EP 1:ออกเดินทาง
“เตรียมตัวเดินทางได้เลยค่ะ เดี๋ยวทางเจ้าหน้าที่จะติดต่อกลับไป”
เสียงใส ๆ ของเจ้าหน้าที่หน้าห้องสอบสัมภาษณ์ขอรับทุนเรียนภาษาที่เมลเบิร์น ออสเตรเลีย ลอยเข้าหูผม
จากนั้นหัวใจดวงเล็กมันพองโต
นี่คือการเดินทางไปเรียนเมืองนอกครั้งแรกในชีวิตของเด็กบ้านนอกที่ไม่เคยคิดว่าชีวิตนี้จะมีโอกาสได้ไปแบบนี้กับเค้า
เมื่อก่อนผมคิดว่าการไปเรียนเมืองนอกเป็นเรื่องยากมาก
เพราะอันดับแรกคือ
คุณต้องรวย
สิ่งสำคัญต่อ ๆ มาคือ ต้องเรียนเก่ง พูดภาษาอังกฤษได้ และมีเส้นสาย
ผมไม่มีอะไรแบบนี้เลย ให้ตาย
ผมเข้ามาทำงานในสถานที่ราชการแห่งนี้เมื่อประมาณ 8 ปีที่แล้ว สอบติดขึ้นบัญชีอันดับท้าย ๆ ด้วยซ้ำ
และไม่เคยคิดว่าจะได้มาทำงานในองค์กรระดับนี้
ตอนแม่เห็นจดหมายจากสำนักงานส่งมาที่บ้าน
แม่ตื่นเต้นระคนกับสงสัย
มันจะดีมั้ยนะ
เพราะก่อนหน้านี้ผมเป็นอาจารย์สอนในราชภัฏต่างจังหวัดแห่งหนึ่งอยู่
เงินก็ดี รายได้งาม แต่มันไม่ค่อยมั่นคง เพราะเค้าให้เป็นลูกจ้าง
พอถูกเรียกตัวไปเป็นข้าราชการเท่านั้นแหล่ะ ก็ย่อมดีใจเป็นธรรมดา แต่ก็มิวายสงสัยว่าที่ที่เราจะไปนี่มันจะดีเหมือนที่ที่เราอยู่ตอนนี้มั้ย
พอได้เข้ามาก็ได้ทราบเรื่องทุนไปเรียนภาษาตัวนี้
พออ่านคุณสมบัติแล้วก็ เฮ้ย เราก็มีสิทธินี่หว่า
ต้องขอวัดดวงกันหน่อย
เลยวัดมาเกือบ 8 ปีนี่แหล่ะ
จากความพยายามหลายครั้ง สุดท้ายก็ได้ไป
คนเรามักท้อแท้กับความคาดหวังในครั้งแรก ๆ จนกลายเป็นความเฉยชา ไม่ต่อสู้
แต่ถ้าเราก้าวข้ามความผิดหวังครั้งแรกไปได้และสู้ต่อไปเรื่อย ๆ
ซักวันมันต้องเป็นของเรา
ว่าแล้วก็โทรไปบอกแม่ที่ต่างจังหวัด ทางโน้นก็ดีใจที่ลูกชายเป็นคนแรกในบ้านที่ได้ไปเรียนเมืองนอก
คือระดับผมนี่ แค่สอบเอนทร๊านซ์ติดก็ว่าดีใจกันแบบจะปิดซอยเลี้ยงแล้ว
นี่ยิ่งจะไปเรียนเมืองนอกด้วย
ของแบบนี้ไม่มีใครคาดฝันกับผมมาก่อน รวมทั้งตัวผมเอง
ก็ได้ให้คุณนายเค้าเอาไปคุยกับชาวบ้านร้านตลาดบ้าง
แม้จะเป็นการไปเรียนภาษาแค่ 7 เดือน แต่ก็ถือว่าเป็นประสบการณ์ครั้งยิ่งใหญ่ของชีวิต
ผมเคยไปออสเตรเลียมาครั้งหนึ่งตอนไปศึกษาดูงานกับคณะผู้บริหาร
ตอนนั้นไปแคนเบอร์ร่าและซิดนี
มันเป็นธรรมดากับความตื่นตาตื่นใจที่ได้ไปต่างประเทศ
เราได้เห็นบ้านเมืองในอีกรูปแบบหนึ่ง ได้เห็นผู้คน ชีวิต และวิธีคิดของคนประเทศนั้นผ่านสิ่งแวดล้อมต่าง ๆ
แต่ไม่เคยนึกว่าจะได้ไปอยู่นาน ๆ เหมือนครั้งนี้
เมลเบิร์น
บอกตรง ๆ ว่ารู้จัก แต่ไม่รู้อะไรมาก
ไม่รู้จักเท่าซิดนี คือที่นั่นยังมีโอเปร่าเฮ้าส์ที่ขึ้นชื่อ
แต่เมลเบิร์น
นึกไม่ออกว่ามีอะไร
เพื่อนที่เคยได้รับทุนนี้รุ่นก่อนก็ได้แชร์ให้ฟังว่า
นี่เป็นเมืองที่กาแฟและช็อกโกแลตมีชื่อเสียงที่สุดที่หนึ่งของโลกเลยนะ
บ๊ะ
กาแฟ ช็อกโกแลต
จะช้าอยู่ใย
ว่าแล้วก็รอเวลาที่จะได้บินไปเหยียบแผ่นดินจิงโจ้อีกครั้ง
คราวนี้ไปแบบจริงจัง 7 เดือน
ไม่ได้คิดอะไรล่วงหน้าว่าจะต้องไปเจออะไร
แค่คิดเตรียมตัว
เผลอ ๆ ก็ไม่ได้เตรียมตัวอะไรด้วย
แค่ทำเอกสารขออนุมัติไปเรียนกับทางต้นสังกัดก็หมดไปเป็นเดือน
ไม่มีเวลามานั่งคิดเรื่องอื่นแล้ว
ไหนจะต้องรีบเคลียร์งานที่ค้างอยู่ คนข้างหลังจะได้ไม่ก่นด่าอีก
เวลาก็กระชั้นเข้ามาเต็มที
เมลเบิร์น
เมลเบิร์น
ก็ยังนึกไม่ออกว่าบ้านเมืองเค้าเป็นยังไง
ฝรั่งออสเตรเลียกับฝรั่งอเมริกา ยุโรป รูปร่างหน้าตาก็คล้าย ๆ กัน
เอาเป็นว่ารอวันเดินทาง
แล้วไปตามหาคำตอบกัน
ชีวิตเริ่มต้นใหม่ได้เสมอ
แม้อายุจะ 30 กว่าแล้วก็ตาม
Melbourne Story : ชีวิตมันสั้น ต้องฝันเข้าไป / EP1: ออกเดินทาง
“เตรียมตัวเดินทางได้เลยค่ะ เดี๋ยวทางเจ้าหน้าที่จะติดต่อกลับไป”
เสียงใส ๆ ของเจ้าหน้าที่หน้าห้องสอบสัมภาษณ์ขอรับทุนเรียนภาษาที่เมลเบิร์น ออสเตรเลีย ลอยเข้าหูผม
จากนั้นหัวใจดวงเล็กมันพองโต
นี่คือการเดินทางไปเรียนเมืองนอกครั้งแรกในชีวิตของเด็กบ้านนอกที่ไม่เคยคิดว่าชีวิตนี้จะมีโอกาสได้ไปแบบนี้กับเค้า
เมื่อก่อนผมคิดว่าการไปเรียนเมืองนอกเป็นเรื่องยากมาก
เพราะอันดับแรกคือ
คุณต้องรวย
สิ่งสำคัญต่อ ๆ มาคือ ต้องเรียนเก่ง พูดภาษาอังกฤษได้ และมีเส้นสาย
ผมไม่มีอะไรแบบนี้เลย ให้ตาย
ผมเข้ามาทำงานในสถานที่ราชการแห่งนี้เมื่อประมาณ 8 ปีที่แล้ว สอบติดขึ้นบัญชีอันดับท้าย ๆ ด้วยซ้ำ
และไม่เคยคิดว่าจะได้มาทำงานในองค์กรระดับนี้
ตอนแม่เห็นจดหมายจากสำนักงานส่งมาที่บ้าน
แม่ตื่นเต้นระคนกับสงสัย
มันจะดีมั้ยนะ
เพราะก่อนหน้านี้ผมเป็นอาจารย์สอนในราชภัฏต่างจังหวัดแห่งหนึ่งอยู่
เงินก็ดี รายได้งาม แต่มันไม่ค่อยมั่นคง เพราะเค้าให้เป็นลูกจ้าง
พอถูกเรียกตัวไปเป็นข้าราชการเท่านั้นแหล่ะ ก็ย่อมดีใจเป็นธรรมดา แต่ก็มิวายสงสัยว่าที่ที่เราจะไปนี่มันจะดีเหมือนที่ที่เราอยู่ตอนนี้มั้ย
พอได้เข้ามาก็ได้ทราบเรื่องทุนไปเรียนภาษาตัวนี้
พออ่านคุณสมบัติแล้วก็ เฮ้ย เราก็มีสิทธินี่หว่า
ต้องขอวัดดวงกันหน่อย
เลยวัดมาเกือบ 8 ปีนี่แหล่ะ
จากความพยายามหลายครั้ง สุดท้ายก็ได้ไป
คนเรามักท้อแท้กับความคาดหวังในครั้งแรก ๆ จนกลายเป็นความเฉยชา ไม่ต่อสู้
แต่ถ้าเราก้าวข้ามความผิดหวังครั้งแรกไปได้และสู้ต่อไปเรื่อย ๆ
ซักวันมันต้องเป็นของเรา
ว่าแล้วก็โทรไปบอกแม่ที่ต่างจังหวัด ทางโน้นก็ดีใจที่ลูกชายเป็นคนแรกในบ้านที่ได้ไปเรียนเมืองนอก
คือระดับผมนี่ แค่สอบเอนทร๊านซ์ติดก็ว่าดีใจกันแบบจะปิดซอยเลี้ยงแล้ว
นี่ยิ่งจะไปเรียนเมืองนอกด้วย
ของแบบนี้ไม่มีใครคาดฝันกับผมมาก่อน รวมทั้งตัวผมเอง
ก็ได้ให้คุณนายเค้าเอาไปคุยกับชาวบ้านร้านตลาดบ้าง
แม้จะเป็นการไปเรียนภาษาแค่ 7 เดือน แต่ก็ถือว่าเป็นประสบการณ์ครั้งยิ่งใหญ่ของชีวิต
ผมเคยไปออสเตรเลียมาครั้งหนึ่งตอนไปศึกษาดูงานกับคณะผู้บริหาร
ตอนนั้นไปแคนเบอร์ร่าและซิดนี
มันเป็นธรรมดากับความตื่นตาตื่นใจที่ได้ไปต่างประเทศ
เราได้เห็นบ้านเมืองในอีกรูปแบบหนึ่ง ได้เห็นผู้คน ชีวิต และวิธีคิดของคนประเทศนั้นผ่านสิ่งแวดล้อมต่าง ๆ
แต่ไม่เคยนึกว่าจะได้ไปอยู่นาน ๆ เหมือนครั้งนี้
เมลเบิร์น
บอกตรง ๆ ว่ารู้จัก แต่ไม่รู้อะไรมาก
ไม่รู้จักเท่าซิดนี คือที่นั่นยังมีโอเปร่าเฮ้าส์ที่ขึ้นชื่อ
แต่เมลเบิร์น
นึกไม่ออกว่ามีอะไร
เพื่อนที่เคยได้รับทุนนี้รุ่นก่อนก็ได้แชร์ให้ฟังว่า
นี่เป็นเมืองที่กาแฟและช็อกโกแลตมีชื่อเสียงที่สุดที่หนึ่งของโลกเลยนะ
บ๊ะ
กาแฟ ช็อกโกแลต
จะช้าอยู่ใย
ว่าแล้วก็รอเวลาที่จะได้บินไปเหยียบแผ่นดินจิงโจ้อีกครั้ง
คราวนี้ไปแบบจริงจัง 7 เดือน
ไม่ได้คิดอะไรล่วงหน้าว่าจะต้องไปเจออะไร
แค่คิดเตรียมตัว
เผลอ ๆ ก็ไม่ได้เตรียมตัวอะไรด้วย
แค่ทำเอกสารขออนุมัติไปเรียนกับทางต้นสังกัดก็หมดไปเป็นเดือน
ไม่มีเวลามานั่งคิดเรื่องอื่นแล้ว
ไหนจะต้องรีบเคลียร์งานที่ค้างอยู่ คนข้างหลังจะได้ไม่ก่นด่าอีก
เวลาก็กระชั้นเข้ามาเต็มที
เมลเบิร์น
เมลเบิร์น
ก็ยังนึกไม่ออกว่าบ้านเมืองเค้าเป็นยังไง
ฝรั่งออสเตรเลียกับฝรั่งอเมริกา ยุโรป รูปร่างหน้าตาก็คล้าย ๆ กัน
เอาเป็นว่ารอวันเดินทาง
แล้วไปตามหาคำตอบกัน
ชีวิตเริ่มต้นใหม่ได้เสมอ
แม้อายุจะ 30 กว่าแล้วก็ตาม