ที่ไหนๆก็มีเรื่องหลอน ชวนให้นอนไม่หลับด้วยกันทั้งนั้น
ไม่ใช่แค่วัด บ้านร้าง หรือโรงพยาบาลเท่านั้นที่คุณจะสามารถได้ยินเรื่องเล่าที่ชวนให้ขนพองสยองเกล้าได้
โรงเรียนหรือมหาวิทยาลัยก็เป็นอีกหนึ่งแหล่งรวมเรื่องเฮี้ยนสุดหลอน
ที่ต้องส่งต่อความน่ากลัวนี้ให้กันแบบรุ่นต่อรุ่น
เรื่องหลอนนั้นจะเป็นอย่างไร และมีที่ไหนบ้าง ลองมาดูกันดีกว่า
ไม่แน่ว่าคุณอาจเคยสัมผัสความน่าสะพรึงเหล่านั้นมาแล้วก็เป็นได้
1.
เรื่องหลอน ของลิฟต์แดง
เรื่องหลอนสุดสยองของลิฟต์แดงจากมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง
มีเรื่องเล่าว่าในช่วงเหตุการณ์ 14 ตุลาฯ แห่งความขัดแย้งทางการเมือง
นักศึกษาพากันหลบหนีเข้าไปในลิฟต์ตัวหนึ่ง และเมื่อประตูลิฟต์เปิดออก
ทหารได้กระหน่ำยิงจนเลือดสาดอาบไปทั่วทั้งลิฟต์ นักศึกษาทั้งหมดเสียชีวิต
ต่อมา ทางมหาวิทยาลัยได้ทำการล้างทำความสะอาดลิฟต์ตัวนั้น
แต่ไม่ว่าจะล้างยังไง ลิฟต์ตัวนี้ก็จะยังคงมีคราบเลือดเลอะเปรอะเปื้อนหลงเหลืออยู่
มหาวิทยาลัยหาทางออกด้วยการทาลิฟต์ตัวนี้ให้เป็นสีแดง จนกระทั่ง…
หลังจากที่ลิฟต์ตัวนี้ถูกนำกลับมาใช้งานตามปกติ ทั้งนักศึกษาและอาจารย์ต่างก็พบเจอเหตุการณ์น่าขนลุกต่างๆ
เช่น มีนักศึกษาคนหนึ่งขึ้นลิฟต์ตามลำพัง แต่เมื่อมองไปที่กระจก เขากลับเห็นว่ามีคนอื่นยืนอยู่ในลิฟต์ด้วย
หรือมีนักศึกษาเดินเข้าลิฟต์พร้อมกับรอยเลือดไหลเป็นทาง แม้ว่าลิฟต์ตัวนี้จะถูกถอดออกไปแล้ว
แต่เรื่องราวของลิฟต์แดงก็ยังคงถูกเล่าขานกันต่อไป
และปัจจุบัน ทางมหาวิทยาลัยยังคงเก็บ “ลิฟต์แดง” ตัวนี้เอาไว้อยู่
โดยนำไปตั้งที่ชั้น 6 คณะศิลปศาสตร์ ราวกับว่าเป็นอนุสรณ์สถานเพื่อระลึกถึงการจากไปของเหล่านักศึกษาผู้บริสุทธิ์
2.
ตำนานหลอนอิฐ 9 ก้อน

ว่ากันด้วยเรื่องเล่าจากมหาวิทยาลัยชั้นนำของประเทศไทยที่ตั้งอยู่กลางเมือง
ว่ากันว่าบริเวณทางเดินหน้าตึกคณะเศรษฐศาสตร์ของที่นี่จะมีอิฐจำนวนหนึ่งเผยอขึ้นมา
ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหนหรือมีการปรับปรุงพื้นที่กันอย่างไร อิฐก้อนนั้นก็ยังคงเกยกันอยู่ดี
จึงมีเสียงเล่าลือต่อๆกันในหมู่นักศึกษาว่า ห้ามเดินเหยียบอิฐนั้นเป็นอันขาด
เพราะมีเรื่องเล่าว่า นักศึกษาชายคนหนึ่ง มีปากเสียงทะเลาะกับแฟนเรื่องเลิกกัน
และสุดท้ายฝ่ายชายก็ตัดสินใจกระโดดตึกลงมาเสียชีวิตตรงบริเวณอิฐก้อนนั้น
แม้ว่านี่จะเป็นเรื่องที่เล่าขานต่อๆกันมา แต่ก็ไม่มีใครกล้าลบหลู่เรื่องที่ว่านี้เลยสักคน
3.
ลานประหาร…ลานทรงพล

“ลานทรงพล” บริเวณคณะอักษรศาสตร์ ของมหาวิทยาลัยที่ตั้งอยู่ในบริเวณเขตพระราชฐานพระราชวังสนามจันทร์
เดิมที ก่อนที่ที่นี่จะเต็มไปด้วยแมกไม้ร่มรื่นดังปัจจุบัน ที่แห่งนี้เคยใช้เป็นลานประหารนักโทษ
ซึ่งวิธีการประหารที่ใช้กันมากที่สุดในยุคนั้นคือ การประหารด้วยการตัดคอให้ขาดในดาบเดียว
ด้วยเหตุนี้จึงมีเรื่องที่เล่าต่อๆกันมาอยู่มากมาย บ้างก็ว่ามีนักศึกษาเห็นเงาคนสูงใหญ่กำลังฟันคอคนที่นั่งอยู่บนพื้นจนขาดกระเด็น
บ้างก็ว่าเห็นผู้หญิงนุ่งโจงห่มสไบมายืนอยู่บริเวณนี้ยามค่ำคืน
4.
ลิฟต์สยองที่ตึก 3

มหาวิทยาลัยย่านเมืองเอกเป็นอีกแห่งที่ขึ้นชื่อเรื่องความหลอนและความเฮี้ยนติดอันดับต้นๆ
ทั้งเรื่องของฮวยจุ้ยที่ว่ากันว่าผีเพียบ แถมบริเวณโดยรอบที่เต็มไปด้วยบ้านร้างและสถานที่วัดใจสำหรับคนอยากลองของ
และเรื่องเล่าเก่าแก่ที่ยังคงสร้างความน่าหวาดผวามาถึงปัจจุบันคงจะหนีไม่พ้นเรื่องราวของ ลิฟต์ตึก 3
ในยามกลางวัน ลิฟต์ตัวที่ว่านี้จะสามารถใช้งานได้ตามปกติ แต่พอตกกลางคืน…
ลิฟต์ตัวนี้จะเปิดเองโดยที่ไม่มีคนกด และหากมีใครกดขึ้นลงระหว่างชั้นต่างๆ มันก็จะไม่เปิดให้ตามชั้นที่กด
ยิ่งไปกว่านั้น บริเวณชั้น 5 ซึ่งเป็นชั้นของคณะนิติศาสตร์ เคยมีคนเห็นผู้หญิงใส่ชุดขาวปรากฎกายอยู่ในกระจกข้างลิฟต์
ทั้งที่ข้างลิฟต์นั้นไม่มีกระจกแม้แต่บานเดียว
5.
เสียงร้องไห้ปริศนาในห้องน้ำชาย

เรื่องเล่าสยองขวัญของโรงเรียนประถมใจกลางเมืองนนทบุรีแห่งนี้
ว่ากันว่ามีห้องน้ำที่ถูกปิดตายอยู่ และมีเสียงร่ำลือว่าห้องน้ำแห่งนี้มักจะมีเสียงร้องไห้ปริศนาดังออกมาเรื่อยๆ
นอกจากนี้ ยังมีคนเห็นวิญญาณของเด็กผู้หญิงยืนร้องไห้สะอึกสะอื้นสะท้อนอยู่ในกระจก
และเรื่องราวชวนหลอนของที่นี่ก็ยิ่งทวีคูณเข้าไปอีก เมื่อได้รู้ว่า ที่ดินตรงนี้เคยเป็นโรงพยาบาลเก่า
ถึงขนาดพระที่มาทำพิธีในที่แห่งนี้สามารถสัมผัสได้ถึงกลิ่นวิญญาณ และความอาฆาตที่คละคลุ้งไปทั่วบริเวณ
6.
ใครอยู่บนคาน?

ช่วงงานกีฬาสี เป็นอีกช่วงเวลาที่นักเรียนหลายคนต้องอยู่ทำกิจกรรมในโรงเรียนจนค่ำมืด
ที่โรงเรียนแห่งนี้ก็เช่นกัน ในการซ้อมเชียร์ ผู้นำเชียร์แต่ละรุ่นจะเล่าเรื่องราวความหลอนส่งต่อกันเป็นทอดๆ
โดยเฉพาะเรื่องหลอนของโรงอาหาร ขณะที่กลุ่มเชียร์ลีดเดอร์กำลังซ้อมกันอยู่ ทั่วทั้งโรงอาหารมีเพียงเสียงนับให้จังหวะ
แต่อยู่ๆ คนที่ขึ้นเป็นยอดสุดของการต่อตัวก็กรีดร้องดังลั่น ทุกคนจึงเงยหน้าขึ้นไปมองและสิ่งที่ทุกคนได้เห็นก็คือ
ผู้หญิงผมยาวคนหนึ่ง เนื้อตัวขาวซีดใส่ชุดขาวนั่งอยู่บนคาน หล่อนกำลังจ้องมองลงมาและปรบมือให้
ทำเอาทุกคนขวัญกระเจิงเก็บข้าวของหนีออกจากโรงอาหารในทันที และทุกวันนี้ก็มีน้อยคนนักที่จะกล้ามองขึ้นไปบนคานนั้น
7.
เรื่องหลอนอาคาร 6

มีเรื่องเล่าว่าบริเวณอาคาร 6 ของโรงเรียนดังย่านปากเกร็ดเคยเป็นศาลาพักศพมาก่อน
จึงเป็นเหตุให้ที่นี่ต้องมีการทำบุญตึกกันทุกๆ วันอังคาร ว่ากันว่าเคยมีครูคนหนึ่งเลิกงานดึก
ขณะกำลังเดินลงมาจากตึกพบเด็กนักเรียนคนหนึ่งนั่งร้องไห้อยู่บนป้ายตรงทางเดิน ครูจึงเดินเข้าไปถามด้วยความเป็นห่วงว่า
เป็นอะไร ทำไมถึงยังไม่กลับบ้าน ทันทีที่เด็กคนนั้นเงยหน้าขึ้น ภาพที่เห็นทำเอาคุณครูถึงกับตกใจจนแทบสิ้นสติ
น้ำตาของเด็กคนนั้นไหลออกมาเป็นเลือด และเมื่อสังเกตดีๆ ก็เห็นว่าป้ายที่เด็กคนนั้นนั่งอยู่ ติดกับผนังซึ่งไม่มีทางที่คนจะขึ้นไปนั่งได้
8.
คุณครูนาฏศิลป์

เรื่องหลอนของโรงเรียนรัฐบาลชื่อดังแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ ที่นี่เคยมีครูสอนนาฏศิลป์ที่เคร่งครัด เข้มงวด และมีระเบียบสุดๆ
แถมยังเป็นครูที่มีชื่อเสียงโดดเด่นในเรื่องการรำเป็นอย่างมาก
วันหนึ่ง ครูป่วยหนักจนต้องเข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาล แต่ด้วยความรับผิดชอบและความรักในอาชีพอย่างแรงกล้า
ทำให้คุณครูหนีออกจากโรงพยาบาลเพื่อมาฝึกซ้อมให้เด็กๆในการแข่งขันรำไทย
แต่แล้วเรื่องน่าเศร้าก็เกิดขึ้น เมื่ออาการของคุณครูทรุดลง ทำให้ต้องกลับไปเอายาที่ลืมไว้ในห้องนาฏศิลป์
หลังจากนั้นไม่มีใครล่วงรู้ได้ว่าเกิดอะไรขึ้น เช้าวันต่อมาจึงมีคนมาพบศพคุณครูอยู่ภายในห้องนั้น
นับจากนั้นเป็นต้นมา ทุกครั้งที่มีคนพยายามจะเข้ามาในห้องก็จะมีเสียงดนตรีไทยดังขึ้น
และยังมีคนมารำอยู่ในห้องนั้นทุกวันอีกด้วย
9.
เสียงส้นสูงในห้องน้ำ

เป็นเรื่องราวที่กล่าวถึงห้องน้ำหญิงบริเวณโรงอาหารของโรงเรียนแห่งหนึ่ง
เรื่องเล่าว่า มักจะมีคนได้ยินเสียงรองเท้าส้นสูงเดินวนเวียนไปมาอยู่ภายในห้องน้ำอยู่เรื่อยๆ ไม่ยอมหยุด
เชื่อกันว่าอาจเป็นวิญญาณของผู้หญิงที่เคยถูกฆ่าตายในห้องน้ำแห่งนี้ และในตอนนั้นเธอก็สวมรองเท้าส้นสูงอยู่ด้วย
จึงเป็นเรื่องหลอนให้ใครหลายคนเชื่อว่า ดวงวิญญาณของเธอยังคงไม่ไปไหน และคอยวนเวียนอยู่ในบริเวณที่เธอตายเรื่อยมา
เรื่องราวหลอนๆ เกี่ยวกับโลกหลังความตายอาจเป็นสิ่งที่เทคโนโลยีปัจจุบันไม่สามารถพิสูจน์ได้
แต่อย่างที่โบราณได้ว่าเอาไว้นั่นแหละนะ “ไม่เชื่อ อย่าลบหลู่” สิ่งที่เรามองไม่เห็นไม่ได้แปลว่าไม่มีอยู่จริง
ไม่แน่ว่า ตอนนี้อาจมีดวงตานับร้อยนับพันคู่ที่คุณมองไม่เห็นกำลังจับจ้องมาที่คุณ
และคุณแน่ใจหรือว่าสิ่งที่เดินตามคุณกลับมานั้นเป็นคนที่มีชีวิตจริงๆ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ขอบคุณข้อมูล: http://www.toptenthailand.com/topten/detail/20141120163511208 | http://www.thairath.co.th/content/460265 | http://social.tnews.co.th/content/116776/ | http://teen.mthai.com/variety/48736.html
...........เรื่องหลอน__ก่อนนอน..นะจ๊ะ
ไม่ใช่แค่วัด บ้านร้าง หรือโรงพยาบาลเท่านั้นที่คุณจะสามารถได้ยินเรื่องเล่าที่ชวนให้ขนพองสยองเกล้าได้
โรงเรียนหรือมหาวิทยาลัยก็เป็นอีกหนึ่งแหล่งรวมเรื่องเฮี้ยนสุดหลอน
ที่ต้องส่งต่อความน่ากลัวนี้ให้กันแบบรุ่นต่อรุ่น
เรื่องหลอนนั้นจะเป็นอย่างไร และมีที่ไหนบ้าง ลองมาดูกันดีกว่า
ไม่แน่ว่าคุณอาจเคยสัมผัสความน่าสะพรึงเหล่านั้นมาแล้วก็เป็นได้
1. เรื่องหลอน ของลิฟต์แดง
เรื่องหลอนสุดสยองของลิฟต์แดงจากมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง
มีเรื่องเล่าว่าในช่วงเหตุการณ์ 14 ตุลาฯ แห่งความขัดแย้งทางการเมือง
นักศึกษาพากันหลบหนีเข้าไปในลิฟต์ตัวหนึ่ง และเมื่อประตูลิฟต์เปิดออก
ทหารได้กระหน่ำยิงจนเลือดสาดอาบไปทั่วทั้งลิฟต์ นักศึกษาทั้งหมดเสียชีวิต
ต่อมา ทางมหาวิทยาลัยได้ทำการล้างทำความสะอาดลิฟต์ตัวนั้น
แต่ไม่ว่าจะล้างยังไง ลิฟต์ตัวนี้ก็จะยังคงมีคราบเลือดเลอะเปรอะเปื้อนหลงเหลืออยู่
มหาวิทยาลัยหาทางออกด้วยการทาลิฟต์ตัวนี้ให้เป็นสีแดง จนกระทั่ง…
หลังจากที่ลิฟต์ตัวนี้ถูกนำกลับมาใช้งานตามปกติ ทั้งนักศึกษาและอาจารย์ต่างก็พบเจอเหตุการณ์น่าขนลุกต่างๆ
เช่น มีนักศึกษาคนหนึ่งขึ้นลิฟต์ตามลำพัง แต่เมื่อมองไปที่กระจก เขากลับเห็นว่ามีคนอื่นยืนอยู่ในลิฟต์ด้วย
หรือมีนักศึกษาเดินเข้าลิฟต์พร้อมกับรอยเลือดไหลเป็นทาง แม้ว่าลิฟต์ตัวนี้จะถูกถอดออกไปแล้ว
แต่เรื่องราวของลิฟต์แดงก็ยังคงถูกเล่าขานกันต่อไป
และปัจจุบัน ทางมหาวิทยาลัยยังคงเก็บ “ลิฟต์แดง” ตัวนี้เอาไว้อยู่
โดยนำไปตั้งที่ชั้น 6 คณะศิลปศาสตร์ ราวกับว่าเป็นอนุสรณ์สถานเพื่อระลึกถึงการจากไปของเหล่านักศึกษาผู้บริสุทธิ์
2. ตำนานหลอนอิฐ 9 ก้อน
ว่ากันด้วยเรื่องเล่าจากมหาวิทยาลัยชั้นนำของประเทศไทยที่ตั้งอยู่กลางเมือง
ว่ากันว่าบริเวณทางเดินหน้าตึกคณะเศรษฐศาสตร์ของที่นี่จะมีอิฐจำนวนหนึ่งเผยอขึ้นมา
ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหนหรือมีการปรับปรุงพื้นที่กันอย่างไร อิฐก้อนนั้นก็ยังคงเกยกันอยู่ดี
จึงมีเสียงเล่าลือต่อๆกันในหมู่นักศึกษาว่า ห้ามเดินเหยียบอิฐนั้นเป็นอันขาด
เพราะมีเรื่องเล่าว่า นักศึกษาชายคนหนึ่ง มีปากเสียงทะเลาะกับแฟนเรื่องเลิกกัน
และสุดท้ายฝ่ายชายก็ตัดสินใจกระโดดตึกลงมาเสียชีวิตตรงบริเวณอิฐก้อนนั้น
แม้ว่านี่จะเป็นเรื่องที่เล่าขานต่อๆกันมา แต่ก็ไม่มีใครกล้าลบหลู่เรื่องที่ว่านี้เลยสักคน
3. ลานประหาร…ลานทรงพล
“ลานทรงพล” บริเวณคณะอักษรศาสตร์ ของมหาวิทยาลัยที่ตั้งอยู่ในบริเวณเขตพระราชฐานพระราชวังสนามจันทร์
เดิมที ก่อนที่ที่นี่จะเต็มไปด้วยแมกไม้ร่มรื่นดังปัจจุบัน ที่แห่งนี้เคยใช้เป็นลานประหารนักโทษ
ซึ่งวิธีการประหารที่ใช้กันมากที่สุดในยุคนั้นคือ การประหารด้วยการตัดคอให้ขาดในดาบเดียว
ด้วยเหตุนี้จึงมีเรื่องที่เล่าต่อๆกันมาอยู่มากมาย บ้างก็ว่ามีนักศึกษาเห็นเงาคนสูงใหญ่กำลังฟันคอคนที่นั่งอยู่บนพื้นจนขาดกระเด็น
บ้างก็ว่าเห็นผู้หญิงนุ่งโจงห่มสไบมายืนอยู่บริเวณนี้ยามค่ำคืน
4. ลิฟต์สยองที่ตึก 3
มหาวิทยาลัยย่านเมืองเอกเป็นอีกแห่งที่ขึ้นชื่อเรื่องความหลอนและความเฮี้ยนติดอันดับต้นๆ
ทั้งเรื่องของฮวยจุ้ยที่ว่ากันว่าผีเพียบ แถมบริเวณโดยรอบที่เต็มไปด้วยบ้านร้างและสถานที่วัดใจสำหรับคนอยากลองของ
และเรื่องเล่าเก่าแก่ที่ยังคงสร้างความน่าหวาดผวามาถึงปัจจุบันคงจะหนีไม่พ้นเรื่องราวของ ลิฟต์ตึก 3
ในยามกลางวัน ลิฟต์ตัวที่ว่านี้จะสามารถใช้งานได้ตามปกติ แต่พอตกกลางคืน…
ลิฟต์ตัวนี้จะเปิดเองโดยที่ไม่มีคนกด และหากมีใครกดขึ้นลงระหว่างชั้นต่างๆ มันก็จะไม่เปิดให้ตามชั้นที่กด
ยิ่งไปกว่านั้น บริเวณชั้น 5 ซึ่งเป็นชั้นของคณะนิติศาสตร์ เคยมีคนเห็นผู้หญิงใส่ชุดขาวปรากฎกายอยู่ในกระจกข้างลิฟต์
ทั้งที่ข้างลิฟต์นั้นไม่มีกระจกแม้แต่บานเดียว
5. เสียงร้องไห้ปริศนาในห้องน้ำชาย
เรื่องเล่าสยองขวัญของโรงเรียนประถมใจกลางเมืองนนทบุรีแห่งนี้
ว่ากันว่ามีห้องน้ำที่ถูกปิดตายอยู่ และมีเสียงร่ำลือว่าห้องน้ำแห่งนี้มักจะมีเสียงร้องไห้ปริศนาดังออกมาเรื่อยๆ
นอกจากนี้ ยังมีคนเห็นวิญญาณของเด็กผู้หญิงยืนร้องไห้สะอึกสะอื้นสะท้อนอยู่ในกระจก
และเรื่องราวชวนหลอนของที่นี่ก็ยิ่งทวีคูณเข้าไปอีก เมื่อได้รู้ว่า ที่ดินตรงนี้เคยเป็นโรงพยาบาลเก่า
ถึงขนาดพระที่มาทำพิธีในที่แห่งนี้สามารถสัมผัสได้ถึงกลิ่นวิญญาณ และความอาฆาตที่คละคลุ้งไปทั่วบริเวณ
6. ใครอยู่บนคาน?
ช่วงงานกีฬาสี เป็นอีกช่วงเวลาที่นักเรียนหลายคนต้องอยู่ทำกิจกรรมในโรงเรียนจนค่ำมืด
ที่โรงเรียนแห่งนี้ก็เช่นกัน ในการซ้อมเชียร์ ผู้นำเชียร์แต่ละรุ่นจะเล่าเรื่องราวความหลอนส่งต่อกันเป็นทอดๆ
โดยเฉพาะเรื่องหลอนของโรงอาหาร ขณะที่กลุ่มเชียร์ลีดเดอร์กำลังซ้อมกันอยู่ ทั่วทั้งโรงอาหารมีเพียงเสียงนับให้จังหวะ
แต่อยู่ๆ คนที่ขึ้นเป็นยอดสุดของการต่อตัวก็กรีดร้องดังลั่น ทุกคนจึงเงยหน้าขึ้นไปมองและสิ่งที่ทุกคนได้เห็นก็คือ
ผู้หญิงผมยาวคนหนึ่ง เนื้อตัวขาวซีดใส่ชุดขาวนั่งอยู่บนคาน หล่อนกำลังจ้องมองลงมาและปรบมือให้
ทำเอาทุกคนขวัญกระเจิงเก็บข้าวของหนีออกจากโรงอาหารในทันที และทุกวันนี้ก็มีน้อยคนนักที่จะกล้ามองขึ้นไปบนคานนั้น
7. เรื่องหลอนอาคาร 6
มีเรื่องเล่าว่าบริเวณอาคาร 6 ของโรงเรียนดังย่านปากเกร็ดเคยเป็นศาลาพักศพมาก่อน
จึงเป็นเหตุให้ที่นี่ต้องมีการทำบุญตึกกันทุกๆ วันอังคาร ว่ากันว่าเคยมีครูคนหนึ่งเลิกงานดึก
ขณะกำลังเดินลงมาจากตึกพบเด็กนักเรียนคนหนึ่งนั่งร้องไห้อยู่บนป้ายตรงทางเดิน ครูจึงเดินเข้าไปถามด้วยความเป็นห่วงว่า
เป็นอะไร ทำไมถึงยังไม่กลับบ้าน ทันทีที่เด็กคนนั้นเงยหน้าขึ้น ภาพที่เห็นทำเอาคุณครูถึงกับตกใจจนแทบสิ้นสติ
น้ำตาของเด็กคนนั้นไหลออกมาเป็นเลือด และเมื่อสังเกตดีๆ ก็เห็นว่าป้ายที่เด็กคนนั้นนั่งอยู่ ติดกับผนังซึ่งไม่มีทางที่คนจะขึ้นไปนั่งได้
8. คุณครูนาฏศิลป์
เรื่องหลอนของโรงเรียนรัฐบาลชื่อดังแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ ที่นี่เคยมีครูสอนนาฏศิลป์ที่เคร่งครัด เข้มงวด และมีระเบียบสุดๆ
แถมยังเป็นครูที่มีชื่อเสียงโดดเด่นในเรื่องการรำเป็นอย่างมาก
วันหนึ่ง ครูป่วยหนักจนต้องเข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาล แต่ด้วยความรับผิดชอบและความรักในอาชีพอย่างแรงกล้า
ทำให้คุณครูหนีออกจากโรงพยาบาลเพื่อมาฝึกซ้อมให้เด็กๆในการแข่งขันรำไทย
แต่แล้วเรื่องน่าเศร้าก็เกิดขึ้น เมื่ออาการของคุณครูทรุดลง ทำให้ต้องกลับไปเอายาที่ลืมไว้ในห้องนาฏศิลป์
หลังจากนั้นไม่มีใครล่วงรู้ได้ว่าเกิดอะไรขึ้น เช้าวันต่อมาจึงมีคนมาพบศพคุณครูอยู่ภายในห้องนั้น
นับจากนั้นเป็นต้นมา ทุกครั้งที่มีคนพยายามจะเข้ามาในห้องก็จะมีเสียงดนตรีไทยดังขึ้น
และยังมีคนมารำอยู่ในห้องนั้นทุกวันอีกด้วย
9. เสียงส้นสูงในห้องน้ำ
เป็นเรื่องราวที่กล่าวถึงห้องน้ำหญิงบริเวณโรงอาหารของโรงเรียนแห่งหนึ่ง
เรื่องเล่าว่า มักจะมีคนได้ยินเสียงรองเท้าส้นสูงเดินวนเวียนไปมาอยู่ภายในห้องน้ำอยู่เรื่อยๆ ไม่ยอมหยุด
เชื่อกันว่าอาจเป็นวิญญาณของผู้หญิงที่เคยถูกฆ่าตายในห้องน้ำแห่งนี้ และในตอนนั้นเธอก็สวมรองเท้าส้นสูงอยู่ด้วย
จึงเป็นเรื่องหลอนให้ใครหลายคนเชื่อว่า ดวงวิญญาณของเธอยังคงไม่ไปไหน และคอยวนเวียนอยู่ในบริเวณที่เธอตายเรื่อยมา
เรื่องราวหลอนๆ เกี่ยวกับโลกหลังความตายอาจเป็นสิ่งที่เทคโนโลยีปัจจุบันไม่สามารถพิสูจน์ได้
แต่อย่างที่โบราณได้ว่าเอาไว้นั่นแหละนะ “ไม่เชื่อ อย่าลบหลู่” สิ่งที่เรามองไม่เห็นไม่ได้แปลว่าไม่มีอยู่จริง
ไม่แน่ว่า ตอนนี้อาจมีดวงตานับร้อยนับพันคู่ที่คุณมองไม่เห็นกำลังจับจ้องมาที่คุณ
และคุณแน่ใจหรือว่าสิ่งที่เดินตามคุณกลับมานั้นเป็นคนที่มีชีวิตจริงๆ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้