https://www.thairath.co.th/content/1063334
สืบเนื่องการตรวจที่ผ่านมา สตง แจ้งถึงความผิดปกติที่ต้องแก้ไข
แต่ สตง แจ้งว่ายังคงไม่ได้รับรายงานการแก้ไข
รายงาน "สตง." สับเละ "กสทช." ซ้ำซากใช้จ่ายไม่มีประสิทธิภาพ (ข่าวจากสื่อ-สตง)
- งบฯเหลื่อมปีเลี่ยงส่งเข้าคลัง
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้โดยในปี 2557 สำนักงาน กสทช. มีรายได้ 19,895.66 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้า 8,237.17 ล้านบาท มีค่าใช้จ่ายปี 2557 จำนวน 5,474.01 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 2,151.16 ล้านบาท แต่มีการเบิกจ่ายได้จริงเพียง 55.36%
ที่เหลือส่วนใหญ่เป็นการกันเงินไว้เบิกเหลื่อมปี แสดงให้เห็นว่าไม่มีการพิจารณาศักยภาพที่จะสามารถดำเนินการได้ แม้จะมีการทำแผนปฏิบัติการประจำปีไว้ แต่พบว่ายังไม่สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ โดยแผนการประชาสัมพันธ์ยังคงขาดความชัดเจนและยังคงกำหนดวิธีการจัดซื้อจัดจ้างด้วยวิธีพิเศษเป็นจำนวนมาก
ขณะที่แผนการจัดซื้อจัดจ้างประจำปีพบว่ายังมีการจัดซื้อจัดจ้างนอกแผนจำนวนมากโดยเฉพาะในเดือนธ.ค.มีการรีบเร่งทำสัญญาด้วยวิธีการพิเศษและตกลงราคาเพื่อกันงบประมาณไว้ในปีถัดไปเป็นจำนวนมาก ทำให้ขาดความโปร่งใส ขาดวินัยทางการงบประมาณและการคลังที่ดี ประกอบกับ กสทช.มีการเรียกเก็บเงินจากผู้ประกอบการมีแนวโน้มสูงขึ้นทุกปีอย่างมาก แสดงให้เห็นว่า การจัดทำงบประมาณแบบสมดุลไม่เหมาะสมกับการดำเนินงานของ กสทช. อีกต่อไป
ขณะที่งบประมาณสำหรับบริหารโครงการรวม 1,734.78 ล้านบาท สำหรับ 208 โครงการเมื่อตรวจสอบประสิทธิภาพพบว่า มีการกันงบประมาณเหลื่อมปีถึง 55.66% แสดงให้เห็นว่าเป็นการตั้งงบประมาณโดยไม่ได้คำนึงถึงศักยภาพในการดำเนินการและไม่ได้คำนึงถึงประโยชน์ที่แท้จริงและยังคงมีเจตนาจะจัดสรรงบประมาณแบบสมดุลเพื่อไม่ให้มีเงินคงเหลือส่งเข้าเป็นรายได้แผ่นดินทำให้ในช่วงปลายปีโดยเฉพาะพ.ย.-ธ.ค.มีการเร่งทำสัญญาโดยใช้วิธีการพิเศษเป็นหลักเพื่อให้ทำสัญญาได้ทันเวลา
ส่วนการตั้งคณะอนุกรรมการพิจารณางบประมาณขึ้นมาในกระบวนการจัดทำงบประมาณ"สตง."พบว่าไม่มีประโยชน์ เพราะเมื่อโครงการต่าง ๆ ได้พิจารณาและได้รับความเห็นชอบจากผู้มีอำนาจสูงสุดมาแล้ว คณะอนุกรรมการดังกล่าวไม่สามารถพิจารณาจัดสรรงบประมาณตามประสิทธิภาพได้
- ซุกงบฯผิดประเภทอื้อ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
ซุกงบฯผิดประเภทอื้อ
สำหรับค่าใช้จ่ายประจำปี2557ที่สูงเป็นอันดับ 1 คือ ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน รวม 2,471.90 ล้านบาท หรือ 45.15% โดยในส่วนนี้ค่าใช้จ่ายในการประชาสัมพันธ์ยังสูงเป็นอันดับ 1 คือ 369.66 ล้านบาท รองลงไปคือค่าจ้างที่ปรึกษา 363.03 ล้านบาท ค่าจ้างเหมาบริการ 333.58 ล้านบาท
ที่สำคัญคือจากการตรวจสอบเอกสารของ สตง. พบข้อสังเกตว่า 1.ในส่วนของค่าใช้จ่ายประชาสัมพันธ์ เกือบทั้งหมดยังใช้การจัดจ้างงานด้วยวิธีการพิเศษ และเป็นรายเดิมซ้ำ ๆ โดยให้เหตุผลว่า เป็นงานที่มีผู้ให้บริการเพียงรายเดียว ต้องจ้างผู้มีฝีมือโดยเฉพาะหรือชำนาญพิเศษ แต่เมื่อตรวจสอบรายละเอียดพบว่าบางงานไม่ได้มีความซับซ้อนและไม่จำเป็นต้องใช้ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะแต่อย่างใด
2.ค่าจ้างที่ปรึกษาจากการตรวจสอบพบว่าต้องมีการปรับปรุงการบันทึกบัญชีและจัดประเภทใหม่เป็นจำนวนมากยังคงมีสัญญาจ้างที่รวมการศึกษาดูงานต่างประเทศเข้าไปรวมด้วย บางสัญญาเชิญที่ปรึกษาเพียงรายเดียวยื่นข้อเสนอ ทำให้ กสทช.เสียโอกาสในการเปรียบเทียบคุณสมบัติทั้งด้านคุณภาพและราคา
ทั้งจากการเลือกตรวจสัญญา 16 สัญญา พบว่ามี 9 สัญญาที่คณะที่ปรึกษาเกินกว่า 50% ไม่ได้เป็นบุคลากรของสถาบันการศึกษาคู่สัญญา แต่เป็นบุคคลภายนอกทั้งภาครัฐ เอกชน ขณะที่การจ้างที่ปรึกษาของ กสทช.ให้เหตุผลว่า เป็นงานที่ต้องจ้างผู้เชี่ยวชาญเฉพาะ แต่การที่สถาบันการศึกษาใช้บุคคลภายนอกซึ่งส่วนใหญ่เป็นพนักงานประจำของบริษัทเอกชนดำเนินการแทน แสดงว่า สถาบันการศึกษาไม่ได้เป็นผู้เชี่ยวชาญเฉพาะอย่างแท้จริง จึงเป็นเหตุให้น่าสงสัยว่าทำไมสำนักงาน กสทช. จึงเจาะจงเลือกจ้างสถาบันการศึกษา
ทั้งยังพบว่าใน 16 สัญญาที่ตรวจสอบ รายได้จากการจ้างเข้าเป็นเงินของสถาบันการศึกษาโดยตรงเพียง 6.68% เท่านั้น ขณะที่รายจ่ายส่วนใหญ่ในโครงการเป็นค่าใช้จ่ายบุคลากร หากบุคลากรส่วนใหญ่มาจากบริษัทเอกชน จึงปฏิเสธไม่ได้ที่อาจถูกมองว่าเป็นการทำสัญญาอำพรางผ่านทางสถาบันการศึกษา โดยผู้รับงานที่แท้จริงเป็นบริษัทเอกชน
3.ค่าจ้างเหมาบริการ สูงเป็นอันดับ 3 พบว่ามีการบันทึกบัญชีผิดประเภทจำนวนมาก มีการบันทึกค่าใช้จ่ายที่สาธารณชนให้ความสนใจ เช่น ค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปต่างประเทศ ค่ารับรองและพิธีการ เป็นค่าใช้จ่ายในการฝึกอบรมและสัมมนา หรือค่าใช้จ่ายในการประชาสัมพันธ์แทน เป็นต้น
และพบว่าบัญชีค่าใช้จ่ายบันทึกผิดงวดบัญชีอีกถึง 126.92 ล้านบาท ส่งผลให้การวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อการตัดสินใจของผู้บริหารผิดพลาดได้
- 65% ชี้เป้าซื้อ-ส่อเอื้อประโยชน์
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้เมื่อประเมินการใช้งบประมาณปี 2557 ในส่วนของค่าใช้จ่ายในการดำเนินการแล้วจึงพบว่า 1.การจัดซื้อจัดจ้างไม่มีประสิทธิภาพ เหตุจากทั้งหมด 1,655 สัญญา ได้เลือกใช้วิธีการพิเศษ 42% รวมเป็นเงิน 1,196.81 ล้านบาท และวิธีการตกลงราคา 23% รวมเป็นเงิน 666.24 ล้านบาท หรือรวมแล้วเท่ากับ 65% ของการจัดซื้อจัดจ้าง ซึ่งทั้ง 2 วิธีอาจเปิดโอกาสให้ทุจริตหรือเอื้อประโยชน์ต่อผู้รับจ้างรายใดรายหนึ่ง ทั้งส่วนใหญ่ สำนักงาน กสทช. จะเรียกผู้รับจ้างรายเดียวมาเสนอราคา ทำให้ไม่เกิดการเปรียบเทียบราคาและต่อรอง จึงทำให้อาจเป็นการจัดซื้อจัดจ้างที่สูงกว่าความเป็นจริงได้
ในรายงานของ "สตง." ระบุอีกว่าเป็นที่น่าสังเกตว่า มี 96 โครงการที่สำนักงาน กสทช. สามารถดำเนินการทำสัญญาในวงเงินราว 96-100% ของงบประมาณที่ได้รับจัดสรรนั้น เป็นเพราะสำนักงาน กสทช.มีประสิทธิภาพสูงในการวางแผนงบประมาณจัดซื้อได้พอดี หรือมีการเอื้อประโยชน์ให้ผู้รับจ้างให้เสนอราคาได้เท่ากับหรือใกล้เคียงกับราคากลาง
2.การจัดซื้อจัดจ้างเอื้อประโยชน์ให้ผู้รับจ้างรายใดรายหนึ่งและทำให้เกิดผลประโยชน์ทับซ้อนระหว่างผู้รับจ้างกับเจ้าหน้าที่ของกสทช. โดยจากการเลือกตัวอย่างในการตรวจสอบของ สตง.พบว่า ใน 19 บริษัทที่เลือก มี 12 บริษัท ที่มีสัดส่วนรายได้ตามงบการเงินของบริษัทเกินกว่า 50% มาจากการรับงานจากสำนักงาน กสทช. ซึ่งทั้งหมดเป็นการจัดซื้อจัดจ้างด้วยวิธีการพิเศษหรือตกลงราคา และมีถึง 5 บริษัทที่มากกว่า 80%
ทั้งมีบางบริษัทที่ผู้ถือหุ้น และเป็นกรรมการผู้มีอำนาจผูกพันบริษัท เป็นคณะอนุกรรมการกิจการกระจายเสียงบริการธุรกิจ ของ กสทช. ด้วย ซึ่งบริษัทดังกล่าวได้ก่อตั้งขึ้นเพียง 2 วันก่อนที่จะได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งเป็นคณะอนุกรรมการ และเพียงเดือนเศษก็เข้ามาทำสัญญาให้เช่ารถประจำตำแหน่ง 1 คันกับสำนักงาน กสทช.
และเมื่อตรวจสอบงบการเงินที่บริษัทนำส่งกรมพัฒานาธุรกิจการค้าพบว่า รายได้ทั้งหมดมาจากการทำสัญญากับ กสทช. เท่านั้น ถือว่าเป็นเรื่องผิดปกติวิสัยในการทำธุรกิจอย่างมาก
3.มีการจัดซื้อจัดจ้างที่อาจมองได้ว่า เป็นการแบ่งซื้อแบ่งจ้างเพื่อให้อยู่ภายใต้อำนาจการอนุญาตของเลขาธิการ กสทช. แทนที่จะต้องรอความเห็นชอบจากบอร์ด กสทช. อาทิ โครงการพัฒนาระบบบริหารทรัพยากรขององค์กร (ERP) จำนวน 2 ระบบ โดยมีการทำสัญญาในวันที่ 26 ธ.ค. 2556 วงเงิน 49.90 ล้านบาท และวันที่ 27 ธ.ค. 2556 อีก 49.91 ล้านบาท
- ขึ้นเงินคูปองทีวีดิจิทัลพบพิรุธ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ขณะที่โครงการสำคัญอย่าง การแจกคูปองส่วนลด 690 บาท เพื่อสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านสู่ทีวีดิจิทัลให้ประชาชนนั้น สตง. พบปัญหาหลายประเด็น อาทิ การขาดการประชาสัมพันธ์ไปถึงกลุ่มเป้าหมาย ทำให้ประชาชนถูกหลอกลวงและมีปัญหาการเรียกเก็บสำเนาบัตรประชาชนและสำเนาทะเบียนบ้านจากผู้นำชุมชนที่ร่วมมือกับผู้ประกอบการการเบิกจ่ายเงินให้กับผู้ประกอบการมีเอกสารไม่ครบตามข้อกำหนดเดิมที่วางไว้ด้วยต้องการให้เอกชนได้รับเงินเร็วขึ้น แต่เป็นการเพิ่มความเสี่ยง และยิ่งส่งเสริมให้มีการเรียกเก็บสำเนาเอกสารของผู้นำชุมชน เพราะไม่ต้องมีการรับรองสำเนา
จากการลงพื้นที่ของ สตง.พบว่า มีกรณีที่ร้านค้าตัวแทนของผู้ประกอบการที่เข้าร่วมโครงการตามที่มีการอ้างการเบิกจ่าย เป็นเพียงร้านรับถ่ายเอกสารและไม่มีกล่องทีวีดิจิทัลวางจำหน่าย ทั้งเจ้าของร้านยังยืนยันว่าไม่ได้เป็นร้านค้าตัวแทน ไม่ได้เป็นจุดรับแลกกล่อง แต่เมื่อตรวจสอบข้อมูลในระบบบริหารจัดการโครงการของ กสทช.กลับพบว่า ร้านค้าดังกล่าวมีสถิติรับแลกคูปองสูงผิดปกติ เฉลี่ยถึงวันละ 1,500 กล่อง เป็นเหตุให้น่าเชื่อว่า มีการแอบอ้างชื่อร้านค้าแห่งนี้เข้าร่วมโครงการ
กสทช งานเข้า สตง เรียกตรวจละเอียดยันเวลาเข้าออกของพนักงาน
สืบเนื่องการตรวจที่ผ่านมา สตง แจ้งถึงความผิดปกติที่ต้องแก้ไข
แต่ สตง แจ้งว่ายังคงไม่ได้รับรายงานการแก้ไข
รายงาน "สตง." สับเละ "กสทช." ซ้ำซากใช้จ่ายไม่มีประสิทธิภาพ (ข่าวจากสื่อ-สตง)
- งบฯเหลื่อมปีเลี่ยงส่งเข้าคลัง [Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
- ซุกงบฯผิดประเภทอื้อ[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
- 65% ชี้เป้าซื้อ-ส่อเอื้อประโยชน์[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
- ขึ้นเงินคูปองทีวีดิจิทัลพบพิรุธ[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้