ควรรู้ สางปัญหา หมดสิทธิ์ฉีก "ใบสั่ง" ทิ้ง

ควรรู้ สางปัญหา หมดสิทธิ์ฉีก"ใบสั่ง"ทิ้ง


- ได้ “ใบสั่ง” หมดสิทธิขยำทิ้ง ปิดช่องว่างตำรวจ-ขนส่งฯ เบี้ยวจ่ายโดนหนักหลายเด้ง!!

- ปัญหาคนที่กระทำผิดกฎหมายจราจร แล้วไม่ยอมมาชำระค่าปรับหรือ “เบี้ยวค่าปรับ” ถือว่าเป็นปัญหาที่แก้ไม่ตกมานาน แม้ว่าจะมีการระบุไว้ใน พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ.2522 หรือกว่า 38ปี มาแล้ว นั่นก็เป็นเพราะเรื่องของ “ใบสั่ง” “ใบขับขี่” “ทะเบียนรถ” ผูกพันเกี่ยวข้องกันที่จะทำให้การบังคับใช้มีประสิทธิภาพ แต่มีปัญหาข้ดข้องในข้อกฎหมาย ของ2หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง คือ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และ กรมการขนส่งทางบก ซึ่งไม่มีระบบฐานข้อมูลตรวจเช็คเชื่อมโยงระหว่างกัน อีกทั้งอายุความของ พรบ.จราจรทางบก 2522 ที่บังคับใช้กับผู้ที่ทำผิดข้อหาจราจรต่างๆ ก็มีอายุความเพียง 1 ปี เท่านั้นหากไม่จ่ายพอหมดอายุความ ก็สามารถไปชำระภาษีประจำปีและขับขี่บนถนนได้ตามปกติ

สาเหตุที่ทำให้ใบสั่งจราจรไร้ค่า นั่นเพราะที่ผ่านมาการอายัดการต่อทะเบียนรถหรือจ่ายภาษีรถประจำปีไม่สามารถบังคับต่อผู้ที่เบี้ยวจ่ายค่าปรับจราจรได้ ด้วยเหตุว่าการรับชำระภาษีรถประจำปีอยู่ในอำนาจหน้าที่ของกรมการขนส่งทางบก ซึ่งเป็นอีกหน่วยงานที่จัดตั้งขึ้นมาภายหลังจากที่พ.ร.บ.จราจรทางบก แต่ได้ระบุภารกิจของกรมขนส่งฯว่ามีหน้าที่รับชำระภาษี ไม่สามารถงดรับต่อภาษีรถได้ จึงทำให้ตำรวจในฐานะผู้บังคับใช้กฎหมาย ออกใบสั่งไปก็ไร้ผล เพราะรถคันที่ทำผิด คนที่ทำผิดก็ยังคงต่อภาษีรถใช้งานได้ตามปกติ

ที่ผ่านมาคนที่ทำผิดกฎจราจรจะเดือดเนื้อร้อนใจก็เฉพาะกรณีใบสั่งที่ออกให้โดยเจอตัวมีการยึดใบอนุญาตขับรถ หรือใบขับขี่ เท่านั้น ที่จะยอมมาชำระค่าปรับเพื่อจะได้มีใบขับขี่ไว้ติดกระเป๋าให้อุ่นใจดังเดิม ในขณะที่ปัจจุบันเจ้าหน้าที่ตำรวจก็ได้นำเทคโนโลยีต่างๆเข้ามาช่วยในการตรวจตรากวดขันผู้กระทำผิดโดยเป็นการจับด้วยภาพ จับด้วยกล้องแล้วส่งใบสั่งไปทางไปรษณีย์ที่มีแนวโน้มจะใช้วิธีนี้การกวดขันตามกฎหมายจราจรเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งหากไม่สามารถแก้ไขปัญหาให้กฎหมายมีสภาพบังคับใช้ได้ บรรดาใบสั่งที่ส่งออกไปก็ไร้ผลดังนั้นจึงเป็นที่มาของการแก้ปัญหาดังกล่าว และเกิดผลสัมฤทธิได้ในยุคของรัฐบาลปัจจุบัน

โดยสำนักงานตำรวจแห่งชาติได้เสนอให้คณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) ออกกฎหมาย เรื่อง มาตรการเพิ่มประสิทธิภาพการบังคับใช้กฎหมายว่าด้วยจราจรทางบก ซึ่งได้ประกาศลงในราชกิจจานุเบกษา มีสภาพบังคับใช้แล้ว ได้อุดช่องโหว่ของกฎหมายเดิมให้สามารถบังคับกับผู้ทำผิดกฎจราจรได้ครบกระบวนการนั่นหมายถึงมีรายละเอียดบังคับไปถึงขั้นตอนการต่อภาษีรถประจำปีของรถที่ทำผิดกฎจราจรสามารถบังคับใช้ได้ แม้จะไม่ถึงขั้นอายัดการต่อทะเบียนแต่ก็จะเกิดปัญหาข้อติดขัดกับคนที่ทำผิดกฎจราจรแล้วเพิกเฉยไม่มาจ่ายค่าปรับใบสั่งได้แน่นอน

ทั้งนี้ในการแก้ไขกฎหมายที่มีการเปลี่ยนแปลงเพิ่มเติมนั้นได้ยกเลิกมาตรา141ทวิ ของพ.ร.บ.จราจรทางบก และประกาศมาตรา 141/1 แทนฉบับเดิมโดยข้อความในกฎหมายฉบับใหม่นั้นระบุว่าสารวัตรจราจร(สว.จร.)ไปจนถึงรองผู้กำกับจราจร(รองผกก.จร.)ของแต่ละโรงพักจะต้องเป็นผู้ออกหนังสือเตือนไปยังผู้ที่ทำผิกฎจราจรหากไม่มาชำระค่าปรับตามกำหนด ซึ่งครอบคลุมทั้งการออกใบเตือนสำหรับผู้ที่เบี้ยวจ่ายค่าปรับทั้งกรณีเจอตัวผู้กระทำผิดและกรณีไม่เจอตัวแต่เป็นการส่งใบสั่งให้ตามที่อยู่ทะเบียนรถที่ปรากฎ หากผู้ที่ได้รับใบสั่งยังเพิกเฉยไม่ยอมมาดำเนินการ เจ้าหน้าที่ตำรวจจะต้องส่งข้อมูลจำนวนค่าปรับที่ค้างชำระพร้อมหลักฐานไปยังกรมการขนส่งทางบก เพื่อให้ชำระค่าปรับที่ค้างจ้างจ่ายอยู่ทั้งหมด จึงจะได้รับหลักฐานการชำระภาษีประจำปีตัวจริงได้ รวมทั้งการที่ไม่มาจ่ายค่าปรับตามกำหนดที่ตำรวจแจ้งเตือน มารอจนถึงเวลาจ่ายภาษีรถประจำปี ก็จะถูกปรับเพิ่มอีกหนึ่งข้อหาตามมาตรา 155 พ.ร.บ.จราจรทางบกฐานจ่ายค่าปรับล่าช้าเกินเวลา จะถูกปรับในข้อหานี้อีกไม่เกิน 1,000 บาท

เป็นอันว่าต่อไปหากไม่ใส่ใจใบสั่งก็จะโดนจ่ายค่าปรับ2เด้งอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะตราบใดที่ไม่ชำระค่าปรับที่ค้างอยู่ก็จะไม่มีป้ายต่อภาษีตัวจริงมาติดแสดงที่รถ ฉะนั้นเมื่อขับขี่ไปที่ไหนตำรวจตรวจพบก็จะถูกจับปรับข้อหาใช้รถไม่ชำระภาษีประจำปี เป็นความผิดตามพ.ร.บ.รถยนต์ อัตราโทษปรับไม่เกิน 2,000 บาท เรียกได้ว่ามีโอกาสจะโดนปรับหลายเด้งตามมาติดๆและคงใช้รถกันแบบไม่เป็นสุข ไปจนกว่าจะยอมเสียค่าปรับทั้งหมดและได้ป้ายต่อภาษีตัวจริง ถึงตรงนี้แล้วคงไม่มีใครทู่ซี้ยอมขับขี่แบบกล้าๆกลัวๆ ไปให้ครบ 1 ปีเพื่อรอให้หมดอายุความเป็นแน่

ด้านพล.ต.ท.วิทยา ประยงค์พันธ์ ผู้ช่วยผู้บัญชาการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ(ผช.ผบ.ตร. )กล่าวว่า ขณะนี้ตำรวจและขนส่งฯอยู่ระหว่างการเชื่อมฐานข้อมูลเข้าด้วยกันซึ่งคาดว่าระบบจะเสร็จสมบูรณ์พร้อมใช้ได้ภายในปลายปี2560นี้ และจะดำเนินการทั้งประเทศ โดยกรมขนส่งฯสามารถเข้าฐานข้อมูลใบสั่งได้ทันที ตรวจเช็คข้อมูลใบสั่งที่แต่ละโรงพักทำการจับปรับมาในแต่ละวัน ทั้งนี้ระบบจะทำงานโดยอัตโนมัติหากใบสั่งใดเลยกำหนดวันชำระภายใน 15 วัน ไม่มีการชำระค่าปรับ ก็จะสั่งพิมพ์หนังสือเตือนครั้งแรกออกมาให้ทันที เพื่อให้ตำรวจส่งจดหมายเตือนไปตามที่อยู่รถคันที่ทำผิด โดยระบบจะตรวจสอบข้อมูลและเก็บไว้ในฐานข้อมูลเพื่อให้กรมขนส่งฯตรวจสอบ ทั้งนี้โรงพักทั่วประเทศจะใช้ระบบเดียวกันทั้งหมดเพื่อให้ข้อมูลเป็นฐานเดียวกันซึ่งจะง่ายต่อการตรวจสอบ ต่อจากนี้จะบังคับใช้กฎหมายจราจรต่อผู้ทำกระทำผิดให้มาชำระค่าปรับได้ 100เปอร์เซ็นต์จากที่ขณะนี้พบว่ามีการมาชำระค่าปรับเพียง 40 เปอร์เซ็นต์ของการออกใบสั่งทั้งหมดโดยทั่วประเทศมีการออกใบสั่งประมาณ 1.4 ล้านใบต่อปี

“ค่อนข้างมั่นใจกับแนวทางแก้ปัญหาดังกล่าวเพราะว่าประชาชนจะเกรงกลัวต่อกฎหมายมากขึ้น เนื่องจากก่อนหน้านี้มีการประกาศบังคับใช้กฎหมายฉบับใหม่จำนวนผู้มาชำระค่าปรับเพิ่มขึ้นกว่าเท่าตัว เพราะประชาชนทราบว่าหากไม่มาจ่ายค่าปรับก็จะมีปัญหาต่างๆตามมา และยังต้องถูกปรับเพิ่มอีกข้อหาด้วย เมื่อผู้ใช้รถใช้ถนนตระหนักถึงการขับขี่รถอย่างถูกกฎจราจร ซึ่งแน่นอนว่าจะส่งผลให้เกิดความปลอดภัยบนท้องถนนเพิ่มขึ้นด้วย และยังลดปัญหาการจราจรติดขัดจากการไม่เคารพกฎหมาย สร้างวินัยในการใช้ถนนสาธารณะร่วมกัน” พล.ต.ท.วิทยา กล่าว
แบบนี้ต่อไปใครที่ฝ่าฝืนกฎหมายจราจรโดนใบสั่งแล้วไม่ยอมมาจ่ายค่าปรับคงจะอดฉีกใบสั่งทิ้งหมดสิทธิ์ลอยนวลอีกต่อไป.


ปวีณรัตน์ เฟื่องสีไหม/รายงาน https://www.dailynews.co.th/bangkok/597401
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่