เรื่องมันเริ่มขึ้นเมื่อ 2 ปีที่แล้วจริงๆ
ย้อนไป เมื่อ 2 ปีที่แล้ว พ่อเราเกษียรข้าราชการ และหลังจากเกษียร สิ่งที่เกิดขึ้นคือ จากพ่อคนอ้วนๆ กลมๆ ดูยังไงก็ไม่แก่ กลายเป็นคนผอมซูบ และแก่ลงไปผิดตา ทุกคนลงความเห็นว่าพ่อเป็นโรคเกษียร ไม่มีไรทำ เลยเป็นแบบนี้ เราพาพ่อไปตรวจร่างกายซ้ำอีกรอบ ด้วยความไม่คิดว่าเป็นแค่นี้ และพ่อก็เป็นเบาหวาน ชนิดทั่วไปไม่ต้องให้อินซูลิน แค่คุมอาหาร ออกกำลังกาย และก็กินยาตามที่หมอสั่ง
แต่ผลตรวจ ไม่ได้บอกแค่นั้น บอกมาว่า อาจจะมีโรคตับด้วย และจะส่งตรวจกับหมอทางเดินอาหารต่อไป
กลับมาวันนั้น เราไม่ได้นิ่งดูดาย หาข้อมูลใน google ตามอาการที่เราเห็นพ่อ ใน google บอกว่าอาการที่พ่อเป็นน่าจะเป็นไวรัสซี วันรุ่งขึ้น เราตัดสินใจพาพ่อไปตรวจโรงพยาบาลเอกชนในจังหวัด แต่พอไปถึง พ่อเรากับเรากินข้าวเช้ามาละ ก็ตรวจไม่ได้ และพ่อเราก็ไม่ยอมมาตรวจที่นี่อีกเลย จะไปแต่ที่เดิมตลอด
สุดท้ายก็ตามใจพ่อเช่นเคย
ที่โรงบาลเดิมที่พ่อรักษาเบาหวาน บอกแค่ว่าน่าจะเป็นโรคตับ แล้วก็ให้แค่ยาบำรุงตับมากินเท่านั้น
แล้วพ่อก็ไปตามที่หมอนัดตลอด 2 ปี
จากวันนั้น มาถึง วันนี้ นึกถึง เรื่องนี้ทีไร ร้องไห้ทุกที ถ้าวันนั้นไม่ตามใจพ่อ วันนี้ พ่ออาจจะไม่ต้องทรมานแบบนี้
ถ้าคิดว่าไม่แน่ใจ จงทำทุกอย่างให้มากกว่าที่ทำ อย่าเชื่อมั่นในที่ๆเดียว หมอคนเดียว จงทำทุกอย่างให้มั่นใจที่สุด
และแล้ววันนี้ก็มาถึง วันที่หมอส่งพ่อเข้าตรวจ MRI เพราะหมอที่รักษาพ่อประจำไม่มา พ่อจึงได้พบกับหมอฝึกหัด ซึ่งหมอฝึกหัดสังเกตุเห็นอาการตัวเหลือง ตาเหลือง ผ่ามือแดง ตัวเป็นใจแมงมุม จึงส่งพ่อตรวจ MRI และผลก็ออกมาว่าพ่อเป็นมะเร็งตับ
ร้องไห้หนักมากวันนั้น
หมอบอกว่าพ่อเป็นไวรัสซี ไวรัสซีทำให้ตับแข็ง และเป็นมะเร็งตับในที่สุด
แต่หมอตอบไม่ได้ว่าระยะเท่าไหร่ เพราะไม่ใช่หมอเฉพาะทาง จึงส่งตัว ไปโรงพยาบาลอื่นที่มีหมอเฉพาะทาง เราเลือกเป็นโรงพยาบาลรามา
หลังจากที่รู้ผลว่าพ่อเป็นมะเร็ง สิ่งเดียวที่เราทำคือ ไม่มีคำว่ารอ เราศึกษาทุกอย่าง อ่านบทวิจัยทุกหน้า เราโทรไปที่รามาทันที ที่นี่แนะนำให้เราทำนัด online สมัคร กรอกข้อมูลทุกอย่าง แล้วโทรไปนัดคุณหมอได้เลย เราเลือกนัดนอกเวลา และเราไปเอง พร้อมฟลิม และ cd เราพบหมอเอง ปรึกษาเอง หมอบอกเราว่า ก้อนเนื้อใหญ่มาก อาจจะผ่าไม่ได้ ต้องใช้วิธีการตัดหลอดเลือดเอาไม่ให้เลือดไปเลี้ยงก้อนมะเร็ง แล้วมะเร็งจะค่อยๆ ผ่อลงไปเอง ซึ่งเราไม่ได้ถามวิธีการอะไรมากมาย และคิดว่าน่าจะเป็นวิธีทีดีที่สุด
พอเรากลับมาบ้าน ก็เริ่มหาข้อมูลว่าทำยังไง แต่ผลคือ ไม่ได้ตัดแค่เส้นเดียว คือตัดหลายเส้นมาก และต้องมาตัดเรื่อยจนกว่าจะเจอเส้นที่ใช่ หรือ ก้อนมะเร็งเล็กลง และทุกครั้งที่ตัดคือทรมานมาก สุดท้ายเราก็ร้องไห้อีกแล้ว กลัวว่าพ่อจะไหวไหม ทนได้ไหม เลือกถูกไหม
ปล.มะเร็งตับจะไม่ให้คีโม หรือฉายแสง เพราะผลที่ได้ไม่ต่างกันกับไม่ทำ
เราเริ่มปรึกษาเพื่อนที่พ่อแม่เคยผ่านจุดนี้มาก่อน ปรึกษาเพื่อนที่เป็นหมอ ปรึกษาดีเทลยา ปรึกษาทุกคนที่พอจะช่วยได้
เพื่อนที่เคยผ่านจุดนี้มา บอกเราว่า บางทีไม่รักษาอาจจะอยู่ได้นานกว่า เพราะเค้าบอกว่า วันที่พ่อแม่เค้าเป็น เห็นตอนรักษาแล้วมันทรมานมาก เค้าบอกเค้าเลือกผิด
เพื่อนที่เป็นหมอ แนะนำแค่เพียงให้ถามโรงพยาบาลอื่นๆ ดูเพื่อสามารถผ่าตัดได้
และหลายๆคนบอกให้เราทำใจ
เราไม่เคยท้อ ที่จะรักษาพ่อ เราตัดสินใจให้พ่อเข้ารักษาที่รามา แต่พ่อเราบอกว่าขอไปหาหมอที่นี่ก่อน เพราะลูกน้องเก่าแกรักษาหายแล้ว วันรุ่งขึ้นเราขับรถกลับมาต่างจังหวัด และยอมพาพ่อไปโรงบาลที่พ่อต้องการ การตามใจพ่อเกิดขึ้นอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ เราสัญญากันว่า ถ้าที่นี่รักษาไม่ได้ พ่อต้องยอมมารักษาที่รามา
เช้าวันรุ่งขึ้น เราไปโรงพยาบาลมหาราชกันแต่เช้า ไปถึงคนเยอะมาก กว่าจะได้พบหมอ หมอคนแรกที่เราเจอ หมอบอกว่าเป็นมะเร็งตับ และอยู่ในจุดที่สามารถผ่าตัดได้
คือพ่อเราเป็นที่ติ่งด้านขวา หมอบอกว่าตัดได้น่ะ
แต่หมอบอกว่าคิวผ่าตัดหมอแน่นมากอาจะไม่ทัน หมอแจ้งว่าจะส่งให้หมออีกท่านหนึ่งที่เป็นหมอเชี่ยวชาญเรื่องตับโดยเฉพาะ แล้วหมอก็โทรแจ้งหมออีกท่าน ซึ่งยังไม่เข้ามา
ระหว่างที่นั่งรอหมอมา ตอนนั้นเรารู้สึกดีใจมากที่หมอที่นี่บอกว่าสามารถผ่าตัดได้ เพราะเราเชื่อว่าการได้ผ่าตัดเอามะเร็งออกไปจะช่วยยืดชีวิตพ่อได้นานกว่า
ระหว่างนั่นก็คุยอธิบายเรื่องราวให้พ่อฟังไปด้วย เค้าจะได้เข้าใจ และเตรียมใจไว้เยอะๆๆ
หมอมาแล้ว เข้าพบอาจารย์หมอ
อาจารย์หมอ ดูฟิมล์ ดูซีดี ดูผลเลือด ดูทุกอย่าง แล้วบอกว่า ถ้าดูไม่ดี จะมองเห็นเป็นแค่ก้อนเดียว แต่จริงๆแล้วเป็น 2 ก้อน อยู่ติดกัน ก้อนประมาณ 3 เซ็นนิดๆ พอดูแล้ว อาจจะดูว่าก้อนใหญ่มากซึ่งโดยปกติจะไม่ผ่าตัด แต่อาจารย์หมอบอกว่า "ผ่าได้ครับ"
รอยยิ้มเราเริ่มมาละ
อาจารย์หมออธิบายระเอียดมาก ว่าจะต้องตัดตับออกไปประมาณ 30% คือต้องการเอาออกให้หมด และผลที่อาจจะเกิดหลังการผ่าตัดมีอะไรบ้าง และมีโอกาสกลับมาเป็นซ้ำอีก ถ้าไวรัสซียังไม่ได้รับการรักษา
ต่อมาอาจารย์หมอเริ่มดูตารางนัด และนัดกับเพื่อนอาจารย์หมอท่านอื่นๆ ที่จะเข้าร่วมผ่าตัด ว่าว่างตรงกันไหม
ในความโชคร้าย ก็มีความโชคดีเกิดขึ้น เมื่อมี 1 ช่องว่างสำหรับพ่อ เกิดขึ้นใน 2 อาทิตย์ถัดมา เพราะคนที่นัดผ่า เกิดจากโลกนี้ไปก่อนที่จะได้รับการผ่าตัด ช่องว่านี้จึงตกเป็นของพ่อในทันที
คำว่ารอ ไม่มีจริงๆค่ะ โปรดอย่ารอ
จากวันที่ตรวจเจอ ถึงวันผ่าตัด ก็ 1 เดือนพอดี
และสิ่งที่ไม่ต้องการให้เกิด ก็เกิดขึ้นจนได้
ก่อนผ่าตัด พ่อต้องเข้าไปนอนโรงบาล เพื่อเตรียมความพร้อมของร่างกาย ฝึกหายใจ 1 อาทิตย์
สิ่งที่ทุกคนต้องเจอคือ โรงพยาบาลรัฐ เตียงไม่มี ใช่ค่ะ พ่อนอนหน้าลิฟท์ จนถึงวันที่ 5 ถึงได้ย้ายเข้าห้องพิเศษ
จะบอกว่า เหนื่อยมาก แต่ก็อดทนน่ะ พอพ่อเข้าห้องพิเศษ เราก็ได้อยู่กันพร้อมหน้า กินข้าวด้วยกันทุกมื้อ
จนถึงวันที่พ่อต้องเข้าห้องผ่าตัด
คืนก่อนผ่าตัด
พ่อบอกว่า มีพยาบาลมาแจ้งตอนเราไม่อยู่ ว่าหมอจะเปิดท้องดูก่อน ถ้าผ่าได้ก็ผ่า ถ้าไม่ได้ก็จะปิดหน้าท้องคืน และรักษาตามอาการ
คือเรางงมาก จะมาบอกเพื่ออะไร พ่อเกิดอาการวิตกทันที และพูดออกมาเลย ว่าไม่ผ่าไหม กลับบ้านไหม
ตูจะบ้าตาย ต้องกล่อมกันนานมาก
พ่อเป็นคิวแรกที่ต้องเข้าผ่าตัด
8 โมงเช้า พยาบาลมาเช็กร่างกาย และเตรียมตัวผ่า พยาบาลเข็นพ่อออกไป เราเดินตามไปส่งถึงห้องผ่าตัด ระหว่างทางก็คุยกันตลอดทาง
เรานั่งรอพ่อบ้าง ขึ้นมาที่ห้องบ้าง สลับกับแม่กับน้องลงไปบ้าง
12 ชั่วโมง ที่พ่ออยู่ในห้องผ่าตัด คือนานมากใจแท้ปขาด
หลังจากผ่าตัด พ่อเข้าพักฟื้นที่ห้องไอซียู พ่อรู้ตัวหลังจากผ่าตัดไม่นาน เราเข้าไปเยี่ยม พ่อใส่สายเต็มไปหมด รวมทั้งท่อหายใจ ห้องไอซียูเยี่ยมได้ 2 เวลา ครั้งละ 1 ชั่วโมง
พ่อฟื้นตัวเร็วมาก เพราะแกไม่อยากอยู่ห้องไอซียู แกบอกหดหู่ นี่คือเหตุผลที่แกบอก
พ่อนอนไอซียูแค่ 3 วัน ก็ขึ้นตึก 8 ชั้น แต่ครั้งนี้ได้นอนข้างใน ไม่ใช่หน้าลิฟท์
พ่อนอนที่นี่ 2 คืน แกพยายามฟื้นให้เร็ว เดินเองได้ เพื่อที่หมอจะได้ให้ย้ายไปห้องพิเศษได้ และแกก็ทำสำเร็จ
โชคเข้าข้าง ห้องพิเศษว่างพอดี เย็นวันที่ 3 ก็ย้ายเข้าห้องพิเศษ
ดูเหมือนอะไรๆ ก็ดีไปหมด แต่ มันไม่ใช่เลย
จากไวรัสซี ตับแข็ง สู่มะเร็งตับ
ย้อนไป เมื่อ 2 ปีที่แล้ว พ่อเราเกษียรข้าราชการ และหลังจากเกษียร สิ่งที่เกิดขึ้นคือ จากพ่อคนอ้วนๆ กลมๆ ดูยังไงก็ไม่แก่ กลายเป็นคนผอมซูบ และแก่ลงไปผิดตา ทุกคนลงความเห็นว่าพ่อเป็นโรคเกษียร ไม่มีไรทำ เลยเป็นแบบนี้ เราพาพ่อไปตรวจร่างกายซ้ำอีกรอบ ด้วยความไม่คิดว่าเป็นแค่นี้ และพ่อก็เป็นเบาหวาน ชนิดทั่วไปไม่ต้องให้อินซูลิน แค่คุมอาหาร ออกกำลังกาย และก็กินยาตามที่หมอสั่ง
แต่ผลตรวจ ไม่ได้บอกแค่นั้น บอกมาว่า อาจจะมีโรคตับด้วย และจะส่งตรวจกับหมอทางเดินอาหารต่อไป
กลับมาวันนั้น เราไม่ได้นิ่งดูดาย หาข้อมูลใน google ตามอาการที่เราเห็นพ่อ ใน google บอกว่าอาการที่พ่อเป็นน่าจะเป็นไวรัสซี วันรุ่งขึ้น เราตัดสินใจพาพ่อไปตรวจโรงพยาบาลเอกชนในจังหวัด แต่พอไปถึง พ่อเรากับเรากินข้าวเช้ามาละ ก็ตรวจไม่ได้ และพ่อเราก็ไม่ยอมมาตรวจที่นี่อีกเลย จะไปแต่ที่เดิมตลอด
สุดท้ายก็ตามใจพ่อเช่นเคย
ที่โรงบาลเดิมที่พ่อรักษาเบาหวาน บอกแค่ว่าน่าจะเป็นโรคตับ แล้วก็ให้แค่ยาบำรุงตับมากินเท่านั้น
แล้วพ่อก็ไปตามที่หมอนัดตลอด 2 ปี
จากวันนั้น มาถึง วันนี้ นึกถึง เรื่องนี้ทีไร ร้องไห้ทุกที ถ้าวันนั้นไม่ตามใจพ่อ วันนี้ พ่ออาจจะไม่ต้องทรมานแบบนี้
ถ้าคิดว่าไม่แน่ใจ จงทำทุกอย่างให้มากกว่าที่ทำ อย่าเชื่อมั่นในที่ๆเดียว หมอคนเดียว จงทำทุกอย่างให้มั่นใจที่สุด
และแล้ววันนี้ก็มาถึง วันที่หมอส่งพ่อเข้าตรวจ MRI เพราะหมอที่รักษาพ่อประจำไม่มา พ่อจึงได้พบกับหมอฝึกหัด ซึ่งหมอฝึกหัดสังเกตุเห็นอาการตัวเหลือง ตาเหลือง ผ่ามือแดง ตัวเป็นใจแมงมุม จึงส่งพ่อตรวจ MRI และผลก็ออกมาว่าพ่อเป็นมะเร็งตับ
ร้องไห้หนักมากวันนั้น
หมอบอกว่าพ่อเป็นไวรัสซี ไวรัสซีทำให้ตับแข็ง และเป็นมะเร็งตับในที่สุด
แต่หมอตอบไม่ได้ว่าระยะเท่าไหร่ เพราะไม่ใช่หมอเฉพาะทาง จึงส่งตัว ไปโรงพยาบาลอื่นที่มีหมอเฉพาะทาง เราเลือกเป็นโรงพยาบาลรามา
หลังจากที่รู้ผลว่าพ่อเป็นมะเร็ง สิ่งเดียวที่เราทำคือ ไม่มีคำว่ารอ เราศึกษาทุกอย่าง อ่านบทวิจัยทุกหน้า เราโทรไปที่รามาทันที ที่นี่แนะนำให้เราทำนัด online สมัคร กรอกข้อมูลทุกอย่าง แล้วโทรไปนัดคุณหมอได้เลย เราเลือกนัดนอกเวลา และเราไปเอง พร้อมฟลิม และ cd เราพบหมอเอง ปรึกษาเอง หมอบอกเราว่า ก้อนเนื้อใหญ่มาก อาจจะผ่าไม่ได้ ต้องใช้วิธีการตัดหลอดเลือดเอาไม่ให้เลือดไปเลี้ยงก้อนมะเร็ง แล้วมะเร็งจะค่อยๆ ผ่อลงไปเอง ซึ่งเราไม่ได้ถามวิธีการอะไรมากมาย และคิดว่าน่าจะเป็นวิธีทีดีที่สุด
พอเรากลับมาบ้าน ก็เริ่มหาข้อมูลว่าทำยังไง แต่ผลคือ ไม่ได้ตัดแค่เส้นเดียว คือตัดหลายเส้นมาก และต้องมาตัดเรื่อยจนกว่าจะเจอเส้นที่ใช่ หรือ ก้อนมะเร็งเล็กลง และทุกครั้งที่ตัดคือทรมานมาก สุดท้ายเราก็ร้องไห้อีกแล้ว กลัวว่าพ่อจะไหวไหม ทนได้ไหม เลือกถูกไหม
ปล.มะเร็งตับจะไม่ให้คีโม หรือฉายแสง เพราะผลที่ได้ไม่ต่างกันกับไม่ทำ
เราเริ่มปรึกษาเพื่อนที่พ่อแม่เคยผ่านจุดนี้มาก่อน ปรึกษาเพื่อนที่เป็นหมอ ปรึกษาดีเทลยา ปรึกษาทุกคนที่พอจะช่วยได้
เพื่อนที่เคยผ่านจุดนี้มา บอกเราว่า บางทีไม่รักษาอาจจะอยู่ได้นานกว่า เพราะเค้าบอกว่า วันที่พ่อแม่เค้าเป็น เห็นตอนรักษาแล้วมันทรมานมาก เค้าบอกเค้าเลือกผิด
เพื่อนที่เป็นหมอ แนะนำแค่เพียงให้ถามโรงพยาบาลอื่นๆ ดูเพื่อสามารถผ่าตัดได้
และหลายๆคนบอกให้เราทำใจ
เราไม่เคยท้อ ที่จะรักษาพ่อ เราตัดสินใจให้พ่อเข้ารักษาที่รามา แต่พ่อเราบอกว่าขอไปหาหมอที่นี่ก่อน เพราะลูกน้องเก่าแกรักษาหายแล้ว วันรุ่งขึ้นเราขับรถกลับมาต่างจังหวัด และยอมพาพ่อไปโรงบาลที่พ่อต้องการ การตามใจพ่อเกิดขึ้นอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ เราสัญญากันว่า ถ้าที่นี่รักษาไม่ได้ พ่อต้องยอมมารักษาที่รามา
เช้าวันรุ่งขึ้น เราไปโรงพยาบาลมหาราชกันแต่เช้า ไปถึงคนเยอะมาก กว่าจะได้พบหมอ หมอคนแรกที่เราเจอ หมอบอกว่าเป็นมะเร็งตับ และอยู่ในจุดที่สามารถผ่าตัดได้
คือพ่อเราเป็นที่ติ่งด้านขวา หมอบอกว่าตัดได้น่ะ
แต่หมอบอกว่าคิวผ่าตัดหมอแน่นมากอาจะไม่ทัน หมอแจ้งว่าจะส่งให้หมออีกท่านหนึ่งที่เป็นหมอเชี่ยวชาญเรื่องตับโดยเฉพาะ แล้วหมอก็โทรแจ้งหมออีกท่าน ซึ่งยังไม่เข้ามา
ระหว่างที่นั่งรอหมอมา ตอนนั้นเรารู้สึกดีใจมากที่หมอที่นี่บอกว่าสามารถผ่าตัดได้ เพราะเราเชื่อว่าการได้ผ่าตัดเอามะเร็งออกไปจะช่วยยืดชีวิตพ่อได้นานกว่า
ระหว่างนั่นก็คุยอธิบายเรื่องราวให้พ่อฟังไปด้วย เค้าจะได้เข้าใจ และเตรียมใจไว้เยอะๆๆ
หมอมาแล้ว เข้าพบอาจารย์หมอ
อาจารย์หมอ ดูฟิมล์ ดูซีดี ดูผลเลือด ดูทุกอย่าง แล้วบอกว่า ถ้าดูไม่ดี จะมองเห็นเป็นแค่ก้อนเดียว แต่จริงๆแล้วเป็น 2 ก้อน อยู่ติดกัน ก้อนประมาณ 3 เซ็นนิดๆ พอดูแล้ว อาจจะดูว่าก้อนใหญ่มากซึ่งโดยปกติจะไม่ผ่าตัด แต่อาจารย์หมอบอกว่า "ผ่าได้ครับ"
รอยยิ้มเราเริ่มมาละ
อาจารย์หมออธิบายระเอียดมาก ว่าจะต้องตัดตับออกไปประมาณ 30% คือต้องการเอาออกให้หมด และผลที่อาจจะเกิดหลังการผ่าตัดมีอะไรบ้าง และมีโอกาสกลับมาเป็นซ้ำอีก ถ้าไวรัสซียังไม่ได้รับการรักษา
ต่อมาอาจารย์หมอเริ่มดูตารางนัด และนัดกับเพื่อนอาจารย์หมอท่านอื่นๆ ที่จะเข้าร่วมผ่าตัด ว่าว่างตรงกันไหม
ในความโชคร้าย ก็มีความโชคดีเกิดขึ้น เมื่อมี 1 ช่องว่างสำหรับพ่อ เกิดขึ้นใน 2 อาทิตย์ถัดมา เพราะคนที่นัดผ่า เกิดจากโลกนี้ไปก่อนที่จะได้รับการผ่าตัด ช่องว่านี้จึงตกเป็นของพ่อในทันที
คำว่ารอ ไม่มีจริงๆค่ะ โปรดอย่ารอ
จากวันที่ตรวจเจอ ถึงวันผ่าตัด ก็ 1 เดือนพอดี
และสิ่งที่ไม่ต้องการให้เกิด ก็เกิดขึ้นจนได้
ก่อนผ่าตัด พ่อต้องเข้าไปนอนโรงบาล เพื่อเตรียมความพร้อมของร่างกาย ฝึกหายใจ 1 อาทิตย์
สิ่งที่ทุกคนต้องเจอคือ โรงพยาบาลรัฐ เตียงไม่มี ใช่ค่ะ พ่อนอนหน้าลิฟท์ จนถึงวันที่ 5 ถึงได้ย้ายเข้าห้องพิเศษ
จะบอกว่า เหนื่อยมาก แต่ก็อดทนน่ะ พอพ่อเข้าห้องพิเศษ เราก็ได้อยู่กันพร้อมหน้า กินข้าวด้วยกันทุกมื้อ
จนถึงวันที่พ่อต้องเข้าห้องผ่าตัด
คืนก่อนผ่าตัด
พ่อบอกว่า มีพยาบาลมาแจ้งตอนเราไม่อยู่ ว่าหมอจะเปิดท้องดูก่อน ถ้าผ่าได้ก็ผ่า ถ้าไม่ได้ก็จะปิดหน้าท้องคืน และรักษาตามอาการ
คือเรางงมาก จะมาบอกเพื่ออะไร พ่อเกิดอาการวิตกทันที และพูดออกมาเลย ว่าไม่ผ่าไหม กลับบ้านไหม
ตูจะบ้าตาย ต้องกล่อมกันนานมาก
พ่อเป็นคิวแรกที่ต้องเข้าผ่าตัด
8 โมงเช้า พยาบาลมาเช็กร่างกาย และเตรียมตัวผ่า พยาบาลเข็นพ่อออกไป เราเดินตามไปส่งถึงห้องผ่าตัด ระหว่างทางก็คุยกันตลอดทาง
เรานั่งรอพ่อบ้าง ขึ้นมาที่ห้องบ้าง สลับกับแม่กับน้องลงไปบ้าง
12 ชั่วโมง ที่พ่ออยู่ในห้องผ่าตัด คือนานมากใจแท้ปขาด
หลังจากผ่าตัด พ่อเข้าพักฟื้นที่ห้องไอซียู พ่อรู้ตัวหลังจากผ่าตัดไม่นาน เราเข้าไปเยี่ยม พ่อใส่สายเต็มไปหมด รวมทั้งท่อหายใจ ห้องไอซียูเยี่ยมได้ 2 เวลา ครั้งละ 1 ชั่วโมง
พ่อฟื้นตัวเร็วมาก เพราะแกไม่อยากอยู่ห้องไอซียู แกบอกหดหู่ นี่คือเหตุผลที่แกบอก
พ่อนอนไอซียูแค่ 3 วัน ก็ขึ้นตึก 8 ชั้น แต่ครั้งนี้ได้นอนข้างใน ไม่ใช่หน้าลิฟท์
พ่อนอนที่นี่ 2 คืน แกพยายามฟื้นให้เร็ว เดินเองได้ เพื่อที่หมอจะได้ให้ย้ายไปห้องพิเศษได้ และแกก็ทำสำเร็จ
โชคเข้าข้าง ห้องพิเศษว่างพอดี เย็นวันที่ 3 ก็ย้ายเข้าห้องพิเศษ
ดูเหมือนอะไรๆ ก็ดีไปหมด แต่ มันไม่ใช่เลย