(^_^) มารู้จัก วิษณุ เครืองาม ประวัติศาสตร์การเมือง : ทำไมทักษิณจึงไว้ใจ ดร.วิษณุ เครืองาม?





เรื่องเล่าจากเนติบริกร ว่าด้วย ทักษิณ พจมาน ยิ่งลักษณ์ …ใครหนอฉลาดนุ่มนวล ?

ก่อนที่ “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” น้องสาวของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร  อดีตนายกรัฐมนตรี  จะเดินขึ้นตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล

ถ้า น้องสาวสุดเลิฟ ได้ย้อนดูบทเรียนของพี่ชายอย่างเจาะลึก บางทียิ่งลักษณ์อาจไม่พบจุดจบทางการเมืองแบบทักษิณในปี 2549

บุคคลที่บันทึกเรื่องราว ความสำเร็จ และความล้มเหลว ของทักษิณ ได้อย่างตรงไปตรงมา และค่อนข้างละเอียด ทุกช่วงนาทีสำคัญที่สุดก็คือ ดร.วิษณุ เครืองาม อดีตเลขาธิการคณะรัฐมนตรีและรองนายกรัฐมนตรี

มติชนออนไลน์ นำเรื่องเล่า “วิษณุ เครืองาม” เนติบริกรชั้นหนึ่ง จากหนังสือ โลกนี้คือละคร  ของสำนักพิมพ์มติชน มานำเสนอบางส่วน ดังนี้…

ดร.วิษณุ เครืองาม เล่าไว้ในบทที่ว่าด้วย เป็นรองนายกรัฐมนตรี ตอนหนึ่งว่า

…. ผมเคยได้ยินชื่อ พ.ต.ท.ทักษิณ พอๆ กับที่ใครต่อใครได้ยิน โดยไม่เคยเห็นตัวจริงซึ่งกันและกัน

วันหนึ่ง มีคดีระหว่างองค์การโทรศัพท์กับบริษัทของคุณทักษิณ ซึ่งคุณยิ่งลักษณ์ ชินวัตร น้องสาวของ พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นซีอีโอ พิพาทกันเป็นเงินนับร้อยล้าน เรื่องต้องส่งให้อนุญาโตตุลาการพิจารณา  ทางองค์การตั้งคุณชัยเกษม นิติสิริ เป็นอนุญาโตตุลาการ บริษัทตั้งอัยการเก่าอีกคนหนึ่ง

ทั้งสองคนเลือกผมมาเป็นประธาน  อนุญาโตฯแต่ละคนตัดสินให้แต่ละฝ่ายชนะ

ผมกลายเป็นคนต้องชี้ขาดโดยเห็นด้วยกับฝ่ายองค์การ ให้องค์การชนะสองต่อหนึ่งดังนั้น


เมื่ออีกหลายปีต่อมา คุณทักษิณมาเป็นนายกฯ มีลูกน้องคุณทักษิณมาชี้หน้าผมเหมือนกันว่าคนนี้แหละที่ตัดสินให้เราแพ้องค์การโทรศัพท์

ผมชักหนาวๆ ร้อนๆ เหมือนกัน แต่ใจนึกว่าเอาไงก็เอากันวะ

วันหนึ่ง คุณทักษิณเรียกผมไปประชุมอะไรอย่างหนึ่งที่ห้องทำงานนายกฯ บนตึกไทยคู่ฟ้า

ตอนนั้นมีประเด็นว่า ถ้าเรื่องขอกระทรวงหนึ่งที่กำลังอยู่ในชั้นอนุญาโตตุลาการแพ้ รัฐบาลจะทำอย่างไร  พูดกันไปพูดกันมาคุณทักษิณก็นึกได้ บอกคนในห้องว่า “เลขาฯวิษณุเคยชี้ขาดให้ผมแพ้ต้องจ่ายเงินหรือขาดกำไรไปหลายสิบล้าน แต่เขาทำถูกแล้ว ถ้ามาเอาใจผมในวันนั้น วันนี้ผมก็ไม่กล้าใช้คนอย่างนี้ !”

คุณทักษิณจะพูดจริงหรือพูดเล่น จะชมหรือประชดก็ตาม แต่ผมรู้สึกดีๆ ต่อคุณทักษิณขึ้นเยอะ !

ผมเกี่ยวข้องกับคุณทักษิณอีกเรื่องในสมัยรัฐบาลชวน 1 เมื่อพรรคพลังธรรมซึ่งร่วมรัฐบาลอยู่ ได้ขอปรับคณะรัฐมนตรีในส่วนของพรรคเอง เลยพลอยให้รัฐบาลกระเพื่อมไปด้วย เพราะทุกพรรคก็จะขอปรับตามเช่นกัน  พรรคพลังธรรมปรับเอา คุณประสงค์ สุ่นศิริ ออกจากตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ และจะเอา คุณทักษิณ ชินวัตร เข้ามาเป็นแทน

บัดนั้น ก็มีเสียงกระหึ่มคัดค้านคุณทักษิณ ในทำนองว่าน่าจะขาดคุณสมบัติ เพราะไปมีหุ้นในกิจการสัมปทานกับรัฐ รวมทั้งข่าวว่าคุณทักษิณมีส่วนพัวพันกับการพยายามยึดอำนาจในกัมพูชา  สำหรับกรณีหลังนั้นไม่ใช่เรื่องของคุณสมบัติ แต่เป็นเรื่องความเหมาะสมที่นายกรัฐมนตรีจะต้องพิจารณาเอง

สิ่งที่พอทำได้คือ ผมหาข้อมูลจากกระทรวงการต่างประเทศและสภาความมั่นคงแห่งชาติ ส่งให้นายกฯ ชวนประกอบการพิจารณา  แต่กรณีแรกนั้นเป็นเรื่องคุณสมบัติโดยตรง  จากการตรวจสอบในทางลับโดยใช้กระบวนการหลายอย่างเช่น ตรวจสอบกับทางกระทรวงพาณิชย์ตลาดหลักทรัพย์ บริษัทที่เกี่ยวข้อง ไม่ปรากฏว่าคุณทักษิณขาดคุณสมบัติ

ผมจึงรายงานนายกรัฐมนตรี ซึ่งท่านก็อนุญาตให้นำความกราบบังคมทูล เพื่อทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งได้

แต่กระบวนการก็ยังล่าช้า เพราะติดอยู่ที่โควต้ารัฐมนตรีของพรรคความหวังใหม่ ซึ่ง ณ วันนั้นยังแต่งตั้งไม่ได้เพราะติดขัดที่คุณสมบัติของบุคคลบางคน แต่ถ้ารออีกสองสามวันจะเรียบร้อยเพราะเคลียร์เสร็จแล้ว

ระหว่างนั้นข่าวก็ออกไปทุกวันว่า ที่ล่าช้าอยู่เพราะติดขัดที่คุณสมบัติคุณทักษิณ เรื่องนี้ดูท่านจะเดือดร้อนอยู่มาก มีการตัดพ้อต่อว่าทำนองว่า ถ้าเลขาฯ วิษณุไม่รับใช้พรรคประชาธิปัตย์ซึ่งกันท่าท่าน ก็คงเป็นเพราะรู้เห็นเป็นใจกับคุณประสงค์ สุ่นศิริ ซึ่งยังไม่อยากพ้นจากตำแหน่งรัฐมนตรีต่างประเทศ

ความจริงเป็นเวรเป็นกรรมไปซัดทอดพรรคประชาธิปัตย์และคุณประสงค์ ซึ่งนอนหลับไม่รู้นอนคู้ไม่เห็น ขนาดนายกฯ ชวน ยังโทร.มาถามผมว่าติดขัดอะไร ผมต้องกราบเรียนว่า ติดที่อีกพรรค คุณสุขวิช รังสิตพล กำลังจะลาออกจากตำแหน่งในการทางพิเศษแห่งประเทศไทย แต่ขณะนี้ยังไม่ออก ครั้นจะทำไปก่อนทีละขยักก็จะเป็นการรบกวนเบื้องพระยุคลบาทหลายหน

คนสนิทคนหนึ่งของคุณทักษิณ โทร.มาตามให้ผมไปอธิบายให้คุณทักษิณฟังที่บ้าน ดูเหมือนตอนนั้นจะอยู่ซอยลือชา ว่าที่ช้าเป็นเพราะอะไร

ผมตอบปฏิเสธว่า ไม่ใช่หน้าที่ที่จะต้องวิ่งไปเที่ยวอธิบาย เพราะคุณทักษิณยังไม่ได้มีสถานะอะไร รัฐมนตรีก็ยังไม่ได้เป็น แต่ขอโทร.ไปเรียนให้พลตรีจำลอง ศรีเมือง ทราบแทน ในฐานะหัวหน้าพรรคพลังธรรมที่ร่วมรัฐบาล คนสนิทคนนั้นเคืองผมต่อมาอีกนาน

เมื่อแต่งตั้งคุณทักษิณเรียบร้อยแล้ว วันหนึ่งมีการแพร่ข่าวอีกว่าคุณทักษิณขาดคุณสมบัติ และลืออีกว่าเรื่องนี้เลขาธิการคณะรัฐมนตรีคือตัวผมเองทราบเรื่องดีแต่แรก แต่นายกฯ กลัวพรรคพลังธรรมจึงเสนอชื่อคุณทักษิณอยู่ดี ผมจึงทำบันทึกอีกฉบับยืนยันถึงนายกรัฐมนตรีและนำเรียนราชเลขาธิการด้วย

วันหนึ่ง มีคนไปถามรัฐมนตรีทักษิณที่กระทรวงการต่างประเทศทำนองว่า “เขาว่าตอนนั้นท่านขาดคุณสมบัติ” เท่านั้นเอง รัฐมนตรีทักษิณก็ออกอาการน็อตหลุด เอ็ดตะโรลั่นว่า “เขาไหน…เขาเลขา ครม. ใช่ไหม เป็นแผนการที่เลขาธิการคณะรัฐมนตรียอมตกเป็นเครื่องมือปล่อยข่าว ถ้าเขารู้ว่าผมขาดคุณสมบัติแล้วทำไมจึงไปรายงานตอนแรกว่าผมมีคุณสมบัติครบถ้วน เสร็จแล้วแอบมาแทงผมข้างหลัง ข้าราชการอย่างนี้แย่มาก!”

คราวนี้เรื่องท่าจะไปกันใหญ่ หนังสือพิมพ์หลายฉบับพาดหัวข่าวทำนองว่า วิษณุแทงข้างหลังทักษิณ ผมจึงขออนุญาตนายกฯชวนไปพบคุณทักษิณ โดยนำสำเนาบันทึกที่ผมทำถึงนายกฯ และสำเนาหนังสือกราบบังคมทูลพระกรุณาก่อนหน้านี้ไปให้ท่านดู เพื่อแสดงว่าผมไม่เคยแสดงสัญญาณใดกับใครว่าคุณทักษิณขาดคุณสมบัติ  ตรงกันข้ามเคยรับรองด้วยซ้ำว่าเท่าที่ตรวจได้ ไม่พบว่าขาดคุณสมบัติ คุณทักษิณอ่านแล้วตบหลังตบไหล่ทำนองว่าขอโทษขอโพย ตอนนี้รู้แล้วว่าใครแทงข้างหลัง

ว่าแล้วก็ชวนผมคุยเรื่องลมฟ้าอากาศดูหนังฟังเพลงอะไรไปตามเรื่อง

วันนั้นผมนึกในใจว่า“คนจะทำงานใหญ่ไม่ควรปากไวใจเร็ว แต่เมื่อกล้าออกปากขอโทษก็เป็นลูกผู้ชาย ยังอยู่ในวิสัยน่าจะทำงานใหญ่ได้ !”

เมื่อรัฐบาลนายกฯ ชวนยุบสภา คุณทักษิณตั้งพรรคแล้ว และกำลังเตรียมจะลงเลือกตั้งในปี 2543  ผมยังได้พบท่านอีกหลายครั้ง แต่ไม่ได้คุยกันเรื่องการเมือง  ครั้นเมื่อพรรคไทยรักไทยชนะการเลือกตั้งทั่วไปจนสามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ คุณทักษิณจึงให้ผมไปพบที่บ้านจันทร์ส่องหล้า เพื่อซักซ้อมกระบวนการจัดตั้งรัฐบาลและการที่รัฐบาลจะเข้าทำงาน  หลังจากนั้นก็เคยเชิญผมและครอบครัวไปรับประทานอาหารค่ำที่บ้านร่วมกับแขกคนอื่นๆ อีกหลายครั้ง

คนที่น่าประทับใจคนหนึ่งคือคุณหญิงพจมาน ผมได้เห็นการวางตัวที่ดี ไม่พูดเรื่องการเมืองเลยแต่โอภาปราศรัยกับแขกอย่างอ่อนโยน เป็นกันเอง แสดงความเอาใจใส่ในสารทุกข์สุกดิบ  เมื่อรู้ว่าภริยาของผมป่วยเป็นโรคไตต้องเข้ารับการผ่าตัด ก็กุลีกุจอปวารณาตัวว่าจะฝากฝังหมอที่โรงพยาบาลของท่านให้ เอาใจใส่ดูแลแม้แต่อาหารการกิน การเดินการเหิน จนภริยาผมบอกว่าทีหลังอย่ามาชวนไปอีกเพราะเกรงใจคุณหญิงเหลือกำลัง

ปี  2544  เป็นปีที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ประสบปัญหาคดีไม่แจ้งบัญชีทรัพย์สิน ซึ่งกลายเป็นคดีใหญ่ที่ ป.ป.ช. ชี้มูล และเรื่องอยู่ในศาลรัฐธรรมนูญ เมื่อคดียุติลงด้วยการที่ศาลรัฐธรรมนูญตัดสินว่านายกฯ ทักษิณไม่ผิด

คุณทักษิณก็ดูจะมุมานะทำงานมากขึ้น กระฉับกระเฉงขึ้น ไวขึ้น และเชื่อมั่นในตัวเองมากขึ้น  ตัวท่านเองเปรยว่าช่วงแรกยังต้องเบรกๆ บ้าง กลัวศาลตัดสินให้พ้นตำแหน่ง แต่ต่อไปนี้ ต้องเร่งกำลังสองเท่า พวกข้าราชการได้ฟังพากันตาเหลือก เพราะขนาดเบรกๆ ยังตามกันไม่ค่อยทัน

จุดเปลี่ยนแปลง

กลางปี  2545   คุณทักษิณเป็นนายกฯ มาได้ปีเศษ     วันหนึ่งนายกฯทักษิณอารมณ์ดีถามขึ้นว่า คุณอยู่มาครบ 4  ปีจนต่ออายุฯแล้วหนึ่งหน หนนี้ถ้าผมไม่ต่อให้ คุณจะไปทำอะไร

ผมเรียนไปว่า กำลังอยากกลับไปอยู่จุฬาฯ  แต่ว่าไม่ได้ ปีหน้าลูกผมเรียนจบกฎหมายที่จุฬาฯ คงไปเรียนต่อที่เมืองนอก ผมอาจขอลาออกไปสอนหนังสืออยู่เมืองนอกและอยู่กับลูกก็ได้ โดยเฉพาะถ้าได้สอนที่มหาวิทยาลัยแห่งเดียวกับที่ลูกเรียน

นายกฯ ทักษิณ เปรยว่า มีคนบอกว่าน่าจะให้คุณไปเป็นปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี

ผมไม่ได้ตอบอะไร เพราะอันที่จริงตอนนั้นผมก็รักษาการในตำแหน่งปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีอีกตำแหน่งหนึ่งอยู่แล้ว

วันหนึ่ง ในราวเดือนสิงหาคม  2545  ผู้ใหญ่ที่ผมคุ้นเคยและเคารพนับถือคนหนึ่ง คือ คุณชัชวาล อภิบาลศรี และเพื่อนเรียน วปอ. รุ่น  399  รุ่นเดียวกับผมอีกคนชื่อ คุณบรรณพจน์ ดามาพงศ์ ซึ่งเป็นญาติกับคุณหญิงพจมาน ได้ชวนผมไปรับประทานอาหารเที่ยงที่ร้านอาหาร ส.บ.ล. วังบูรพา

การสนทนาแกล้มอาหารมื้อนั้น ในระยะแรกๆ ก็ยังเป็นเรื่องสัพเพเหระ หนักเข้าก็เป็นเรื่องการบ้านการเมือง ผมได้ปรารภจุดแข็ง-จุดอ่อนของนายกฯ ทักษิณ ให้คุณบรรณพจน์ฟัง ตามประสาคนรู้จักกัน และวิตกว่า“คุณทักษิณหลังคดีซุกหุ้นไม่เหมือนกับเมื่อก่อน เพราะท่านมีความเชื่อมั่นในตัวเองมากขึ้น เหมือนคนไม่มีอะไรมายื้อยุดฉุดยั้งอีกแล้ว จึงอาจระมัดระวังน้อยลง ฟังคนน้อยลงเหมือนอั้นมานาน และให้ความสำคัญแก่เป้าหมายปลายทางมากกว่าวิธีการจนอาจพลาดได้ง่าย

เช่น มักคิดว่าถ้าเจตนาดีจะช่วยคนจน จะปราบยาเสพติด จะทำให้ประเทศเจริญแล้ว วิธีการอะไรก็ช่างมัน ไหนจะมีเงิน ไหนจะมีสติปัญญา ไหนจะมีพวกพ้องเสียงเชียร์มาก ไหนจะมีเสียงในสภาท่วมท้น ไหนจะหมดชนักปักหลัง

คนอย่างนี้ผมเห็นมามากแล้ว ว่าจะคึกคะนอง ดุจอินทรชิตที่ได้ฤทธิ์จากพระเป็นเจ้า จนบิดเบือนกายินทร์ เหมือนองค์อมรินทร์ทรงคชเอราวัณได้

ข้อสำคัญคือ เกรงว่ารูปโฉมประเทศไทยจากนี้ไป จะเป็นรัฐตำรวจ มากกว่านิติรัฐ

อีกสาเหตุคือสาเหตุหนึ่งคือ

และข้อสำคัญคือรัฐบาลขาดมือกฎหมาย ผมไม่ได้แนะให้ตั้งใครมาเป็นมือกฎหมาย แต่แนะไปว่ารัฐบาลควรพึ่งพาคณะกรรมการกฤษฎีกาให้มาก ขยันหารือเข้าไว้ขณะนั้นรัฐธรรมนูญใหม่ฉบับ พ.ศ.  2540  เพิ่งมีผลใช้บังคับเต็มอัตรากับรัฐบาลชุดนี้เป็นชุดแรก จึงควรระวังอิทธิฤทธิ์ ซึ่งผมเชื่อว่าจะพลาดเข้าสักวัน

หากไม่อยากหารือกฤษฎีกาเพราะกลัวช้า ก็อาจทำอย่างที่รัฐบาลอาจารย์สัญญา พลเอกเปรม และพลเอกชาติชายเคยทำ คือตั้งคณะที่ปรึกษากฎหมายรัฐบาลเอาไว้ประจำทำเนียบ จะได้เรียกใช้ได้ตลอด  24 ชั่วโมง แม้ความน่าเชื่อถือจะน้อยกว่าคณะกรรมการกฤษฎีกา  เราได้คุยกันแม้กระทั่งว่าใครน่าจะเป็นที่ปรึกษาบ้าง ผมให้ชื่อไปราวสิบคน ก็คนดังๆ ในเวลานี้แหละครับ   แต่มาวันนี้ คนเหล่านั้นกลายเป็นอยู่คนละข้างกับคุณทักษิณทั้งนั้น

คุณบรรณพจน์กินไป ฟังไป จดไป ไม่พูดไม่จา ซึ่งเป็นลักษณะนิสัยของท่านอยู่แล้ว  พอลับหลังคุณบรรณพจน์ ผมยังแอบนินทากับคุณชัชวาลว่า ที่คุณบรรณพจน์จดไป คงหายหกตกหล่นกลางทางหมด เหลือไปถึงนายกฯ ทักษิณ สักหนึ่งในสิบส่วนกระมัง !

สามวันต่อมา คุณหญิงพจมานเชิญผมไปพบที่บ้าน กระดาษที่คุณบรรณพจน์จดไปวางอยู่ข้างหน้า คุณหญิงให้ผมวิจารณ์รัฐบาลให้ฟังอีกหนว่า ใครเป็นอย่างไร นายกฯเป็นอย่างไร ปัญหาในการทำงานมีอะไรบ้าง ที่ว่าไม่ค่อยฟังใครเช่นเรื่องอะไร ถ้าไม่ฟังแล้วจะเกิดอะไรขึ้น คณะที่ปรึกษาสิบคนที่ผมเสนอแนะนั้นผมรู้จักไหม ไว้ใจได้ไหม คุณหญิงถามอย่างคนไม่รู้ โดยไม่เสริมหรือออกความเห็นเสียเองแม้แต่ประโยคเดียว

[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่