
ครม.ไฟเขียวงบกลางอุดหนุนโครงการเลี้ยงดูเด็กแรกเกิด-3 ขวบ คนละ 600 บาท เพิ่มอีก 804 ล้านบาท ให้พม.หลังงบเดิมไม่เพียงพอ คาดตั้งแต่เดือนพฤษภาคม-กันยายน มีผู้ปกครองมาลงทะเบียนรับสิทธิ์ 3.5 แสนราย
เมื่อวันที่ 5กันยายน ที่ทำเนียบรัฐบาล นายณัฐพร จาตุศรีพิทักษ์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีแถลงหลังประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.)ว่า ที่ประชุม เห็นชอบอนุมัติตามที่กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) เสนอขอจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2560 งบกลางรายการเงินสำรองจ่าย เพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น 804,705,200 บาทเพิ่มเติม เพื่อใช้ในโครงการเงินอุดหนุนเพื่อการเลี้ยงดูเด็กแรกเกิดถึง 3 ขวบ รายละ 600 บาทต่อเดือน เพื่อช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อย เป็นหลักประกันสิทธิขั้นพื้นฐานให้เด็กแรกเกิดได้รับการเลี้ยงดูที่มีคุณภาพ
ทั้งนี้ ที่ผ่านมากระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) แจ้งว่าได้รับการจัดสรรงบประมาณ 1,113 ล้านบาท แต่มีไม่เพียงพอต่อการดำเนินการ ทำให้ต้องของบประมาณเพิ่มเติมครั้งนี้ โดยคาดว่าตั้งแต่เดือนพฤษภาคม-กันยายนจะมีเด็กมาลงทะเบียนรับสิทธิ์ เงินอุดหนุนเพื่อการเลี้ยงดูเด็กแรกเกิดถึง 3ขวบมีประมาณ 351,000 ราย ขณะเดียวกันในอนาคตจะนำการจ่ายเงินให้เด็กแรกเกิดเข้าร่วมในการจัดสรรการช่วยเหลือตามแนวทางประชารัฐสวัสดิการด้วย
ด้านนายอานนท์ เหลืองบริบูรณ์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงคมนาคม รักษาการผู้ว่าการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ออกมาชี้แจงกรณีมีการเผยแพร่ข้อมูลผ่านโซเชียลมีเดียระบุข้อความว่า ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2560 เป็นต้นไป ยกเลิกตั๋วรถไฟฟรีทุกขบวนรถทั่วประเทศ โดยการรถไฟแห่งประเทศไทย ทำให้เกิดเสียงวิจารณ์รัฐบาลในลักษณะเป็นการตัดสิทธิประโยชน์ประชาชน ซึ่งโครงการที่ถูกยกเลิกส่วนใหญ่ เป็นโครงการที่เริ่มสมัยรัฐบาลทักษิณ ชินวัตร และมองเป็นเรื่องทางการเมืองว่า ตามที่รัฐบาลได้เริ่มดำเนินมาตรการลดภาระค่าครองชีพของประชาชน เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนจากปัญหาเศรษฐกิจตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม 2551 และได้ขยายระยะเวลาการดำเนินมาตรการฯ เป็นระยะจนถึงวันที่ 30 กันยายน 2560 การดำเนินการดังกล่าวแม้จะเป็นประโยชน์กับประชาชน แต่เป็นการช่วยเหลือบุคคลที่ไม่ตรงกับกลุ่มเป้าหมายผู้มีรายได้น้อยอย่างแท้จริง ดังนั้น ครม.จึงมีมติเมื่อวันที่ 29 สิงหาคมที่ผ่านมา เห็นชอบหลักการแนวทางการจัดประชารัฐสวัสดิการ การให้ความช่วยเหลือผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ โดยจะให้ความช่วยเหลือผู้ลงทะเบียนรายได้น้อยและผ่านการตรวจสอบคุณสมบัติแล้วจำนวน 11.67 ล้านราย ผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐเพื่อช่วยลดค่าใช้จ่ายในครัวเรือน
สำหรับบัตรสวัสดิการแห่งรัฐจะแบ่งเป็น 2 ส่วน ได้แก่ ส่วนการลดค่าใช้จ่ายในการเดินทาง ผู้มีสิทธิ์สามารถใช้สิทธิ์ได้ไม่จำกัดจำนวนครั้งภายในวงเงินที่กำหนด แบ่งเป็นวงเงินค่าโดยสารรถเมล์ ขสมก. รถไฟฟ้ารายละ 500 บาทต่อเดือน (ใช้ชำระค่าโดยสารด้วยระบบ E-Ticket) วงเงินค่าโดยสาร บขส.รายละ 500 ต่อเดือน (ใช้ในการซื้อบัตรโดยสารรถ บขส. ได้ภายในวงเงิน 500 บาทต่อเดือน) และวงเงินค่าโดยสารรถไฟรายละ 500 บาทต่อเดือน (ใช้ในการซื้อบัตรโดยสารรถไฟได้ภายในวงเงิน 500 บาทต่อเดือน) ซึ่งผู้มีสิทธิ์สามารถนำบัตรสวัสดิการมาใช้บริการรถเมล์ ขสมก. รถโดยสารบขส. และรถไฟ ได้ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2560 และในส่วนของการลดค่าใช้จ่ายในการดำรงชีพได้แก่ การลดค่าใช้จ่ายในครัวเรือน ซึ่งเป็นวงเงินสำหรับค่าซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคที่จำเป็น สินค้าเพื่อการศึกษา และวัตถุดิบเพื่อการเกษตรกรรมจากร้านธงฟ้าประชารัฐ หรือร้านค้าที่ลงทะเบียนกับกระทรวงพาณิชย์ รวมถึงวงเงินส่วนลดค่าซื้อก๊าซหุงต้มจากร้านค้าที่กระทรวงพลังงานกำหนด
อย่างไรก็ตาม วงเงินดังกล่าวในส่วนนี้ถ้าประชาชนใช้ไม่หมดจะถูกตัดยอดทันที ไม่มีการสะสมในเดือนถัดไป และเมื่อถึงรอบวันที่ 1 ของทุกเดือนวงเงินจะถูกปรับเป็นค่าเริ่มต้นของวงเงินแต่ละสวัสดิการเสมอ ซึ่งวิธีดังกล่าวจะก่อให้เกิดประโยชน์ต่อประชาชนผู้มีรายได้น้อยอย่างแท้จริงและทั่วถึง และช่วยให้รัฐประหยัดค่าใช้จ่ายงบประมาณและเป็นไปตามจริงของการใช้บัตร
http://m.naewna.com/view/frontpage/290088
โห...ไพร่ฟ้าประชาหน้าใสจริงๆค่ะ
ลุงตู่ดูแลทุกคนให้อยู่ดีมีสุข
ปลื้มมมมมมมากกกกกกกมายยยยย

#มาลารินทีมลุงตู่ค่ะ
~มาลาริน~** กระแซะๆๆเข้ามาสิ มีเรื่องดี้ดีมาบอก..ครม.ไฟเขียวเทงบกลางอุดหนุนโครงการเลี้ยงดูเด็กแรกเกิด-3 ขวบ คนละ 600 บาท
ครม.ไฟเขียวงบกลางอุดหนุนโครงการเลี้ยงดูเด็กแรกเกิด-3 ขวบ คนละ 600 บาท เพิ่มอีก 804 ล้านบาท ให้พม.หลังงบเดิมไม่เพียงพอ คาดตั้งแต่เดือนพฤษภาคม-กันยายน มีผู้ปกครองมาลงทะเบียนรับสิทธิ์ 3.5 แสนราย
เมื่อวันที่ 5กันยายน ที่ทำเนียบรัฐบาล นายณัฐพร จาตุศรีพิทักษ์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีแถลงหลังประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.)ว่า ที่ประชุม เห็นชอบอนุมัติตามที่กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) เสนอขอจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2560 งบกลางรายการเงินสำรองจ่าย เพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น 804,705,200 บาทเพิ่มเติม เพื่อใช้ในโครงการเงินอุดหนุนเพื่อการเลี้ยงดูเด็กแรกเกิดถึง 3 ขวบ รายละ 600 บาทต่อเดือน เพื่อช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อย เป็นหลักประกันสิทธิขั้นพื้นฐานให้เด็กแรกเกิดได้รับการเลี้ยงดูที่มีคุณภาพ
ทั้งนี้ ที่ผ่านมากระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) แจ้งว่าได้รับการจัดสรรงบประมาณ 1,113 ล้านบาท แต่มีไม่เพียงพอต่อการดำเนินการ ทำให้ต้องของบประมาณเพิ่มเติมครั้งนี้ โดยคาดว่าตั้งแต่เดือนพฤษภาคม-กันยายนจะมีเด็กมาลงทะเบียนรับสิทธิ์ เงินอุดหนุนเพื่อการเลี้ยงดูเด็กแรกเกิดถึง 3ขวบมีประมาณ 351,000 ราย ขณะเดียวกันในอนาคตจะนำการจ่ายเงินให้เด็กแรกเกิดเข้าร่วมในการจัดสรรการช่วยเหลือตามแนวทางประชารัฐสวัสดิการด้วย
ด้านนายอานนท์ เหลืองบริบูรณ์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงคมนาคม รักษาการผู้ว่าการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ออกมาชี้แจงกรณีมีการเผยแพร่ข้อมูลผ่านโซเชียลมีเดียระบุข้อความว่า ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2560 เป็นต้นไป ยกเลิกตั๋วรถไฟฟรีทุกขบวนรถทั่วประเทศ โดยการรถไฟแห่งประเทศไทย ทำให้เกิดเสียงวิจารณ์รัฐบาลในลักษณะเป็นการตัดสิทธิประโยชน์ประชาชน ซึ่งโครงการที่ถูกยกเลิกส่วนใหญ่ เป็นโครงการที่เริ่มสมัยรัฐบาลทักษิณ ชินวัตร และมองเป็นเรื่องทางการเมืองว่า ตามที่รัฐบาลได้เริ่มดำเนินมาตรการลดภาระค่าครองชีพของประชาชน เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนจากปัญหาเศรษฐกิจตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม 2551 และได้ขยายระยะเวลาการดำเนินมาตรการฯ เป็นระยะจนถึงวันที่ 30 กันยายน 2560 การดำเนินการดังกล่าวแม้จะเป็นประโยชน์กับประชาชน แต่เป็นการช่วยเหลือบุคคลที่ไม่ตรงกับกลุ่มเป้าหมายผู้มีรายได้น้อยอย่างแท้จริง ดังนั้น ครม.จึงมีมติเมื่อวันที่ 29 สิงหาคมที่ผ่านมา เห็นชอบหลักการแนวทางการจัดประชารัฐสวัสดิการ การให้ความช่วยเหลือผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ โดยจะให้ความช่วยเหลือผู้ลงทะเบียนรายได้น้อยและผ่านการตรวจสอบคุณสมบัติแล้วจำนวน 11.67 ล้านราย ผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐเพื่อช่วยลดค่าใช้จ่ายในครัวเรือน
สำหรับบัตรสวัสดิการแห่งรัฐจะแบ่งเป็น 2 ส่วน ได้แก่ ส่วนการลดค่าใช้จ่ายในการเดินทาง ผู้มีสิทธิ์สามารถใช้สิทธิ์ได้ไม่จำกัดจำนวนครั้งภายในวงเงินที่กำหนด แบ่งเป็นวงเงินค่าโดยสารรถเมล์ ขสมก. รถไฟฟ้ารายละ 500 บาทต่อเดือน (ใช้ชำระค่าโดยสารด้วยระบบ E-Ticket) วงเงินค่าโดยสาร บขส.รายละ 500 ต่อเดือน (ใช้ในการซื้อบัตรโดยสารรถ บขส. ได้ภายในวงเงิน 500 บาทต่อเดือน) และวงเงินค่าโดยสารรถไฟรายละ 500 บาทต่อเดือน (ใช้ในการซื้อบัตรโดยสารรถไฟได้ภายในวงเงิน 500 บาทต่อเดือน) ซึ่งผู้มีสิทธิ์สามารถนำบัตรสวัสดิการมาใช้บริการรถเมล์ ขสมก. รถโดยสารบขส. และรถไฟ ได้ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2560 และในส่วนของการลดค่าใช้จ่ายในการดำรงชีพได้แก่ การลดค่าใช้จ่ายในครัวเรือน ซึ่งเป็นวงเงินสำหรับค่าซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคที่จำเป็น สินค้าเพื่อการศึกษา และวัตถุดิบเพื่อการเกษตรกรรมจากร้านธงฟ้าประชารัฐ หรือร้านค้าที่ลงทะเบียนกับกระทรวงพาณิชย์ รวมถึงวงเงินส่วนลดค่าซื้อก๊าซหุงต้มจากร้านค้าที่กระทรวงพลังงานกำหนด
อย่างไรก็ตาม วงเงินดังกล่าวในส่วนนี้ถ้าประชาชนใช้ไม่หมดจะถูกตัดยอดทันที ไม่มีการสะสมในเดือนถัดไป และเมื่อถึงรอบวันที่ 1 ของทุกเดือนวงเงินจะถูกปรับเป็นค่าเริ่มต้นของวงเงินแต่ละสวัสดิการเสมอ ซึ่งวิธีดังกล่าวจะก่อให้เกิดประโยชน์ต่อประชาชนผู้มีรายได้น้อยอย่างแท้จริงและทั่วถึง และช่วยให้รัฐประหยัดค่าใช้จ่ายงบประมาณและเป็นไปตามจริงของการใช้บัตร
http://m.naewna.com/view/frontpage/290088
โห...ไพร่ฟ้าประชาหน้าใสจริงๆค่ะ
ลุงตู่ดูแลทุกคนให้อยู่ดีมีสุข
ปลื้มมมมมมมากกกกกกกมายยยยย
#มาลารินทีมลุงตู่ค่ะ