแผนเดิมไว้ และจะพยายามคุยกับแฟนและพ่อแม่แฟนว่า เรือนหอ อาจจะใช้บ้านหลังเก่าของผมจะติดปัญหาอะไรไหม ส่วนงานแต่งงานอาจจะช่วยกันออกค่าจัดงานคนละครึ่ง
2.อาจจะต้องยอมเป็นหนี้ไปกู้เงินนอกระบบ มาแต่งงาน และเอามาซื้อบ้านใหม่เป็นเรือหอ ทำตามความฝันของแฟนผม ให้สำเร็จถึงแม้ดอกจะโหดร้าย แต่ผมก็ยอม
3.ไปคุยกับพ่อแม่ผมว่า ผมมีปัญหาแบบนี้ต้องใช้เงิน เพราะว่าอยากได้เรือนหอใหม่ อยากให้พ่อแม่ ขายที่ดินที่ต่างจังหวัดเพื่อเอามาปลดหนี้บ้านของผมที่กู้กับแม่ ให้หมด ผมก็จะได้กู้ซื้อเรือหอใหม่กับแฟนได้ ซึ่งจริงๆ ผมก็ไม่อยากเลือกวิธีนี้เพราะว่า ที่ดินเป็นของ ปู่-ย่า , ตา-ยาย บรรพบุรุษรักษาไว้ ส่งต่อมาเป็นรุ่นสู่รุ่น แต่ถ้ามันจำเป็นก็อาจจะลองคุยดู
4.ทำไงไม่ได้ นอกจากอดทนแล้วเก็บเงินต่อไปเรื่อยๆ จนสามารถ แต่งงานได้ แล้วยังเหลือเงินสด มากพอที่จะเอามาดาวน์เรือนหอได้สัก 50% ของราคาบ้านก็ยังดี แต่มันก็คงจะใช้ระยะเวลานานมาก แล้วงานแต่งงานอาจจะต้องเลื่อนอย่างไม่มีกำหนด
****สุดท้ายผมขอ ขอบคุณทุกท่านนะครับ ที่อ่านจนจบ อยากเสนอข้อคิดเห็นอย่างไร ติชมกันมาได้เลยนะครับ ผมยินดีรับฟังข้อเสนอแนะ ทุกความคิด ไว้พิจารณา ครับ
Tag ผิดห้องขออภัยด้วยนะครับ ผมไม่รู้เหมือนกันว่าควรจะ Tag ห้องไหนบ้าง
กำลังวางแผนจะแต่งงาน แต่ติดปัญหาสะก่อน ควรไปต่อ หรือรอต่อไปครับ
1. บ้านในกรุงเทพ ฯ ที่อาศัยอยู่ตอนนี้ ผ่อนประมาณเดือนละ 9,000 ซึ่งกำลังจะหมดภาระในอีก ไม่เกิน 5 ปีข้างหน้า
2.ค่าเทอมของน้องสาว
ส่วนแฟน อาศัยอยู่บ้านที่ชานเมือง อายุเท่ากับผมทำงานที่บริษัทเก่า มา 2 ปี เป็นบริษัทเกี่ยวกับรถยนต์ จากนั้นตัดสินใจลาออกมา ทำงานบริษัท Startup เล็กๆแห่งหนึ่งแถวชานเมืองทำงานมาประมาณ 1 ปี เงินเดือนปัจจุบันอยู่ในช่วง 20,000 – 25,000 บาท ฐานะทางบ้านของแฟนอยู่ในระดับปานกลาง แฟนผมมีน้องสาว 1 คนกำลัง ศึกษาในระดับมหาวิทยาลัย (อายุเท่ากับน้องสาวผม )พ่อแฟนทำงานเป็นผู้บริหารระดับกลาง ในโรงงานแห่งหนึ่งยานชานเมือง เงินเดือนอยู่ในช่วง 30,000 – 50,000 บาท ส่วนแม่ของแฟนทำงานเป็น พนักงานระดับกลางที่โรงงานแห่งหนึ่งยานชานเมืองเงินเดือนอยุ่ในช่วง 30,000 -50,000 บาท
ภาระหรือรายจ่ายหลักของครอบครัวแฟนมีอยู่ 2 อย่างคือ
1.ค่าเทอมของน้องสาวแฟน
2.แฟนผมกู้ กยศ. ในสมัยเรียนมหาวิทยาลัย จึงต้องผ่อนส่งอยู่
ปัจจุบันผมคบกับแฟนมา ร่วมๆ 7 ปี ตั้งแต่สมัยเรียนมหาวิทยาลัยด้วยกัน จนมาถึงปัจจุบัน มีแผนว่าจะแต่งงานกันใน อีก 2-3 ปีข้างหน้า วางไว้ว่าน่าจะแต่งงานในปี 2019 หรือ 2020 ตอนนี้มีปัญหาเกิดขึ้นมากมาย ในระหว่างที่เรากำลังวางแผนกัน ซึ่งตอนแรกผมก็คุยกับแฟนไว้ว่าเราจะช่วยกันเก็บเงิน แต่งงานกันนะ ซื้อบ้านหลังเล็ก ๆ ราคาไม่แพงมาก ราคา 2-3 ล้านบาทอยู่ในทำเล ชานเมือง มีรถ Eco Car 1 คันพอให้เราเดินทางไปเที่ยว ไปทำงานได้สะดวก ซึ่งหลักๆ เลยคิดว่าจะซื้อบ้านก่อนที่จะแต่งงานจะได้ถือเป็นเรือนหอด้วย แล้วค่อยซื้อรถหลังจากแต่งงานก็ได้ ก็ช่วยกันเก็บเงินมาเรื่อย ๆ รวมกันปัจจุบันก็น่าจะได้ร่วม 2-3 แสนบาทแล้วละ โดยที่ผมและแฟนยังไม่ได้คุยกันกับที่บ้านหรอกว่าเราจะ แต่งงานกันคิดว่าเก็บเงินไปเรื่อยๆ ก่อนไว้สักปีหน้า 2018 จะบอกครอบครัวทั้งคู่เรื่องของเราว่าจะแต่งงานกัน
เรื่องมันดันมาเกิดขึ่นสะก่อนเมื่อประมาณต้นปีที่ผ่านมา พ่อผมได้เงินโบนัสมาก้อนนึง ก็เลยคุยกันกับแม่ว่าจะเอาเงินตรงนี้ไป ดาวน์ซื้อบ้านหลังใหม่ ย่านเดียวกับบ้านเดิม เพราะพ่อกับแม่ผมคุยกันว่าบ้านที่อยู่ปัจจุบันก็อยู่มา 20 กว่าปีแล้วเก่า และทรุดโทรมมากแล้ว ถ้าจะ Renovate ก็น่าจะใช้เงินพอๆ กับซื้อใหม่ พ่อแม่ผมเลยตัดสินใจที่จะซื้อบ้านหลังใหม่ ซึ่งแถวบ้านผมมีโครงการหมู่บ้าน ขึ้นใหม่ อยู่มากพอสมควร จึงเป็นเหตุผลให้พ่อแม่ผมตัดสินใจได้เร็ว จนไปเจอโครงการหนึ่งที่ห่างจากบ้านเดินผมไปประมาณ 5 KM เป็นบ้านเดี่ยว โครงการติดถนนใหญ่ ในราคา 5.xx ล้านบาท พ่อแม่ผมก็ทำเรื่องกู้ธนาคารโดยกู้ไป 100 % เพราะกะว่าจะเอา โบนัสที่ได้มาเป็นเงินในการตกแต่งบ้านอยู่แล้ว ราคาบ้านก็ผ่อนธนาคารไป บ้านเดิมก็ยังผ่อนอยู่เพราะมองว่าอีก 5 ปี ก็น่าจะหมดแล้วก็ไม่ได้ผ่อนหนักมาก บ้านใหม่ก็ผ่อนเพิ่มเข้าไปอีกถือว่ายังอยุ่ในช่วงที่พ่อแม่ผมยังไหว
แต่ทางธนาคารประเมินมาว่าพ่อผมอายุงานมากแล้ว ถ้าจะกู้จะได้วงเงินน้อย ถ้าจะเอาแม่ผมกู้คนเดียว วงเงินก็จะไม่มากพอที่จะซื้อบ้านหลังใหม่ได้ในราคา 5.xx ล้านบาท พ่อแม่จึงมาคุยกับผมว่าจะเอาผมเป็นผู้กู้ร่วมกับแม่ เพราะว่าผมกับแม่รวมกันน่าจะได้วงเงินที่พอกับราคาของบ้าน ซึ่งธนาคารลองประเมินคล่าวๆ ก็พบว่าถ้าผมกู้ร่วมกับแม่ วงเงินจะมากพอสำหรับซื้อบ้านหลังนี้พอดี ซึ่งตอนนั้นผมก็ยังมี ข้อขัดแยงในใจว่า ถ้าเอาชื่อผมเข้าไปกู้ร่วม แผนที่ผมวางไว้กับแฟนก็จะ ทำไม่ได้เพราะ ถ้าผมกู้ซื้อบ้านกับแม่แล้ว ผมก็จะไม่สามารถกู้ซื้อบ้านได้อีก ในระยะเวลา 10 ปีเป็นอย่างน้อย ผมก็เลยคุยกับพ่อแม่ว่า มันจำเป็นไหม บ้านหลังใหม่ ราคาก็ถือว่าสูงอยุ่เหมือนกัน อยากให้พ่อแม่เก็บเงินไว้ใช้ในยาม เกษียณอายุไปแล้วมากกว่า บ้านเก่าผม มองว่ามันก็ยังอยู่อาศัยได้ ส่วนไหนที่เสียก็ซ่อมแซมไป ทีละนิดไม่ต้องไปกู้เงินมาซ่อมหรอก ค่อยๆทำไปตามกำลัง จะได้ไม่เป็นหนี้ซ้ำซ้อนไปอีก แต่พ่อแม่ผมก็คิดว่าจะซื้อบ้านหลังใหม่นี่และ เป็นของขวัญวันเกษียณ และก็อยากผมมาอยู่ด้วยกันที่บ้านใหม่ ซึ่งผมก็คัดค้านในทันทีเพราะคุยกับแฟนไว้แล้วว่าเราจะแยก ออกมาอยู่กันเอง พ่อแม่ผมเลยเสนอว่า ก็เอาชื่อผมเข้ามากู้ร่วมเพื่อซื้อบ้านใหม่ให้พ่อแม่ ในส่วนของการผ่อนนั้น พ่อผมก็จะเป็นคนผ่อนทั้งหมด เพียงแต่เอาชื่อผมเข้าไปกู้ร่วมเท่านั้น เพื่อให้ได้วงเงิน ทุกงวดการผ่อนชำระพ่อผมจะเป็นคนโอนมาให้ผมทั้งหมด ถือว่าเป็นคำขอสุดท้ายที่พ่อแม่อยากขอ ส่วนบ้านเก่าถ้าอยากจะแยกออกมาอยู่เองจริงๆ พ่อแม่ผม ก็จะยกให้ผมกับแฟนไปอยู่กันไปจะได้ไม่ต้องเสียเงินไปซื้อใหม่ แค่ซ่อมแซมตกแต่งไหมก็จะใช้เงินไม่มาก ผมเลยยอมรับข้อเสนอของพ่อแม่ในทันที
ในระหว่างดำเนินการกับทางธนาคาร ผมก็ปรึกษาแฟนตลอดว่าคุยกับพ่อแม่ผมเรื่อง บ้านเรียบร้อย แล้วไม่ต้องไปหาซื้อใหม่แล้วเอาบ้านเก่านี่และมา ปรับปรุงเราก็อยู่ได้ถือว่าประหยัดดี ทำเลก็ไม่ได้แย่อยู่ในกรุงเทพ อณาคตจะมีรถไฟฟ้าวิ่งผ่านเพราะปัจจุบันโครงการรถไฟฟ้าก็กำลังสร้างอยู่ และอยู่ใกล้บ้านเพียง 700 เมตรก็ถึง สถานีแล้ว ซึ่งตอนแรกแฟนก็บอกว่า ถือว่าช่วยแม่ผม ทดแทนบุญคุณแล้วกัน แต่เหมือนพักหลังๆ แฟนผมจะไม่เห็นด้วยกับเรื่องนี้ เธอมองว่าอยากเริ่มต้นชีวิตใหม่ ซื้อบ้านใหม่อยู่ในทำเลใหม่ ๆ ซึ่งผมก็อธิบายไปแล้วว่าถ้าผมกู้ร่วมกับแม่ไปแล้วก็จะไม่สามารถกู้ซื้อบ้านกับเธอได้ แต่อำนาจในการช่วยผ่อนผมยังทำได้ เพราะถ้ามองจริง ๆ ถือว่าผมปลอดภาระทาง พฤตินัย ก็สามารถให้แฟนกู้คนเดียวแล้วผมช่วยผ่อนได้ ถ้าราคาบ้านไม่สูงมากแฟนผมกู้ 100% จะน่าจะถึงราคาบ้านไม่เกิน 2-3 ล้านบาท แต่แฟนก็มองว่าการที่ฝ่ายหญิงจะกู้คนเดียว เพื่อเอามาเป็นเรือนหอ ทางญาติผู้ใหญ่ทางฝ่ายแฟนก็จะไม่โอเคอีก
ปัจจุบันนี้ผมยังหาข้อสรุปที่จะทำให้ทุกฝ่ายลงรอย กันยังทำไม่ได้เลย เพราะผมก็ไม่รุ้ว่าจะทำอย่างไรดี อีกฝ่ายก็เป็นแม่ผมเอง อีกฝ่ายก็เป็นแฟนผม ผมก็รักทั้งคู่ ซึ่งผมก็เลือกที่จะช่วยแม่ไปแล้ว แต่ผมก็อยากให้แฟน Happy ด้วย ส่วนตัวผมก็ไม่รู้จะทำไงดี ได้แต่ตั้งใจเก็บเงินต่อไป เพียงแต่หวังว่าวันนึง แฟนผมจะเข้าใจว่าผมอยากประหยัด อยากใช้ชีวิตแบบเรียบง่าย อะไรที่มันมีอยู่แล้วก็ ไม่จำเป็นต้องซื้อใหม่ ผมจะเก็บเงินให้มากพอ แล้วเอาเงินตรงส่วนนี้ไป จัดงานแต่งงาน และซ่อมเซมบ้านเก่าผม ให้มันกลับมาเหมือนเรือนหอของเรา แต่อาจจะต้องใช้เวลานานหน่อย แผนการแต่งงานของผมกับแฟนอาจจะต้องเลื่อนออกไป ซึ่งแฟนผมก็ไม่โอเคไปกันใหญ่ ช่วงนี้ก็เลยทะเลาะกันอยู่เรื่อย ๆ แต่ก็ยังสู้ด้วยกันต่อไป พักหลังนี่ก็เหมือนจะนอย ๆ บ่อยขึ้นเพราะ แฟนผมรู้สึกว่ามันผิดแผนไปสะหมด ผมเองก็ลำบากใจเหมือนกันแต่ทำไร ไม่ได้เลยนอกจาก ปลอบให้แฟนผมรู้สึกโอเค และเติมเต็มกำลังใจอดทน สู้ด้วยกันต่อไป แต่ผมก็ไม่รู้ว่าเธอจะอดทน ไปได้อีกนานไหม กลัวว่าวันนึงเธอจะท้อและจากผมไปก่อน ผมก็เข้าใจนะว่า สถาณการณ์แบบนี้มันเป็นสิ่งที่แย่ เหมือนกัน ผมเลยอยากจะถาทุกท่านว่า ถ้าท่านเป็นผมจะมีทางออกสำหรับเหตุการณ์นี้อย่างไรครับ
จริง ๆ แล้วผมก็มีคิดๆ ไว้บ้างว่าทางออกมันพอจะมีอะไรบ้างนะครับ แต่ยังไม่ได้ตัดสินใจว่าจะไปทางไหนดี
1.ถ้าเกิดว่าผมสามารถพิสูจน์ตัวเองโดนการเก็บเงินได้มากพอ ถึงแม้ว่าผมจะลำบากใช้ความอดทนอย่างมากก็ตาม แต่ผมจะทำเพื่อให้งานแต่งงานของเราไม่เลื่อนออกไป ยังคงแผนเดิมไว้ และจะพยายามคุยกับแฟนและพ่อแม่แฟนว่า เรือนหอ อาจจะใช้บ้านหลังเก่าของผมจะติดปัญหาอะไรไหม ส่วนงานแต่งงานอาจจะช่วยกันออกค่าจัดงานคนละครึ่ง
2.อาจจะต้องยอมเป็นหนี้ไปกู้เงินนอกระบบ มาแต่งงาน และเอามาซื้อบ้านใหม่เป็นเรือหอ ทำตามความฝันของแฟนผม ให้สำเร็จถึงแม้ดอกจะโหดร้าย แต่ผมก็ยอม
3.ไปคุยกับพ่อแม่ผมว่า ผมมีปัญหาแบบนี้ต้องใช้เงิน เพราะว่าอยากได้เรือนหอใหม่ อยากให้พ่อแม่ ขายที่ดินที่ต่างจังหวัดเพื่อเอามาปลดหนี้บ้านของผมที่กู้กับแม่ ให้หมด ผมก็จะได้กู้ซื้อเรือหอใหม่กับแฟนได้ ซึ่งจริงๆ ผมก็ไม่อยากเลือกวิธีนี้เพราะว่า ที่ดินเป็นของ ปู่-ย่า , ตา-ยาย บรรพบุรุษรักษาไว้ ส่งต่อมาเป็นรุ่นสู่รุ่น แต่ถ้ามันจำเป็นก็อาจจะลองคุยดู
4.ทำไงไม่ได้ นอกจากอดทนแล้วเก็บเงินต่อไปเรื่อยๆ จนสามารถ แต่งงานได้ แล้วยังเหลือเงินสด มากพอที่จะเอามาดาวน์เรือนหอได้สัก 50% ของราคาบ้านก็ยังดี แต่มันก็คงจะใช้ระยะเวลานานมาก แล้วงานแต่งงานอาจจะต้องเลื่อนอย่างไม่มีกำหนด
****สุดท้ายผมขอ ขอบคุณทุกท่านนะครับ ที่อ่านจนจบ อยากเสนอข้อคิดเห็นอย่างไร ติชมกันมาได้เลยนะครับ ผมยินดีรับฟังข้อเสนอแนะ ทุกความคิด ไว้พิจารณา ครับ
Tag ผิดห้องขออภัยด้วยนะครับ ผมไม่รู้เหมือนกันว่าควรจะ Tag ห้องไหนบ้าง